บทที่ 301 ฝึกฝนกับท่านแม่ทัพ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 301 ฝึกฝนกับท่านแม่ทัพ
บทที่ 301 ฝึกฝนกับท่านแม่ทัพ

หลินเหราดำเนินการอย่างเอิกเกริก ในเมื่อความสงสัยในตอนนี้พุ่งเป้าไปยังตู้เหิง ก็ต้องเฝ้าจับตาดูไว้

โจวหลายผู้นี้ถูกเขาพาตัวมาเงียบ ๆ แม้แต่ศาลาว่าการก็ยังไม่รู้เรื่อง ชายหนุ่มขังเขาไว้ในจวนท่านแม่ทัพ

เช้าตรู่วันนี้

หลินเหรามาหาเจียงหนิงที่จวนท่านแม่ทัพ เพราะตั้งใจจะมาไต่สวนโจวหลายอีกครั้ง จังหวะนั้นบังเอิญเจอกับท่านแม่ทัพเดินออกมาพอดี

ใบหน้าของเจียงหนิงในตอนนี้บ่งบอกถึงอายุอย่างชัดเจน ระหว่างจอนผมทั้งสองข้างปรากฏเส้นผมสีเทา แต่กลับไม่ได้ทำลายกลิ่นอายที่ดุดันของเขาแต่อย่างใด

ยามที่เขาเดินออกจากสนามรบ ใบหน้าของเขายังคงความเย็นเยือก และเจือไปด้วยความขึงขังของนักรบ

“ท่านแม่ทัพ” หลินเหราข่มความเคยชินที่มักแสดงออกในค่ายทหารไว้ แล้วทำความเคารพ “วันนี้ต้องการให้ข้าน้อยติดตามไปหรือไม่?”

เมื่อเจียงหนิงเห็นทหารที่โปรดปรานของตัวเอง ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ามาแล้ว ไปกันเถอะ ตามข้าไปตรวจในค่ายทหารเสียหน่อย”

หลินเหรายังคงเดินตามไป เขารับสายบังเหียนจากมือของทหารชั้นผู้น้อยที่อยู่ด้านหลัง แล้วควบม้าตรงไปยังชานเมืองทันที

เพราะยังเช้าตรู่ บนถนนจึงมีผู้คนไม่มากนัก เมื่อทุกคนได้ยินเสียงกีบม้าก็ทยอยกันเบี่ยงตัวหลบ

นอกจากทหารเฉินในวังแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้ขี่ม้าตามอำเภอใจ คนที่ควบม้าเดินทางในเวลานี้ มีแค่เจียงหนิงท่านแม่ทัพใหญ่เท่านั้น

เด็กชายที่ช่วยมารดาของตนจัดแผงขายของได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงหันกลับไปมอง ใบหน้านั้นแฝงไปด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะกล่าวกับผู้เป็นแม่ว่า “ท่านแม่ ท่านแม่ นั่นท่านแม่ทัพ!”

หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สองสามวันนี้เจ้าก็เคยเห็นท่านแม่ทัพออกจากเมืองไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดยังตื่นเต้นถึงเพียงนี้อีก?”

เด็กชายกะพริบตาปริบ ๆ เหมือนกับยังมองไม่หนำใจ

เขาเฝ้ารอจนกลุ่มทหารม้าที่ดูสง่าผ่าเผยเหล่านั้นผ่านไปอย่างอิจฉา สุดท้ายก็ทอดถอนใจ “ต่อไปข้าจะต้องเป็นทหาร ปกปักรักษาบ้านเมือง แล้วปราบศัตรูในสนามรบให้จงได้!”

เนื่องจากไม่เคยออกนอกเมือง เจียงหนิงจึงไม่ได้เร่งความเร็วตลอดการเดินทาง ประสาทสัมผัสทางหูของเขาค่อนข้างอ่อนไหว จึงจับจุดในคำพูดเหล่านี้ได้

ท่านแม่ทัพยกมือซ้ายขึ้นเล็กน้อย ทุกคนจึงหยุดอยู่ตรงหน้าแผงขายของ

เด็กชายตกตะลึงกับภาพนี้ ถึงกับอ้าปากตาค้าง

ท่านแม่ทัพนั่งอยู่บนหลังม้า โดยมีแส้ม้าสีดำหนังอยู่ในมือ เขาโน้มตัวถามเด็กชายด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า “เมื่อครู่ได้ยินเจ้าพูดว่า เจ้าอยากเป็นทหารปราบศัตรูเช่นนั้นหรือ?”

