บทที่ 180 เอาแต่ทำข้าโกรธ!

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 180 เอาแต่ทำข้าโกรธ!
“แต่ก็เอาเรื่องนี้มาพูดไม่ได้นี่!” โจวกุ้ยหลานกลืนถ้อยคำที่จะเอ่ยแล้วโต้กลับ

แต่มันไม่มีเรื่องอย่างนี้! นางกับสวีฉางหลินไม่ได้เป็นสามีภรรยาทางพฤตินัยสักหน่อย!

แน่นอนว่าเรื่องนี้จะเอ่ยออกมาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเหล่าไท่ไท่ต้องฆ่านางตายแน่

แต่…แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็เอาเรื่องนี้เที่ยวโพนทะนาไม่ได้กระมัง? นี่จะมิใช่ผู้ชายเลวหรือ?

นางคิดพลางถลึงตาใส่สวีฉางหลินแรงๆ ทีหนึ่ง

โจวกุ้ยหลานคิด จากนั้นก็ไปช่วยพวกเหล่าไท่ไท่ทำงาน กะประมาณได้เวลาแล้วก็ลงเขาไปพาเจ้าก้อนน้อยขึ้นมา ต่อจากนี้คือทำงานทั้งวัน

มีผู้ใหญ่บ้านจัดการ พวกโจวกุ้ยหลานจึงสบายเสียไม่มี แค่ต้มน้ำดื่มให้พวกเขา หรือไม่ก็ไปเอาของตามที่พวกเขามาถามหากับโจวกุ้ยหลานก็พอ ส่วนเวลาที่เหลือก็คือดูพวกเขาทำงาน

คนในยุคสมัยนี้ทำงานไม่ประมาทสะเพร่าสักนิด โจวกุ้ยหลานนั่งดูตลอดทั้งวัน พวกเขาไม่อู้งานเลย แม้แต่หวังโหยวเกินก็ด้วย ทำงานไม่หยุดหย่อน ทั้งยังคอยควบคุมคนที่เหลืออีก

อดทนต่อความลำบากโดยแท้!

ยี่สิบอีแปะนี้ช่างคุ้มค่าเสียจริงๆ!

ช่วงกลางวันคนในหมู่บ้านกลับไปกินข้าวบ้านตัวเอง แต่ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กลับมาทำงานต่อ กระทั่งตอนเย็น โจวกุ้ยหลานเห็นฟ้าใกล้จะมืดแล้ว จึงหยิบเงินอีแปะที่ตัวเองเตรียมไว้แต่แรกออกมามอบให้หวังโหยวเกิน และหวังโหยวเกินก็แจกจ่ายโดยทันที

ครั้นคนเหล่านั้นได้เงินก็โล่งอก แต่ละคนหน้าชื่นตาบาน

รอจนพวกเขากลับไปแล้ว ครอบครัวโจวกุ้ยหลานจึงกลับบ้าน พอถึง โจวกุ้ยหลานก็ไปทำกับข้าวให้เหล่าไท่ไท่ หลิวเซียงไปเลี้ยงไก่ เป็ด หมูและทำงานในบ้าน ส่วนเจ้าก้อนน้อยก็นั่งกินเนื้อวัวแห้งอยู่ข้างๆ

สวีฉางหลินกับโจวต้าไห่ไปสานตะกร้า

ในห้องครัว โจวกุ้ยหลานผัดกับข้าว นึ่งข้าวสวย พอว่างก็นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าก้อนน้อย หยิบเนื้อวัวแห้งเข้าปากเคี้ยวชิ้นหนึ่ง

“ท่านแม่ ท่านจะกินด้วยไหม?”

