บทที่ 353 คุณสูบบุหรี่

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 353 คุณสูบบุหรี่

บทที่ 353 คุณสูบบุหรี่

สิบวันก่อนการประกาศผลการประเมิน ซูโย่วอี๋ตัดสินใจเดินทางกลับประเทศจีนทันที

เธอคิดถึงซุ่ยซุ่ยมาก เวลาสองเดือนที่ผ่านมาเธอวิดีโอคอลกับลูกทุกวัน แต่ความรู้สึกที่ถูกแยกออกด้วยหน้าจอกับการได้กอดใครบางคนไว้ในอ้อมแขนนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ตอนที่ลงจากเครื่องบินก็เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว ตอนนี้ซุ่ยซุ่ยอยู่โรงเรียนอนุบาลนานาชาติลันเกา ซึ่งเลิกเรียนตอนสี่โมงครึ่ง

ซูโย่วอี๋โทรหาคุณนายฮันและบอกว่าเธอจะไปรับซุ่ยซุ่ยหลังเลิกเรียนเอง

เนื่องจากเธอไม่ได้บอกครอบครัวของเธอล่วงหน้าว่ากำลังจะกลับมา คุณนายฮันจึงประหลาดใจมาก “[ถ้าอย่างนั้นลูกรับจิวจิวมาด้วยสิ ไว้แม่จะโทรไปแจ้งครู]”

ซูโย่วอี๋ขึ้นแท็กซี่ไปที่โรงเรียนอนุบาลและมาถึงก่อนเวลาเกือบ 20 นาที เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เพราะต้องการฆ่าเวลาด้วยการเล่นเกม แต่แดดยามบ่ายทำให้หน้าจอค่อนข้างพร่ามัว

เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บมือถือไปและเตะก้อนกรวดใต้เท้าอย่างเบื่อหน่าย

รถยนต์สีดำคันหนึ่งขับผ่านไปอย่างช้า ๆ ก่อนหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ

ซูโย่วอี๋เห็นคนที่อยู่ในที่นั่งคนขับผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง

ลู่เฉิน

เธอเหยียดตัวตรงเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองมาด้วยความประหลาดใจ พลางถามเธอว่า “คุณซูกลับมาที่ประเทศจีนแล้ว”

เป็นประโยคบอกเล่า

ซูโย่วอี๋ส่งเสียงรับ ไม่รู้ว่าจะพูดต่อหัวข้อนี้ต่ออย่างไร

แต่ลู่เฉินกลับดับเครื่องยนต์และลงจากรถมายืนข้างเธอ “อวี๋เฉิงติดธุระ ผมที่บังเอิญอยู่ระหว่างทางเลยมาช่วยรับจิวจิวแทน”

“ประธานลู่ จิวจิวจะไปกินมื้อค่ำที่บ้านคุณยายคืนนี้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะพาเด็กสองคนกลับบ้านด้วยกันเอง ถ้าคุณมีธุระก็ไปทำเถอะค่ะ”

“ขอบคุณนะครับ”

ลู่เฉินพูดอย่างราบเรียบ “แต่ผมไม่ยุ่ง”

“คุณไม่ได้ขับรถมา”

ซูโย่วอี๋เดาเจตนาของเขาได้ และปฏิเสธโดยไม่รู้ตัวว่า “ใช่ค่ะ แต่…”

ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ลู่เฉินก็พูดว่า “ผมไปส่งเอง”

ทั้งสองยืนเคียงข้างกันริมถนนโดยไม่พูดอะไร และอารมณ์ที่ร้อนรนของซูโย่วอี๋ก็ค่อย ๆ สงบลง

เธอเลียริมฝีปากที่แห้งเล็กน้อย หยิบกระติกน้ำร้อนออกจากกระเป๋า และพบว่าน้ำเปล่าหมดแล้ว

ลู่เฉินเหลือบเห็นจากหางตา จึงกลับไปที่รถเพื่อหยิบน้ำแร่หนึ่งขวดแล้วส่งให้เธอ “ดื่มนี่สิครับ”

จมูกของซูโย่วอี๋ขยับฟุดฟิด เพราะเธอได้กลิ่นบุหรี่

ถ้าไม่ตั้งใจคงจะไม่ได้กลิ่น

ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า พลางขมวดคิ้ว “คุณสูบบุหรี่เหรอคะ?”

ในดวงตาฉ่ำชื้นดูจะฉายแววไม่พอใจอยู่

จู่ ๆ ลู่เฉินก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย “เปล่า”

“คุณไวต่อกลิ่นบุหรี่เหรอ?”

