“ข้าถามเจ้า ทำไมสองวันนี้ข้าถึงตื่นสาย?”
สวีฉางหลินชะงัก จากนั้นก็ลูบมือของภรรยาตัวน้อยตัวเองต่อ
เห็นท่าทางเขาแล้ว โจวกุ้ยหลานยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ฝีมือเขานั่นแหละ!
“มิน่าล่ะ ถึงว่าแหละ ว่าอยู่ดีๆ ทำไมข้าถึงตื่นสายได้!” โจวกุ้ยหลานอดบ่นขึ้นมาไม่ได้
คิดดูแล้วปกตินางตื่นแต่เช้า ไม่มีเหตุผลที่จะตื่นสายอย่างนี้! เมื่อวานยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่าผ่อนคลายอยู่เลย วันนี้เกิดอะไรขึ้น? อีกอย่าง แล้วทำไมเมื่อคืนเขาถึงนอนอยู่ข้างนาง? ไม่ใช่ว่ามีเจ้าก้อนน้อยคั่นอยู่ตรงกลางหรือ?
“ทำไมถึงทำอย่างนี้?” โจวกุ้ยหลานอดกลั้นโทสะของตัวเอง เอ่ยถามอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง สวีฉางหลินกำลังคร่ำเคร่งกับการศึกษามือของภรรยา ตอนนี้จะไม่พูดอะไรทั้งนั้น เพราะหากพูด ด้วยนิสัยของนางต้องไม่ละเว้นเขาง่ายๆ แน่
โจวกุ้ยหลานเห็นเขาเงียบ โทสะในใจจึงยิ่งมีมากขึ้น “เจ้าจะพูดหรือไม่พูด?”
“อยากให้เจ้านอนให้เต็มอิ่ม” สวีฉางหลินเห็นภรรยาตัวน้องโกรธจริงๆ แล้ว จึงตอบไปประโยคหนึ่ง
กับการอธิบายของเขา ต่อให้ใช้นิ้วโป้งเท้าคิด โจวกุ้ยหลานก็ยังไม่เชื่อเลยไหม?
ทำไมปกติไม่คิดให้นางนอนเต็มอิ่ม? เมื่อคืนหวิดทำนางขาดอากาศตายแล้ว พอตอนเช้าดันมาอยากให้นางนอนเต็มอิ่ม?
“สวีฉางหลิน ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าเจ้ายังไม่พูดอีก ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรเรียกว่าเมียทอดทิ้งลูกห่างหาย!” โจวกุ้ยหลานกัดฟันกรอด
เมียทอดทิ้งลูกห่างหาย?
นี่นางคิดจะหนีตามชายอื่นจริงหรือ?
สวีฉางหลินตกใจ ดวงตาพลันเย็นเยียบ
“เจ้าจะหนีตามชายชู้ไม่ได้นะ!”
ชายชู้? เอาชายชู้มาจากไหน?
ผู้ชายที่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางทุกวันก็มีแต่เขานี่แหละ! ถ้ายังมีอีกก็คือเจ้าก้อนน้อยกับพี่ชายของนาง!
เดี๋ยวๆ ความหมายในคำพูดของเขา การจงใจในระยะนี้ หรือว่าจะประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของกับคนอื่น?
ไม่รู้ว่าอย่างไร สมองของโจวกุ้ยหลานพลันแล่นปราด แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องนี้
นางมองสวีฉางหลินอย่างเหลือเชื่อ ถามหยั่งเชิง “ฉะนั้น…นี่เจ้าทำเพื่อไม่ให้ผู้ชายพวกนั้นคิดวางแผนกับข้า?”
ลูกตาสวีฉางหลินขยับนิดๆ ความเลิ่กลั่กแวบผ่านในดวงตา เบือนหน้าไปมองอีกทางก่อนจะเอ่ย “ก็ผู้ชายเยอะเหลือเกินนี่นา”
โจวกุ้ยหลาน “…”
นางยังพูดอะไรได้?
“ฉะนั้นเจ้าจึงบอกกับพวกเขาว่าเจ้าหลับนอนกับข้า? แล้วยังบอกคนอื่นว่าพวกเราสองคน…” ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ โจวกุ้ยหลานก็พูดต่อไม่ออกแล้ว
“ข้าแค่บอกว่ากลางคืนเจ้าเหนื่อย” สวีฉางหลินเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
เขาไม่ได้พูดอย่างอื่นนะ คนพวกนั้นคิดกันเอาเอง ไม่เกี่ยวกับเขาสักหน่อย
“เจ้าพูดแบบนี้ไม่ใช่บอกเป็นนัยแล้วหรือ? คนเขาไม่รู้ยังนึกว่าพวกเราทำอะไรกัน!” โจวกุ้ยหลานคิดถึงท่าทางคนพวกนั้นแล้วก็โมโหเตะสวีