ตอนที่ 345 แม่หม่าทำร้ายคน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 345 แม่หม่าทำร้ายคน

วันถัดมานั้นไม่ได้เป็นเพียงวันจ่ายเงินเดือนของเถาจืออวิ๋นเท่านั้น ยังเป็นวันส่งมอบสินค้าที่ฟางจั๋วหรานสั่งมาจากโรงปั่นฝ้ายของรัฐหลายแห่งให้หลินม่ายอีกด้วย

การตรวจสอบและทำการรับสินค้ามูลค่าหลายแสนหยวนทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และยังต้องตรวจสอบคุณภาพด้วย

สินค้าที่มีปัญหาด้านคุณภาพจะต้องส่งกลับคืน ณ เวลานั้นในทันที เพราะหากส่งคืนในภายหลัง โรงปั่นฝ้ายของรัฐพวกนั้นอาจจะไม่ยอมรับคืนก็ได้

ใครใช้ให้หน่วยงานรัฐอย่างพวกเขาหยิ่งยโสใช้อำนาจบาตรใหญ่ขนาดนั้นล่ะ!

หลินม่ายไปที่โรงงานเสื้อผ้าตั้งแต่เช้า โดยเถาจืออวิ๋นเองก็มาก่อนล่วงหน้าแล้วเช่นกัน

หลินม่ายถาม “เมื่อเช้าฉันไปส่งโต้วโต้วที่บ้านป้าติง ทำไมไม่เห็นฉีฉีเลยล่ะคะ?”

เถาจืออวิ๋นพูด “เมื่อวานพ่อแม่ของฉันมาที่บ้านและรับฉีฉีไปแล้ว พวกเขาจะช่วยฉันดูแลฉีฉีน่ะ”

หลินม่ายถามอย่างประหลาดใจ “พ่อแม่พี่ไปที่บ้านพี่อย่างนั้นเหรอคะ? พวกเขาไม่ได้ขัดขวางไม่ให้พี่หย่ากับหม่าเทาหรอกเหรอ?”

เพราะพ่อแม่ของเถาจืออวิ๋นคัดค้านการหย่าของเธอกับหม่าเทาอย่างรุนแรง เถาจืออวิ๋นถึงได้ย้ายออกมาอยู่ข้างนอก

เถาจืออวิ๋นอธิบาย “เพราะมีพี่ชายทั้งสองคนกับพวกพี่สะใภ้ออกหน้าให้ พวกเขาก็เลยไม่ขัดขวางแล้วล่ะ”

หลินม่ายแย้มยิ้ม “บนโลกใบนี้ไม่มีพ่อแม่ที่ฝืนใจลูกๆ ได้หรอก”

เถาจืออวิ๋นเองก็ยิ้มออกมา “พ่อแม่ของฉันอยากจะเชิญเธอไปกินข้าวที่บ้านพร้อมกับโต้วโต้วสักมื้อในวันชาติน่ะ”

หลินม่ายอึ้งไปเล็กน้อย “อยู่ดีๆ ทำไมถึงเชิญฉันกับโต้วโต้วไปกินข้าวล่ะ?”

เถาจืออวิ๋นตบไหล่เธอเบาๆ “แน่นอนว่าเพื่อขอบคุณที่เธอคอยดูแลฉันแม่ลูกมามากมายไง”

หลินม่ายพูดอย่างลังเล “วันชาติฉันติดธุระ คงจะไปกินข้าวที่บ้านคุณอาคุณน้าไม่ได้ เปลี่ยนวันได้หรือเปล่า?”

“โธ่เอ้ย! ฉันลืมเรื่องใหญ่อย่างนี้ไปเสียได้” เถาจืออวิ๋นได้ยินแล้วก็ตบศีรษะตัวเองดังป้าบ “เดี๋ยวฉันจะไปบอกพ่อกับแม่ ให้พวกเขาเปลี่ยนเป็นเชิญเธอมากินข้าวในวันที่ 3 เดือนตุลาคมแทน”

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน รถบรรทุกส่งสินค้าของโรงปั่นฝ้ายที่แรกก็แล่นเข้ามาพอดี