เขาเปิดฝาขวดน้ำแล้วยื่นให้ซูโย่วอี๋

ซูโย่วอี๋รับมันอย่างเป็นธรรมชาติและจิบ

“นิดหน่อยค่ะ”

เมื่อเห็นว่าเธอดื่มเสร็จแล้ว ลู่เฉินก็รับขวดน้ำกลับมาแล้วปิดฝา

บริการทุกอย่างอย่างรอบคอบและใส่ใจ

เห็นอย่างนั้น ใบหน้าของซูโย่วอี๋ก็แสดงความไม่สบายใจ

เธอถอยหลังไปสองก้าวเพื่อสร้างระยะห่าง

“แม่ครับ”

เสียงเด็กน้อยดังมาจากประตู พยายามสงบสติอารมณ์ แต่ไม่สามารถเก็บซ่อนความดีใจไว้ได้

ซูโย่วอี๋เห็นอย่างนั้นก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ สายตาของเธออ่อนโยนขึ้น “ซุ่ยซุ่ย”

เด็ก ๆ ออกมาเป็นสองแถว เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของซุ่ยซุ่ย พวกเขาก็เริ่มพึมพำ

“ดูสิ นั่นแม่ของซุ่ยซุ่ย”

“แม่ของซุ่ยซุ่ยสวยมาก”

เด็กที่อยู่ข้างหลังดึงเสื้อผ้าของซุ่ยซุ่ย “นี่ ข้าง ๆ นั่นพ่อของนายหรือเปล่า?”

ซุ่ยซุ่ยไม่ตอบ

เด็กที่เหลือต่างคาดเดา “ไม่หรอก ไม่อย่างนั้นทำไมซุ่ยซุ่ยไม่เรียกเขาว่าพ่อ”

“ซุ่ยซุ่ยไม่มีพ่อเหรอ?”

“แต่ลุงคนนั้นดูเหมือนซุ่ยซุ่ยอยู่นิดหน่อยนะ”

ซูโย่วอี๋ได้ยินเด็ก ๆ ในชั้นเรียนพูดคุยกันก็รู้สึกแย่

ไม่ช้าก็เร็ว ซุ่ยซุ่ยจะต้องเจอกับสถานการณ์นี้ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้

แม้ว่าพ่อที่แท้จริงจะยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ตาม

แต่ลู่เฉินเดินเข้าไปแล้วและกอดซุ่ยซุ่ย “ทำไม? ลูกโกรธเหรอ? ลูกไม่อยากคุยกับพ่ออีกแล้วเหรอครับ?”

ซุ่ยซุ่ยจ้องไปที่ซูโย่วอี๋ แล้วมองไปที่ลู่เฉิน

ลู่เฉินยิ้ม “อย่าโกรธเลยนะ เดี๋ยวเราจะซื้อของเล่นที่ลูกชอบให้”

เด็ก ๆ รู้สึกอิจฉาทันที “ว้าว พ่อของซุ่ยซุ่ยจะซื้อทรานส์ฟอร์เมอร์ให้เขาล่ะ”

“ซุ่ยซุ่ย พรุ่งนี้นายให้ฉันยืมของเล่นได้ไหม?”

คนที่พูดเป็นเด็กชายที่บอกว่าเขาไม่มีพ่อก่อนหน้านี้

ซุ่ยซุ่ยมองไป “ไม่”

“ฮึ่ม ซุ่ยซุ่ยขี้เหนียวชะมัด ไม่เล่นกับนายแล้ว”

ซูโย่วอี๋ที่ยืนดูเงียบ ๆ เดินไปขอให้ลู่เฉินพาซุ่ยซุ่ยกลับไปที่รถก่อน

เธอยังต้องรอรับจิวจิว

เมื่อเด็กทั้งสองเข้าไปในรถ ซูโย่วอี๋ก็เข้าไปนั่งแถวหลัง ทางจิวจิวพูดด้วยความไร้เดียงสาว่า “แม่ซูไปนั่งข้างหน้าเถอะค่ะ หนูจะดูแลน้องซุ่ยซุ่ยอย่างดีเลย”

ซูโย่วอี๋อยากจะหาเหตุผลร้อยพันมาปฏิเสธ แต่เมื่อเธอสบตากับลู่เฉิน เธอก็ปิดประตูรถอย่างเงียบ ๆ และไปนั่งที่ที่นั่งข้างคนขับ

ช่างเถอะ

ยังไงตอนนี้ลู่เฉินก็คิดกับเธอเป็นแค่หุ้นส่วนทางธุรกิจเท่านั้น

เธอไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรทั้งนั้น

แล้วเธอก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าหาอีกฝ่ายด้วย เขาเดินเข้ามาหาเธอเอง

เมื่อผ่านห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ลู่เฉินถามเด็ก ๆ ที่อยู่แถวหลังว่า “พวกเธออยากซื้อของเล่นไหม?”