หัวใจของเด็กชายเต้นตึกตักทันใด จากนั้นก็รีบยืนตัวตรง แล้วตะโกนเสียงดัง “ขอรับ! ข้าอยากเป็นเหมือนท่านแม่ทัพ เป็นชายหนุ่มสง่าผ่าเผย!”

หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างเห็นลูกชายของตนช่างกล้าหาญ จึงรีบเอ่ยปาก “เด็กน้อยยังไม่รู้ความ พลอยทำให้เสียเวลาท่านแม่ทัพ …. หวังว่าท่านแม่ทัพจะให้อภัย”

เจียงหนิงหัวเราะ แล้วส่ายหน้าพลางเอ่ยกับหญิงสาวผู้นั้น “เด็กยังมีความทะเยอทะยานเพียงนี้ อนาคตของเมืองต้าเยี่ยนจะต้องเจริญแน่นอน! ข้ายังไม่ทันได้ดีใจ เหตุใดต้องทำให้กลุ้มใจด้วยเล่า?”

เขายื่นแส้ม้าที่ใช้มาหลายปีของตัวเองให้แก่เด็กชาย พร้อมกับเอ่ยให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “มีความทะเยอทะยานเป็นเรื่องดี ระหว่างนี้ก็พยายามเข้านะ แส้ม้าชิ้นนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้เจ้าพยายามต่อไป นอกจากจะต้องฝึกฝนให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว การร่ำเรียนก็อย่าให้ตก ผู้นำทหารที่ได้มาตรฐาน จะต้องมีมันสมองด้วย”

เด็กชายรับแส้ม้าอย่างซาบซึ้งใจด้วยมือทั้งสองข้าง เวลานี้เขาตื่นเต้นจนพูดไม่ออกชั่วขณะ

ท่านแม่ทัพยืดตัวตรง ยื่นมือไปด้านหลัง หลินเหรานำแส้ม้าของตัวเองยื่นให้เขา

เจียงหนิงหันกลับมาด้วยรอยยิ้มและเอ่ยกับหลินเหราประโยคหนึ่งว่า “ดูเด็กคนนี้สิ มีนิสัยเหมือนกับเจ้ามากทีเดียว นัยน์ตาก็ดูหนักแน่น”

กล่าวจบ เขาก็ควบม้านำออกไป ทหารทุกคนต่างก็ทยอยกันควบม้า ไม่นานคนกลุ่มนั้นก็หายไปจากสุดปลายของถนน

ในมือของเด็กผู้ชายคนนั้นยังคงกำแส้ม้าที่ท่านแม่ทัพยื่นให้เขาแน่น ความหยาบกระด้างของฝ่ามือที่สัมผัสได้คือสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยได้สัมผัส

ผ่านไปไม่นาน เขาก็เอ่ยกับมารดาว่า “ท่านแม่ วันข้างหน้าข้าจะเป็นแบบท่านแม่ทัพให้จงได้”

หญิงสาวคาดไม่ถึงว่าท่านแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองต้าเยี่ยน จะเป็นคนที่เข้าถึงง่ายเพียงนี้ ในใจจึงรู้สึกซาบซึ้ง แล้วพูดกับลูกชายของตนว่า “เจ้าจงจำคำสอนในวันนี้ของท่านแม่ทัพไว้ให้ดี ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรง ตั้งใจร่ำเรียน อนาคตจะต้องติดตามอยู่ข้างกายท่านแม่ทัพ เรียนรู้จากเขาให้จงได้”

ข้างหูของเด็กชายยังคงก้องไปด้วยคำพูดของท่านแม่ทัพทุกคำ เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น

เจียงหนิงนำทหารออกจากเมือง ทุกคนควบม้าไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น ไม่นานก็มาถึงค่ายทหาร

เมืองต้าเยี่ยนไม่อนุญาตให้ผู้นำมีทหารส่วนตัว แต่เจียงหนิงเป็นผู้นำในซีเป่ยมานานหลายปี ทหารที่ติดตามเขาล้วนก็เป็นคนที่ท่านแม่ทัพยอมรับเท่านั้น

บัดนี้เจียงหนิงกลับเมือง จึงมีผู้ติดตามจำนวนไม่น้อย

ทั้งหมดคือเพื่อนทหารที่ร่วมแรงร่วมใจกันปราบศัตรู จึงย่อมมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน เมื่อมีคนเห็นหลินเหราที่ติดตามท่านแม่ทัพ ก็อดตะโกนเสียงดังไม่ได้ “พี่ใหญ่หลิน! พี่ใหญ่หลิน!”