พวกหล่อนยุ่งวุ่นวายกันตั้งแต่ช่วงสายไปจนถึงบ่ายสี่โมงกว่า ในที่สุดก็ตรวจสอบสินค้าทั้งหมดเสร็จสิ้น ซึ่งไม่มีผ้าที่มีปัญหาเลยแม้แต่พับเดียว

แม้โรงปั่นฝ้ายของรัฐจะมีข้อบกพร่องนั่นนี่มากมาย แต่ในด้านคุณภาพนั้นก็ยอดเยี่ยมอย่างน่าชมเชย

หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นต่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เหนื่อยจนแม้แต่เอวก็ตั้งตรงไม่ได้อีกต่อไป

เถาจืออวิ๋นมองผ้าเหล่านั้นแล้วค่อนข้างเป็นกังวล “เธอไม่ได้บอกว่า ราคาผ้าในพื้นที่ติดทะเลพุ่งสูงขึ้น จะกระทบต่อพื้นที่ห่างไกลทะเลในไม่ช้าหรอกเหรอ? นี่ก็ผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ทำไมยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยล่ะ? ฉันกังวลจริงๆ ถ้าราคาผ้าของพื้นที่ติดทะเลตกลงมา จะทำให้ราคาผ้าของพื้นที่ห่างไกลทะเลถูกลงด้วย เธอซื้อผ้ามาเยอะขนาดนี้ จะขาดทุนไปมากมายเท่าไหร่กัน!”

ตั้งแต่ที่บ้านมีโทรศัพท์ หลินม่ายก็ได้ติดต่อทางโทรศัพท์กับเคอจื่อฉิงอยู่บ่อยครั้ง

เธอจึงได้รู้ว่าเสื้อผ้าที่เมืองติดทะเลกำลังเพิ่มราคาขึ้นเล็กน้อยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าราคาผ้าเองก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

ในเมื่อจะเพิ่มสูงขึ้นอีก อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรน่ากังวล

เธอยิ้มอย่างมั่นใจให้กับเถาจืออวิ๋น “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ขาดทุนหรอก มีแต่จะได้กำไร”

เธอยกมือขึ้นดูนาฬิกา “ถึงเวลาเลิกงานแล้ว พี่ไปก่อนเถอะ กลับไปต้มน้ำร้อนอาบคลายความเหนื่อยล้าให้สบาย”

“กลับด้วยกันเถอะ สินค้าก็เข้าโกดังหมดแล้ว เธออยู่ต่อก็ไม่มีอะไรให้ทำหรอก”

หลินม่ายโบกมือไปมา “ฉันยังต้องติดต่อกับเฉินเฟิง ให้เขาส่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาเฝ้าโกดังอีกอย่างน้อย 10 คน ข้างในนั้นเก็บผ้ามูลค่าหลายแสนหยวนเอาไว้ ถ้าถูกใครเสียสติจุดไฟเผาขึ้นมา แม้แต่จะร้องไห้ฉันก็ไม่มีที่ให้ร้อง”

แม้ว่าความเป็นไปได้นั้นจะมีน้อย แต่เธอก็ต้องกันไว้ดีกว่าแก้

เถาจืออวิ๋นจึงกลับไปก่อนด้วยเหตุนี้

หลินม่ายไปที่ห้องทำงานแล้วโทรศัพท์หาเฉินเฟิง พูดคุยกันสองสามคำก็บอกถึงความต้องการ

เฉินเฟิงให้เธอรอครึ่งชั่วโมง แล้วเขาจะย้ายลูกน้องมาให้ทันที

หลังจากวางสายไปแล้ว หลินม่ายก็ไม่มีอะไรทำ เธอจึงไปเดินเล่นในโรงงาน

เหล่าคนงานต่างเลิกงานกันหมดแล้ว มีเพียงพนักงานทำความไม่กี่คนกำลังเก็บกวาดเศษผ้าบนพื้นจากการตัดเย็บ

เศษผ้าบางชิ้นก็เป็นเศษผ้าจริงๆ ที่ใหญ่กว่าฝ่ามือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่บางชิ้นก็กลับมีความยาวถึงประมาณ1ฟุต