จิวจิวตบมือทันที “ขอบคุณค่า คุณลุงลู่”

จากนั้น ลู่เฉินก็เลี้ยวเข้าไปในที่จอดรถ

ซูโย่วอี๋ไม่ต้องการทำให้จิวจิวเสียใจ ดังนั้นเธอจึงไม่ห้ามอีกฝ่าย

ในห้างสรรพสินค้ามีร้านค้าขนาดใหญ่ซึ่งขายของเล่นเด็กโดยเฉพาะ และแยกสัดส่วนชายหญิงออกจากกันชัดเจน

ดวงตาของจิวจิวเปล่งประกายจนเธอแทบจะเดินต่อไม่ได้

ลู่เฉินรู้สึกขบขัน “ผมจะพาซุ่ยซุ่ยไปทางนั้น”

ซุ่ยซุ่ยดึงขากางเกงของลู่เฉิน “ลุงลู่ ผมไม่อยากซื้อครับ”

ลู่เฉินนั่งลง “ทำไมล่ะ?”

“ผมมีของเล่นที่ชอบอยู่แล้ว”

“แล้วทรานส์ฟอร์เมอร์ล่ะ?”

ซุ่ยซุ่ยส่ายหัว “นั่นเป็นของที่พวกเขาชอบ แต่ผมไม่ชอบ”

ผมของเด็กชายถูกหวีไปด้านหลังอย่างเรียบร้อย ใส่หูกระต่าย ท่าทางของเขาดูสงบจนแตกต่างจากคนอื่น ๆ

แต่ลู่เฉินมองออกว่าเขาก็ผิดหวังเช่นกันที่ไม่มีพ่อ

และรู้สึกว่าเด็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น “เธอใช้ทรานส์ฟอร์เมอร์ผูกมิตรกับพวกเพื่อน ๆ ได้นะ”

ซุ่ยซุ่ยยังคงส่ายหัว

“ผมซื้อทรานส์ฟอร์เมอร์ได้ แต่ผมซื้อพ่อไม่ได้”

“คุณลุงช่วยผมได้แค่ครั้งเดียว แต่ไม่ใช่ตลอดไป”

“แล้วผมก็ไม่ชอบเอาใจคนอื่นด้วย”

ทางจิวจิวเลือกของเล่นได้แล้ว เด็กหญิงได้ตุ๊กตามากมาย ซูโย่วอี๋ที่หันไปเห็นลูกชายของเธอนั่งยอง ๆ บนพื้นคุยกับลู่เฉิน เลยขยี้ผมของลูกชายอย่างหยอกล้อ “กระซิบกระซาบอะไรกันน่ะ?”

ซุ่ยซุ่ยเงยหน้าขึ้นอย่างไม่พอใจ “แม่ครับ ผมจะยุ่งเอานะ”

ซูโย่วอี๋แค่เอามือบีบหน้าเด็กชาย “กลับบ้านกัน”

“คุณยายโทรมาเตือนแม่แล้ว”

เมื่อกลับถึงบ้าน ซูหยินก็อยู่ในห้องนั่งเล่นแล้ว อีกฝ่ายรีบออกมากอดเธอ “ที่รัก ขอโทษที ฉันยุ่งจนหัวหมุนเลยลืมบอกอวี๋เฉิงว่าไม่ต้องรับจิวจิว ให้คุณลู่ไปเสียเที่ยวเลย เธอเจอเขารึเปล่า?”

เพราะลู่เฉินมาส่งเธอแค่ที่ประตู แต่ไม่ได้เข้ามาในบ้าน ซูหยินจึงไม่เห็น

“เขามาส่งเรากลับน่ะ”

“พี่ชายกับเสิ่นเฉียวกลับมาแล้วเหรอคะ?”

“อืม ฉันได้ยินว่าเธอจะกลับมาแล้ว พวกเขาเลยตกลงที่จะกลับบ้านมากินอาหารเย็นด้วยกันน่ะ”

คุณนายฮันดึงคุณฮันไปช่วยและยืนกรานที่จะเข้าครัวเอง

ซูโย่วอี๋ยืนอยู่ที่ประตู เฝ้าดูการทะเลาะกันของสองสามีภรรยา บรรยากาศในห้องครัวดูอบอุ่นมีชีวิตชีวาได้เข้ามาห่อหุ้มเธอไว้อีกครั้ง

เสียงรถแล่นเข้ามาดังขึ้นที่นอกบ้าน ซูโย่วอี๋มองออกไปนอกหน้าต่างห้องนั่งเล่น ก็พบไป๋เสิ่นเฉียวและฮันเจ๋อเหยียนเดินลงมา