ทหารที่ไม่เคยเจอหลินเหราก็พากันอยากรู้อยากเห็นอย่างอดไม่ได้ และแอบพินิจมองอยู่ข้าง ๆ

กระทั่งเห็นเขาในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้มที่ดูไม่ธรรมดา เนื่องจากต้องขี่ม้า ชายเสื้อจึงโบกสะบัดพลิ้วไหว ขาที่หนีบอยู่ข้างท้องม้าแสดงให้เห็นถึงพลังอันแข็งแรงภายใต้กางเกงนั้น

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงกลิ่นอายที่ดูเคร่งขรึมของเขา เวลานี้ ทำให้ทุกคนไม่ได้สังเกตรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของเขาแต่อย่างใด

เมื่อกลุ่มคนเหล่านั้นควบม้าใกล้เข้ามา ท่านแม่ทัพกระโดดลงเป็นคนแรก จากนั้นก็ยื่นแส้ม้าในมือคืนหลินเหรา และพูดกับเขา “ได้ยินผู้ตรวจการเมืองชิงถงเคยกล่าวไว้ เจ้าฝึกฝนทหารในค่ายทหารตรวจการไว้อย่างดี วันนี้มีเวลาว่างพอดี ให้ข้าดูหน่อยสิ ว่าจะล้าหลังทางซีเป่ยเพียงใด?”

หลินเหราลงจากหลังม้า แล้วตอบรับอย่างนอบน้อม “รับทราบ”

เรื่องการฝึกฝนทหาร สิ่งสำคัญที่สุดคือความเข้มงวดกวดขัน ถ้าผู้บัญชาการเอาชนะใจทหารไม่ได้ ก็ไม่สามารถทำให้ทหารเชื่อฟังได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถฝึกฝนทหารให้ดีได้

การกระทำเช่นนี้ของท่านแม่ทัพไม่ได้จะสร้างความลำบากใจให้แก่หลินเหรา มีแต่ความเชื่อใจอย่างบริสุทธิ์ต่อเขาเท่านั้น

เขาออกคำสั่งหลินเหรา “ช่วงเช้า เจ้าเลือกทหารมาสักสามร้อยนาย ก่อนเที่ยงข้าจะมาดู”

กล่าวจบ ท่านแม่ทัพก็ตรงเข้าไปในกระโจมใหญ่ เพื่อจัดการภารกิจประจำวัน

ช่วงเช้าในเวลาไม่เกินสองชั่วยาม ต้องคัดเลือกคน ทั้งยังต้องฝึกฝน เป็นสิ่งที่ยากยิ่งนัก

คนที่ตะโกนเรียกหลินเหราเป็นคนแรกได้รุดขึ้นหน้า ขยิบตาให้เขาและถามว่า “พี่ใหญ่หลินมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใด? ไหนบอกว่าจะลาพักร้อนกับท่านแม่ทัพใหญ่ กลับไปอยู่เป็นเพื่อนภรรยาและลูกที่บ้านอย่างไรเล่า?”

คนผู้นี้แซ่ ‘หวัง’ ชื่อ ‘ฮุย’ เมื่อครั้งอยู่ในซีเป่ย ก็มักจะติดตามหลินเหราไปทำภารกิจอยู่เสมอ

เขาและหวังฮุยค่อนข้างมีความคุ้นเคยต่อกัน การพูดการจาจึงไม่ได้เกรงกลัวมากนัก แค่ชินกับการออกคำสั่ง “จะคุยเล่นค่อยคุยเวลาอื่น เจ้าไปเลือกทหารออกมาสามร้อยนาย จะใครก็ได้ แต่ขอแค่อย่างเดียว ต้องไม่ใช่เหล่าพี่น้องที่เคยอยู่ในซีเป่ยมาก่อน”

หวังฮุยตอบรับด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่หลินก็เป็นเช่นนี้ตลอด คำสั่งของท่านแม่ทัพ เห็น ๆ อยู่ว่ายากระดับสิบเพียงใด แล้วต้องทำให้ได้ก่อนเที่ยงวัน ถ้าในบรรดาทหารสามร้อยนายมีเหล่าพี่น้องชาวซีเป่ยอยู่สักสามสิบคน มันก็จะง่ายต่อการฝึกทหารของพี่ด้วย”

สิ่งที่เขาพูดไม่ผิด

เหล่าทหารมักถูกขับเคลื่อนด้วยการปลุกระดม ในทหารหนึ่งหน่วย ถ้ามีคนปฏิบัติตามคำสั่งอย่างละเอียดรอบคอบ บรรยากาศรอบตัวก็คงจะง่ายขึ้น แต่ตรงกันข้าม ถ้ามีคนหัวรั้นไม่ฟังคำสั่ง ทหารประเภทนี้จะยากต่อการฝึกฝน