พนักงานทำความสะอาดไม่กี่คนนั้นเก็บกวาดเศษผ้าทั้งหมดรวมเป็นก้อนเดียวกัน แล้วจึงนั่งยองๆ ลงด้วยกัน แยกเศษผ้าชิ้นใหญ่ออกมา ใส่เข้าไปในกระสอบข้างกายตัวเอง

ในเวลาไม่กี่นาที ทุกคนก็บรรจุเศษผ้าไปแล้วครึ่งกระสอบ

ต่อให้เอากลับไปเย็บต่อกันทำเป็นเสื้อผ้าให้เด็กๆ ก็ยังทำได้ไม่มาก

อู๋ซู่เฟินกำลังยัดเศษผ้าใส่กระสอบของตัวเองอย่างขะมักเขม้น หางตาก็เห็นเหมือนมีใครสักคนที่ยืนอยู่ที่ประตู

หล่อนหันไปมองและเห็นว่าเป็นหลินม่าย พลันผุดลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว แล้วทักทายด้วยรอยยิ้ม “ประธานหลิน คุณยังไม่กลับเหรอคะ?”

ในตอนนั้นพนักงานทำความสะอาดคนอื่นๆ เองก็เห็นหลินม่ายแล้วเช่นกัน ทั้งหมดลุกขึ้นมา ทักทายเธอด้วยความเคารพนอบน้อม

หลินม่ายตอบรับทีละคน จากนั้นจึงพูดกับอู๋ซู่เฟิน “มีธุระที่ยังจัดการไม่เสร็จนิดหน่อยน่ะค่ะ ก็เลยไม่ได้รีบกลับ”

“ประธานหลินทำงานหนักจริงๆ คุณต้องใส่ใจกับการพักผ่อนด้วยนะคะ”

อู๋ซู่เฟินเอ่ยแสดงความเป็นห่วงเล็กน้อย แล้วจึงเปลี่ยนประเด็น หล่อนชี้ไปที่กระสอบที่พวกหล่อนใส่เศษผ้าเอาไว้แล้วพูด “เศษผ้าพวกนี้ทั้งหมดไม่เอาแล้ว หัวหน้าเลยให้พวกเราเอาไปน่ะค่ะ”

พนักงานทำความสะอาดคนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าเสริม สื่อว่าพวกหล่อนไม่ได้เอาเศษผ้าไปเองโดยไม่ได้รับอนุญาต

หลินม่ายพูดอย่างใจดี “ตอนนี้บริษัทไม่ได้เอาเศษผ้าพวกนั้นมาใช้ประโยชน์อะไร พวกคุณจะเอาไปก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวสองวัน เศษผ้าพวกนี้จะถูกนำมาใช้ประโยชน์แล้ว มันจะไม่ใช่ขยะอีกต่อไป พวกคุณก็คงเอาไปไม่ได้แล้ว”

เหล่าพนักงานทำความสะอาดขานรับอย่างรวดเร็ว แต่ในใจกลับกำลังนึกกังขา ว่าเศษผ้าพวกนี้จะมีประโยชน์เท่าไรกันเชียว

แต่หลินม่ายได้วางแผนเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว ว่าเธอสามารถเปิดโรงงานหัตถกรรมจากเศษผ้าเล็กๆ สักแห่งได้ โดยใช้เศษผ้าพวกนี้มาทำเป็นหมวก

ส่วนเศษผ้าที่มีขนาดใหญ่หน่อย ก็เอามาชั่งน้ำหนักขายต่อ

แม่บ้านที่มีความสามารถและยากจนเหล่านี้ซื้อกลับไปก็ยังสามารถเย็บต่อกันเพื่อทำเสื้อผ้าให้กับคนในครอบครัวได้

ในยุคนี้ คนจำนวนมากยังสวมใส่เสื้อผ้าที่มีรอยปะ เดิมทีเสื้อผ้าที่ปะต่อเย็บรวมกันนั้นไม่ได้มีใครคิดว่าเป็นเรื่องน่าขันเลย

หากเย็บต่อกันได้ดี ไม่เพียงไม่มีใครหัวเราะเยาะ และเมื่อสวมใส่บนร่างกายก็ยังดูไม่เลวอีกด้วย

ในตอนนั้นเอง ลุงยามเฝ้าประตูก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก

เมื่อเห็นหลินม่ายก็ตบต้นขาของตัวเองทีหนึ่ง แล้วพูดด้วยสีหน้าแห้งผาก “ประธานหลิน คุณมาถึงตรงนี้ได้ยังไงกันครับ ทำเอาผมตามหาไปทั่วเลยเชียว!”

