ตอนที่ 378 หนิงเซ่ากับซูชีพบหน้ากันอีกครั้ง (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 378 หนิงเซ่ากับซูชีพบหน้ากันอีกครั้ง (2)

เอ่อ…ขอทานบางคนที่ถูกฟันจนได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้มีโลหิตรินไหลไม่หยุด สภาพน่าเวทนาสงสารเป็นอย่างมาก

ซูชีขมวดคิ้ว คนเหล่านี้วางแผนทำร้ายและพุ่งเป้าไปที่เชียนเสวี่ย?

“ทหาร! จับคนเร่รอนที่ก่อจลาจลกลุ่มนี้ทั้งหมดไป!” เขาสั่งการ พลางยกมือขึ้น ท่าทางเช่นนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายความมีอำนาจเพิ่มมากขึ้นในชั่วพริบตา!

แม้ว่าซูชีจะมาถึงก่อน แต่ด้านหลังกลับมีทหารติดตามมาสองกลุ่ม รวมทั้งหมดยี่สิบกว่านาย

เมื่อได้ยินคำสั่งของซูชี ทั้งหมดก็ค้อมกายพยักหน้า “ขอรับ”

ซูชีส่งสายตาบอกให้มั่วเชียนเสวี่ยวางใจ จากนั้นก็หันกลับไปสั่งการเหล่าทหาร

ทั้งหมดนี้มั่วเชียนเสวี่ยเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ เท่านั้น ตอนที่เห็นลักษณะท่าทางที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจของซูชีแล้ว พูดความจริงเลยว่าในใจนางรู้สึกภูมิใจอยู่บ้าง!

ดูเหมือนว่าจะรู้สึกเป็นเกียรติ!

ในที่ห่างไกล ท่านหญิงซูซูที่มาถึงช้า

วรยุทธ์ของนางสู้ซูชีไม่ได้ และสู้เหล่าองครักษ์ของแม่ทัพเก้าประตูไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นตอนที่เพิ่งจะออกจากประตูจวนแม่ทัพเก้าประตู นางก็ถูกทิ้งเอาไว้แล้ว

ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะมาถึง ดันมาถึงในตอนที่ทุกอย่างยุติลงแล้ว!

“แฮ่กๆ…เชียนเสวี่ย! เจ้าไม่เป็นอะไรนะ ข้ากังวลแทบตาย!”

นางมาถึงอย่างรีบร้อน จึงพุ่งไปตรงหน้ามั่วเชียนเสวี่ยเพราะหยุดเท้าไม่ทัน มั่วเชียนเสวี่ยมองไม่ออก จึงมึนงงในทันที องครักษ์ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นใคร?

องครักษ์คนไหนที่มีความกล้ามากเช่นนี้ กล้าเอ่ยนามนางตรงๆ ไม่คิดจะมีชีวิตต่อแล้วสินะ?

เด็กดี คนขี้หึงกำลังยืนจ้องอยู่อีกด้านนะ

“เอ่อ…เจ้า?” มั่วเชียนเสวี่ยกระพริบตาปริบๆ มองบุรุษร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างไม่เข้าใจ

มั่วเชียนเสวี่ยมองไม่ออก แต่สายตาของหนิงเซ่าชิงร้ายกาจเพียงใด! เขาจะไม่รู้ได้เช่นไรว่าคนตรงหน้านี้เป็นใคร

แต่ก็น่าประหลาดใจมากเช่นกัน ทำไมท่านหญิงซูซูไม่ใช้ชีวิตสูงส่งสุขสบาย แต่ดันวิ่งรอกไปเป็นองครักษ์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งให้กับแม่ทัพเก้าประตูกัน?

อดให้มั่วเชียนเสวี่ยทำเรื่องเปิ่นๆ ไม่ได้ จึงเอ่ยเตือนว่า “ท่านหญิงซูซูนั้นอารมณ์ดีเสียจริง ถึงกลับไปฝึกฝนที่จวนแม่ทัพเก้าประตู?”

ท่านหญิงซูซู?

คราวนี้มั่วเชียนเสวี่ยตะลึงแล้วจริงๆ! องครักษ์ตรงหน้าผู้นี้คือซูซู? เป็นไปไม่ได้หรอก? ซูซูไม่ได้มีชีวิตอยู่ดีกินดีในจวนอ๋องหรอกหรือ ทำไมถึงได้สวมอาภรณ์ที่ไม่เหมาะสมบนร่างมายืนตรงหน้าตนเองเช่นนี้?