หวังฮุยรู้จักนิสัยของหลินเหราดี เอ่ยบอกเพียงสองประโยคก็รีบไปจัดการระดมคนทันที

การเรียกรวมตัวทหารสามร้อยนายไม่ใช่เรื่องยาก

ประมาณช่วงเช้าทุกคนจะต้องเข้าฝึกฝน เมื่อทุกคนได้ยินว่าท่านแม่ทัพพาทหารที่เคยอยู่ในเมืองซีเป่ยมาด้วยหนึ่งคน ต้องการให้เขามาช่วยฝึกทหาร ก็ต่างทยอยกันเบียดเสียดเข้ามา อยากเห็นว่าเป็นเทพองค์ไหน เหตุใดท่านแม่ทัพถึงได้โปรดปรานนัก

ยามที่ทุกคนมาถึงลานประลอง เพียงเวลาไม่นาน ก็เห็นหลินเหราที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทหารเต็มยศทั่วไป เดินออกมาจากในกระโจม

ยามที่อยู่ห่างกันก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อร่างเงาที่ดูสง่านั้นเดินเข้ามาใกล้ทีละน้อย กระทั่งมายืนอยู่บนแท่งสูงของลานประลอง พลันให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายอันเฉียบคมดุจดั่งกระบี่ที่ถูกดึงออกมาจากฝักของเขา

ประกอบกับนัยน์ตาที่ดูเยือกเย็นราวน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ ยามถูกมอง ความเย็นเยือกคล้ายกับหมาป่ากำลังจ้องมองท่ามกลางหิมะต่างทำให้ทุกคนไม่อยากจะสบสายตากับเขา

ในลานประลอง เงียบสนิทไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง มีแค่เสียงจากธงขนาดใหญ่ที่โบกพลิ้วอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม

สายตาของหลินเหรากวาดไปทั่วทั้งลานประลอง จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “การฝึกในวันนี้ มีเวลาครึ่งชั่วยามเท่านั้น ก่อนเที่ยงวัน ท่านแม่ทัพจะมาตรวจการด้วยตัวเอง การฝึกในครานี้ ไม่ได้แสดงถึงความสามารถของข้าเพียงผู้เดียว ทั้งยังเป็นโอกาสที่พวกเจ้าทุกคนจะได้แสดงความสามารถที่เพียรฝึกมานานแรมเดือน”

จากนั้น เขาก็เปลี่ยนน้ำเสียง กล่าวด้วยเสียงเย็นชา “แต่ถ้ามีคนฝ่าฝืนคำสั่ง ทำลายกฎระเบียบ ต่อให้เป็นลูกน้องของข้าก็ไม่มีการยกเว้น ถ้าอยากถอย ให้บอกมาตอนนี้ เข้าใจหรือไม่?”

ทหารทั้งสามร้อยนายตอบกันอย่างพร้อมเพรียง “เข้าใจขอรับ!”

ยากนักที่หวังฮุยจะแอบขี้เกียจ หลังจากเรียกเหล่าพี่น้องทหารที่เคยอยู่ซีเป่ยออกมา ตัวเขาก็มานั่งอยู่ใต้ต้นหวายฉู่[1] ข้างลานประลอง เฝ้าดูพวกเขาฝึกฝนท่ามกลางลมเย็นสบายที่โชยพัด

เพียงไม่นาน เขาก็พยักหน้าและเอ่ยชื่นชม “พี่ใหญ่หลินยังเหมือนเดิม การฝึกในวันนี้ ข้าว่าคงจะราบรื่น”

แม้ว่าในใจของทุกคนจะเลื่อมใสในตัวหลินเหรา แต่ก็ยังมีคนขบขัน “ก็ไม่แน่นะ ทหารของเมืองหลวงกลุ่มนี้ อาฮุยเจ้าเองก็รู้ดี ปกติแล้วมักจะหัวรั้นกันจะตาย…”

หวังฮุยส่ายหน้า “หัวรั้นก็หัวรั้นไปสิ ประเดี๋ยวพี่ใหญ่หลินก็สอยร่วงเองแหละ”

ทุกคนพากันหัวเราะเสียงดัง ต่างเฝ้ารอผลการฝึกในช่วงสุดท้ายของหลินเหรา…

………………………………………………………………………………………………………..

[1] ต้นหวายฉู่ (styphnolobium japonicum) หรือต้นเจดีย์ญี่ปุ่น

สารจากผู้แปล

ระดับแม่ทัพใหญ่มาเองขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญแล้วล่ะ

ไหหม่า(海馬)