หลินม่ายถาม “เกิดเรื่องอะไรเหรอคะ?”

“ครับ แถมยังเป็นเรื่องใหญ่เลยด้วย!” ลุงยามพูด “มีคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นแม่สามีกับสามีของคุณนักออกแบบเถาขวางทางคุณนักออกแบบเถาอยู่ที่ประตู ไม่ยอมให้หล่อนไปเลยครับ คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นแม่สามีกับสามีของคุณนักออกแบบเถายังลงมือทำร้ายคุณนักออกแบบด้วย คุณรีบไปดูหน่อยเถอะครับ!”

หลินม่ายวิ่งทะยานไปยังประตูโรงงานในทันที

แล้วเธอก็เห็นเถาจืออวิ๋นผมเผ้ากระเซิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ดูเหมือนว่าจะอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบเป็นอย่างมาก

ชายหนุ่มคนหนึ่งปกป้องหล่อนเอาไว้ข้างหลัง และกำลังคุยกับแม่หม่าด้วยเหตุผล

แต่แม่หม่ากลับไม่ฟังแม้แต่คำเดียว ทั้งยังพูดอย่างเย่อหยิ่ง “แม่สามีจะตีลูกสะใภ้ตัวเองมันเกี่ยวอะไรกับเธอ ถึงต้องมาปกป้องหล่อน!…อ๋อ…เข้าใจแล้ว แกคงจะเป็นชายชู้ของลูกสะใภ้ฉันสินะ!”

คนที่ผ่านไปมาไม่น้อยชี้มือชี้ไม้ซุบซิบนินทามาที่ชายหนุ่มคนนั้นและเถาจืออวิ๋นทันที

เถาจืออวิ๋นก้าวออกมาจากด้านหลังจากชายหนุ่ม แล้วพูดกับแม่หม่าด้วยความโกรธเกรี้ยว “ฉันกับสหายคนนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คุณอย่ามาโจมตีใส่ร้ายคนอื่นแบบทุเรศๆ ที่นี่ให้มันมากนัก!”

“ฉันเหรอโจมตีใส่ร้าย?” แม่หม่าหัวเราะอย่างเย็นชา “เธออย่าแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เลยดีกว่า! คนแปลกหน้าจะมาออกหน้าเพื่อเธอเหรอ? แล้วทำไมไม่มีคนแปลกหน้าที่ไหนมาออกหน้าเพื่อฉันเลยล่ะ!”

หลินม่ายพลันเดินเข้าไปพูดกับหล่อนด้วยสีหน้าเย็นชา “เพราะคุณมันเลวเกินไปไงล่ะ ก็เลยไม่มีคนแปลกหน้าที่ไหนมาออกหน้าแทนคุณ! ส่วนคนจิตใจดี จะมีใครมาออกหน้าช่วยเธอมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ตอนแรกที่พี่เถาสองแม่ลูกถูกคนรังแกบนรถไฟ ก็คนแปลกหน้าอย่างฉันนี่แหละที่ออกหน้าช่วยหล่อน! ตำรวจรถไฟก็ยังมีบันทึกที่ฉันช่วยพี่เถาอยู่ คุณจะไปตรวจสอบดูก็ได้ อย่าคิดว่าตัวเองเลวจนไม่มีใครช่วย แล้วนึกว่าคนอื่นทั้งโลกนี้ก็ไม่มีใครช่วยเหมือนกับคุณสิ!”

แม่หม่าโดนตอกหน้าจนพูดอะไรไม่ออก

ชายหนุ่มที่ปกป้องเถาจืออวิ๋นคนนั้นปรบมือขึ้นมาทันทีที่หลินม่ายพูดจบ เขาเอ่ยอย่างชื่นชม “พี่สะใภ้พูดได้เยี่ยมไปเลย!”