องครักษ์ผู้นี้รูปร่างหน้าตาเหมือนกับซูซูจริงๆ…ยังมีนางถึงขั้นเรียกตนเองอย่างสนิทสนมว่าเชียนเสวี่ย

“เจ้า…เจ้าคือซูซู?” คล้ายกับว่ายังไม่กล้าฟันธง มั่วเชียนเสวี่ยจึงถามด้วยความระมัดระวัง

ซูซูยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ยื่นมือตบลงบนอาภรณ์บนร่างของตนเอง มือสองข้างเท้าสะเอว ยิ้มเจิดจ้า เลิกคิ้ว พลางเอ่ยถามว่า “เชียนเสวี่ยเจ้าดูสิ อาภรณ์บนร่างข้าสุดยอดไหม”

ยังจะหลงตัวเอง บ้าเห่อเกินไปแล้ว!

มั่วเชียนเสวี่ยไม่เข้าใจวิธีการของซูซูจริงๆ!

แต่ตอนที่นางมองไปทางซูชีที่ยืนสั่งการอยู่อีกด้าน ก็เข้าใจขึ้นมาทันที

“ใช้ได้นี่! นี่เจ้าตั้งใจจะตามจีบสามีอย่างห้าวหาญเลยนี่!” นางเอ่ย ทั้งยังสัพยอกซูซูด้วยการยักคิ้วหลิ่วตาใส่!

ซูซูมองซูชีที่กำลังสั่งการเหล่าทหารให้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ไม่ไกลแวบหนึ่งแล้วก็หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที

ท่าทางเช่นนี้ของนาง มั่วเชียนเสวี่ยเห็นอยู่ในสายตา จะมีอะไรที่ไม่รู้กัน

ในใจก็รู้สึกดีใจแทนซูซูจริงๆ ทั้งยังนับถือนางที่กระทำเช่นนี้อย่างห้าวหาญ สามารถใช้วิธีสตรีตามจีบบุรุษเช่นนี้ออกมาได้ ในเทียนฉีจะมีสักกี่คนกัน

มั่วเชียนเสวี่ยอวยพรเงียบๆ หวังว่าซูชีจะเข้าใจเจตนาของซูซู จากนั้นก็ยอมรับนาง ทั้งสองคนจะได้ครองคู่กัน

แต่อวยพรก็ส่วนอวยพร ในใจมั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกร้อนใจแทนซูชีอยู่บ้าง ซูชีเฉยชาใส่ซูซูอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งมิตรสหายธรรมดาก็ยังนับไม่ได้

ความจริงแล้วซูซูจะไม่รู้ว่าซูชีจงใจออกห่างจากตนเองได้เช่นไร ถึงแม้ว่าซูชีจะทำเช่นนี้ แต่กลับไม่สามารถทำให้นางมีความคิดจะถอยแม้แต่น้อย!

นางเป็นคนที่มีนิสัยเช่นนี้ ยิ่งล้มเหลวก็ยิ่งกล้าหาญ!

“พอแล้ว เชียนเสวี่ย ข้าไม่คุยกับเจ้ามากไปกว่านี้แล้ว ข้าจะไปดูสถานการณ์ทางนั้นแล้ว! ตอนนี้ฐานะของข้าคือผู้ติดตามข้างกายแม่ทัพซู”

กล่าวจบ ซูซูก็มองกลุ่มคนที่ยุ่งวุ่นวายแวบหนึ่ง และไม่กล้าจะพูดคุยสัพเพเหระกับมั่วเชียนเสวี่ยอีก นางรีบก้าวไปด้านหน้า เพื่อควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยกับเหล่าทหารกลุ่มนั้น และทำความสะอาดสถานที่เกิดเหตุ

ส่วนหนิงเซ่าชิงก็ไม่มีความสนใจใดๆ กับเหตุการณ์ตรงหน้า เขาจูงมือมั่วเชียนเสวี่ยแล้วหมุนตัวจากไป

ในใจ เขาไม่หวังให้มั่วเชียนเสวี่ยมีสัมพันธไมตรีอะไรกับซูทั้งสอง ทั้งซูชีและซูซูอะไรนี่

อีกอย่าง คนของแม่ทัพเก้าประตูก็มาถึงแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับพวกเขาอีก หากไม่จากไปแล้วจะทำอันใดได้

อยู่ต่อมองดูซูชีกับมั่วเชียนเสวี่ย ‘หลิ่วหูหลิ่วตา’ ใส่กัน?