สองมือซ้ายขวาหิ้วของพะรุงพะรัง

ฮันเจ๋อเหยียนเอื้อมมือไปหยิบสิ่งที่เสิ่นเฉียวถืออยู่

ซูโย่วอี๋เดินไปหาฮันเจ๋อเหยียนที่ประตู “กลับมาแล้วเหรอ”

เขากล่าวทักทายและเดินหยิบของไปที่ห้องครัว

เสิ่นเฉียวพูดขึ้น “มีอาหารใหม่ ๆ น่ะ เธอมาลองชิมดูสิ”

ซูโย่วอี๋มองดูผมของเธอ “ทำไมรู้สึกเหมือนว่าผมของเธอยาวขึ้นล่ะ?”

ในอดีตผมของเสิ่นเฉียวไม่เคยยาวเกินติ่งหูเลยด้วยซ้ำ

เมื่อได้ยินอย่างนี้ เสิ่นเฉียวก็ดูไม่สบายใจ “เมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันยุ่งอยู่กับการทำอาหารเลยไม่มีเวลาดูแลตัวเองน่ะ”

ซูโย่วอี๋ยอมรับคำพูดนี้อย่างไม่เต็มใจ แต่เธอไม่เข้าใจว่ามีอะไรต้องยุ่งขนาดนั้น

ในมื้อค่ำ อาหารจานใหม่ของเสิ่นเฉียวได้รับคำชื่นชมอย่างเป็นเอกฉันท์จากทุกคน

ฮันเจ๋อเหยียนมองไปที่เสิ่นเฉียว มุมปากของเขาโค้งขึ้น

เพียงมองแวบเดียว ซูโย่วอี๋ก็รู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองก้าวหน้าขึ้นมาก

หลังอาหารเย็น ซูหยินพาจิวจิวกลับบ้าน ส่วนทางฮันเจ๋อเหยียนและเสิ่นเฉียวก็มีบ้านใหม่เป็นของตัวเองแล้วเช่นกัน และพวกเขาไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่ามานานแล้ว

คู่สามีภรรยาฮันก็เหมือนกัน

แต่ฮันเจ๋อเหยียนกลับเสนอขึ้นมา “เสิ่นเฉียว คืนนี้เราอยู่บ้านกันเถอะ”

เสิ่นเฉียวย่อมไม่ปฏิเสธ

หลังคุยกันในห้องนั่งเล่นจนดึก ซูโย่วอี๋ก็พาซุ่ยซุ่ยกลับไปนอน ส่วนฮันเจ๋อเหยียนและเสิ่นเฉียวก็กลับไปที่ห้องเช่นกัน

เสิ่นเฉียวไม่รู้สึกอะไรในตอนแรก แต่เมื่อฮันเจ๋อเหยียนไปอาบน้ำ เธอก็ตระหนักว่าที่นี่มีเตียงเดียว

ในบ้านหลังใหม่ พวกเธอนอนในห้องแยกกัน

แต่ที่นี่ไม่มีอะไรแบบนั้น

ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิด ฮันเจ๋อเหยียนก็ออกมาพร้อมนำอุปกรณ์อาบน้ำชิ้นใหม่มาให้ ทางไป๋เสิ่นเฉียวตรงไปที่ห้องน้ำอย่างรีบร้อนทันที

ก่อนที่จะรู้ตัว เธอก็เหม่อไปนาน และเมื่อออกมา ห้องก็มืดสลัว มีเพียงโคมไฟบนหัวเตียงที่เปิดอยู่

ตอนนี้ฮันเจ๋อเหยียนนอนอยู่บนเตียง ราวกับว่าเขาหลับไปแล้ว

เสิ่นเฉียวปิดโคมไฟตั้งโต๊ะก่อนจะปีนขึ้นไปอีกฝั่งของเตียง

เมื่อนึกถึงคำพูดทักของซูโย่วอี๋ เรื่องผมของเธอยาวขึ้น

ไม่ใช่ว่าเสิ่นเฉียวไม่อยากตัดผมนะ แต่มันเป็นเพราะคำขอวันเกิดฮันเจ๋อเหยียนเมื่อสองวันก่อนที่ขอให้เธอไว้ผมยาวต่างหาก!

เสิ่นเฉียวไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเก็บมันไว้

ทว่า จู่ ๆ คนข้าง ๆ ก็หันมากอดเธอ “เสิ่นเฉียว”

ไป๋เสิ่นเฉียวตกตะลึง “อะไรคะ?”

ฮันเจ๋อเหยียนพูดเสียงเบา “ผมไม่อยากนอนแยกห้อง”