หลินม่ายหันกลับไปมอง และพบว่าชายหนุ่มคนนั้นก็คือฟางจั๋วเยวี่ย จึงพูดด้วยความประหลาดใจ “นายมาที่นี่ได้ยังไงกัน?”

ฟางจั๋วเยวี่ยเบ้ปาก “แม่ผมบอกว่าหล่อนคิดถึงผม เรียกให้ผมกลับบ้านไปกินข้าว แล้วผมก็เดินผ่านมาทางนี้”

หลินม่ายชี้หน้าแม่หม่าแล้วพูดขึ้น “คุณจบเห่แน่ กล้ามาใส่ร้ายน้องสามีในอนาคตของฉัน เตรียมรอโดนฟ้องร้องได้เลย!”

หม่าเทาที่คอยยืนประคองแม่หม่าอยู่ข้างๆ ตลอดลนลานขึ้นมา รีบพูดกับหลินม่าย “คุณอย่าไปถือสากับแม่ผมเลย ท่านอายุมากแล้ว ก็เลยชอบพูดจาเหลวไหลอยู่บ้างน่ะ!”

“แต่ผมถือ!” ฟางจั๋วเยวี่ยพูดอย่างดุร้าย “ทำไม? อายุมากแล้วจะทำร้ายจะว่าร้ายพวกเรายังไงก็ได้งั้นเหรอ? พวกคุณคิดว่าผมเป็นคนที่หาเรื่องกันได้ง่ายๆ เหรอ? ปู่ของผมเป็นข้าราชการอาวุโสเกษียณอายุของกองศิลปะวรรณกรรมแห่งปักกิ่ง พ่อของผมเองก็ไม่ใช่บุคคลทั่วไปหรอกนะ!”

ฟางจั๋วเยวี่ยไม่เคยเอาภูมิหลังของครอบครัวมาใช้ข่มเหงใครมาก่อน แต่เขาเกลียดขี้หน้าแม่หม่าที่พาลไปทั่วจนไม่ยอมฟังเหตุผลจริงๆ

คนอย่างหล่อนไม่หวั่นฟ้ากลัวดิน แต่กลัวอำนาจอิทธิพล อย่างนั้นใช้อำนาจขู่ให้หล่อนเสียขวัญก็พอแล้ว

แม่หม่าได้ยินดังนั้น ก็พลันตะลึงพรึงเพริด พูดอธิบายตะกุกตะกัก “ฉัน…ฉันไม่เคยคิดจะล่วงเกินคุณเลย ฉัน…ก็แค่มาตามลูกสะใภ้กลับไปทำงาน ไม่ให้หยุดงานโดยไม่รับค่าจ้างเท่านั้น ถ้าหยุดงานโดยไม่รับค่าจ้าง พวกเราทั้งครอบครัวคงต้องอดอยากไม่มีอันจะกินแน่แล้ว”

เถาจืออวิ๋นหัวเราะขึ้นมา “พวกคุณทั้งครอบครัวจะอดอยากแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันไม่ได้มีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูพวกคุณทั้งครอบครัวนะ!”

เมื่อแม่หม่าเผชิญหน้ากับเถาจืออวิ๋น นางยังคงวางท่าหยิ่งยโสโอหัง “ใครบอกว่าเธอไม่มีหน้าที่เลี้ยงดูพวกเราทั้งครอบครัว? เธอเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเรา เธอก็ต้องเลี้ยงดูพวกเราสกุลหม่าทั้งตระกูล!”

หลินม่ายพูดอย่างเหลืออด “คุณนี่ช่างไม่เข้าใจกฎหมายเอาเสียเลย ลูกสะใภ้น่ะอย่าว่าแต่ไม่ได้มีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูครอบครัวฝั่งสามีเลย แม้แต่พ่อแม่สามีก็ไม่มีหน้าที่ต้องเลี้ยง!”

แม่หม่าพูดด้วยความโมโห “พูดเหลวไหล!”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คิดคำพูดดีๆ ตอกหน้ายัยแก่กับลูกชายสวะของหล่อนไปสักประโยคทีม่ายจื่อ เอาให้รู้สึกเหมือนโดนตบหน้ากลางจัตุรัสเทียนอันเหมินไปเลย

ไหหม่า(海馬)