สุดท้ายมั่วเชียนเสวี่ยก็มองท่านหญิงซูซูที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มบุรุษแวบหนึ่ง พลางยิ้มจนปัญญาทว่าปลาบปลื้มใจ

ซูชีเหลือบไปเห็นมั่วเชียนเสวี่ยถูกหนิงเซ่าชิงจูงมือ จึงพิจารณามองแผ่นหลังนางด้วยหางตาแวบหนึ่งแล้วประกายในนัยน์ตาก็หม่นหมอง

เขาพยายามหันหน้าไปทางอื่นสุดชีวิต ไม่มองอีก

ท่านหญิงซูซูที่สังเกตซูชีอยู่ตลอดนั้น หัวใจก็บีบรัด ปวดใจเงียบๆ เขาทำไปเพื่ออันใดกัน!

“เซ่าชิง ท่านหญิงซูซูเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด และเป็นคนที่กล้ารักและเกลียดคนหนึ่ง!”

หนิงเซ่าชิงไม่แสดงความเห็นอะไร สำหรับเขาแล้ว ความเป็นความตายของท่านหญิงซูซู ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตนเองแม้แต่น้อย!

“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปวัดเซียงกั๋ว ดีหรือไม่”

ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่ความคิดที่เกิดขึ้นมากะทันหัน แต่เป็นการไตร่ตรองมาอย่างเนิ่นนาน และก็ตัดสินใจนานมากแล้วเช่นกัน เพียงแต่ยังหาโอกาสไม่ได้เท่านั้นเอง

ในปีที่เขานำทัพออกศึก หนิงเซ่าชิงได้รับปากอาจารย์ของเขาอย่างหนักแน่น ท่านเจ้าอาวาสวัดเซียงกั๋วเคยเอ่ยไว้ว่าในภายภาคหน้า เมื่อมีสตรีที่เขารักเดียวใจเดียว ก็ให้พาไปให้ผู้ชราเช่นเขาดูหน่อย

อย่างไรเสีย เป็นอาจารย์เพียงหนึ่งวัน ก็เปรียบดั่งเป็นบิดาไปชั่วชีวิต

วันนี้ที่เขาพามั่วเชียนเสวี่ยออกมาข้างนอก ก็วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่า จะพามั่วเชียนเสวี่ยมาเที่ยวดูทะเลสาบในฤดูใบไม้ผลิก่อน ตอนกลางวันหลังจากกินข้าวเสร็จ ก็จะพานางไปวัดเซียงกั๋ว

หลังจากทั้งสองคนเข้าไปที่วัด ก็จะพักที่นั่นคืนหนึ่ง ยามรุ่งค่อยกลับ

สามีภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งงานกันพักอ้างแรมข้างนอก ย่อมไม่เหมาะสม

ทว่า แม้ว่าในสายตาคนนอกทั้งสองคนจะยังไม่ได้แต่งงาน แต่ถ้าหากสถานที่ที่พักค้างแรมเป็นวัดเซียงกั๋ว สถานที่ที่เข้มงวดเช่นนั้น ก็ไม่มีผู้ใดกล้าซุบซิบนินทา

การไปอธิษฐานขอพรก่อนแต่งงานเป็นเรื่องที่ตระกูลชนชั้นสูงทำกันเป็นปกติ

เดิมวางแผนไว้เรียบร้อยมาก แต่คนที่ทะนงตนเช่นเขากลับคาดไม่ถึงว่า ระหว่างเที่ยวเล่นที่ทะเลสาบจะเกิดเรื่องที่ทำให้คนไม่สบอารมณ์มากขนาดนี้

แต่นี่ไม่อาจหยุดยั้งแผนการเดินทางที่เขาจะพามั่วเชียนเสวี่ยไปวัดเซียงกั๋วเข้าพบท่านอาจารย์ได้

วัดเซียงกั๋ว?

มั่วเชียนเสวี่ยใจหวิวไปแวบหนึ่ง วัดเซียงกั๋วแห่งนี้…

วัดเซียงกั๋วแห่งนี้น่าจะเป็นที่พักอาศัยของพระภิกษุสินะ? หนิงเซ่าชิงพานางไปทำอันใดที่สถานที่แห่งนั้น

หนิงเซ่าชิงไม่ได้บอกเหตุผล มั่วเชียนเสวี่ยย่อมเกิดความสงสัยในใจ “ในวัดเซียงกั๋วล้วน…เป็นพระภิกษุ?”

—————————–