โจวกุ้ยหลานถือเนื้อวัวแห้งชิ้นหนึ่งจะยื่นให้เหล่าไท่ไท่ เหล่าไท่ไท่พลันโบกมือ

“ไม่กินๆ ของแบบนี้เคี้ยวยากจะตาย”

คราวก่อนนางกินไปชิ้นหนึ่ง กัดจนแทบจะทำฟันแก่ๆ ของนางหัก

โจวกุ้ยหลานไม่ฝืน กินเนื้อวัวแห้งในมือของตัวเองต่อ

“ท่านแม่ ท่านจะจัดการหลิวเซียงอย่างไร? จะให้นางเป็นคนใช้บ้านเราจริงๆ ไม่ได้กระมัง?” โจวกุ้ยหลานเอ่ย มองไปทางเหล่าไท่ไท่

เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้ว “หลิวเซียงก็ทำงานดีจริงๆ ถ้าให้ทำงานในบ้านก็ไม่เลว แต่บ้านเราจน ต้องมีคนใช้ที่ไหน? พูดออกไปคนอื่นยังจะด่าเราลับหลังอีก”

โจวกุ้ยหลานก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน เพราะที่นี่คือชนบท ทุกคนล้วนทำมาหากิน พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีคนใช้ดูแลการกินการอยู่จริงๆ

“อย่างนั้นท่านก็ให้พี่แต่งกับนางก็สิ้นเรื่อง” โจวกุ้ยหลานเสนอความเห็นของตน

พี่ใหญ่ก็อยากแต่งงานกับนาง ส่วนนางก็ดูเหมือนอยากแต่งกับพี่ใหญ่เหมือนกัน จะสนใจความคิดพวกเขาทำไม อย่างน้อยก็คิดกันอย่างนี้

“อะไรนะ? ไม่ได้ๆ! พี่เจ้าจะแต่งกับนางได้อย่างไร? นังเด็กนี้ยังเด็กอยู่ แถมยังมากเล่ห์อีก!”

เหล่าไท่ไท่ปฏิเสธทันควัน

นางมีบุตรชายซื่อเพียงคนเดียว หากแต่งกับผู้หญิงคนนั้น ชาตินี้เขาอย่าได้คิดโงหัวอีกเลย

“แล้วท่านคิดจะทำอย่างไร? ในบ้านมีผู้หญิง คนอื่นยังจะไปเจรจาขอภรรยาให้พี่ข้าได้หรือ?” โจวกุ้ยหลานเอ่ย กัดเนื้อวัวแห้งในมืออีกคำ

นางรู้ว่าเหล่าไท่ไท่คิดอย่างไร แต่จากที่นางดู พี่ชายนางคิดแต่จะแต่งกับแม่นางคนนี้แล้ว ต่อให้เหล่าไท่ไท่ขวางก็ขวางไม่อยู่

เห็นโจวต้าไห่เป็นคนอารมณ์ดีอย่างนี้นะ ครั้นดื้อดึงขึ้นมา ต่อให้ใช้วัวสิบตัวก็ฉุดไม่อยู่

“ข้าจะคิดดูดีๆ ก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้นางหาที่ทางใช้ชีวิตเองเถอะ จะให้อยู่บ้านเราตลอดชีวิตไม่ได้” เหล่าไท่ไท่คิด เอ่ยปาก

โจวกุ้ยหลานเบะปาก ไม่แย้ง หลิวเซียงเป็นเด็กสาว ในยุคสมัยนี้ถ้าไม่มีความสามารถอะไรจะทำอะไรได้? เอาตัวไม่รอดหรอก ไม่อย่างนั้นก็พักอยู่ที่บ้านนาง? แต่ดูจากท่าทางตอนนี้ของหลิวเซียง คือตั้งใจจะอยู่ที่บ้านนางแล้ว

“หนังสือสัญญาขายตัวข้าให้ท่าน ท่านเก็บไว้เองเถอะ จะจัดการอย่างไรก็สุดแล้วแต่” โจวกุ้ยหลานปัดมือของตัวเอง หยิบหนังสือสัญญาขายตัวออกมาก่อนจะยื่นให้เหล่าไท่ไท่

เรื่องนี้นางคิดไว้แล้วว่าจะไม่เข้าร่วม ไม่สนับสนุน และไม่ร่วมถกปัญหา เอาไว้นางกลับขึ้นเขาแล้วก็ใช้ชีวิตของตัวเองดีๆ

เหล่าไท่ไท่รับหนังสือสัญญาขายตัวมาแล้วก็เก็บไว้กับตัว ครุ่นคิดว่าจะจัดการหลิวเซียงคนนี้อย่างไร

กระทั่งทำอาหารเสร็จ ทั้งสองก็นำอาหารไปที่ห้องโถง ร่วมกินอาหารพร้อมหน้า

หลิวเซียงคีบกับข้าวแล้วนั่งอยู่บนม้านั่งข้างๆ โต๊ะ รีบพุ้ยข้าวกิน

“โต๊ะก็มีที่ว่างไม่ใช่หรือ? มานั่งกินเถอะ” โจวกุ้ยหลานเอ่ยกับหลิวเซียง

หลิวเซียงส่ายหน้า ตอบ “นั่งกินตรงนี้ก็ดี ยังมีข้าวขาวกับเนื้อด้วยแน่ะ”

ว่าแล้วก็ยิ้ม จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารต่อ

โจวกุ้ยหลานเห็นก็ขมวดคิ้ว มักรู้สึกว่าหลิวเซียงระมัดระวังไปหน่อย เห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร

โจวต้าไห่ลุกขึ้นยืน ลากเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างนาง กินอาหารกับนาง

เหล่าไท่ไท่เห็นแล้วหนังตากระตุก พลันหน้าขึง “โต๊ะนี่ไม่มีที่ให้นั่งแล้วหรืออย่างไร? รีบมานั่งกินข้าว!”

ผู้ชายตัวเบ้อเร่อ มีเหตุอะไรไม่กินข้าวที่โต๊ะ?

หลิวเซียงตกใจคำพูดของเหล่าไท่ไท่ ตระหนักว่าเหล่าไท่ไท่ไม่พอใจที่โจวต้าไห่ไม่กินข้าวที่โต๊ะ ดังนั้นจึงหันไปเอ่ยกับโจวต้าไห่ “เจ้ารีบไปกินข้าวที่โต๊ะเถอะ”

“ไม่เป็นไร ข้านั่งเป็นเพื่อนเจ้า” โจวต้าไห่ตอบ แล้วหันไปพูดกับเหล่าไท่ไท่ “ท่านแม่ หลิวเซียงกินข้าวคนเดียวจะไม่ดี ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนนาง”

ครั้นถ้อยคำนี้ถึงหูของเหล่าไท่ไท่แล้วก็ยิ่งทำให้รู้สึกคับอก

“อย่างไร? ไม่อยากกินข้าวกับข้าแล้วใช่ไหม? ถ้าคิดอย่างนั้นก็รีบไสหัวออกไปเลย!”

พอหลิวเซียงได้ยินว่าถูกไล่ออกไป เนื้อตัวก็สั่นเทิ้ม ลุกพรวด “ข้า ข้าไม่ได้คิดอย่างนั้น…”

“พวกเจ้ารีบขึ้นมากินข้าวที่โต๊ะเถอะ อย่าทำให้มื้ออาหารดีๆ ต้องมาเสียเพราะพวกเจ้าเลย” โจวกุ้ยหลานไกล่เกลี่ยให้จบด้วยดีในเวลาเหมาะสม

กินอาหารอย่างนี้น่าเบื่อ

ทางโจวต้าไห่รู้ว่ามารดาตนโกรธแล้ว จึงพลันลุกขึ้นยืนและลากหลิวเซียงมานั่งอยู่ตรงโต๊ะด้วย จากนั้นก็คีบเนื้อให้เหล่าไท่ไท่ “ท่านอย่าโมโหเสียสุขภาพเลย กินข้าวก่อนเถอะ”

“ไม่รู้ว่าคลอดเจ้ามีประโยชน์อะไร มีแต่ทำข้าโมโห!” เหล่าไท่ไท่บ่นแล้วกินอาหารในถ้วยตัวเอง

ตอนนี้โจวกุ้ยหลานไม่พูดมาก ดูแลให้เจ้าก้อนน้อยกินข้าว ช่วงเวลาหลังจากนี้เงียบกริบ รอจนพวกเขากินข้าวเสร็จและเก็บกวาดเสร็จแล้วก็กลับห้องของตัวเอง โจวกุ้ยหลานเล่าเรื่องหนังสือสัญญาขายตัวให้สวีฉางหลินฟัง อีกฝ่ายกลับไม่สนใจเรื่องนี้ ยกให้นางตัดสินใจเอง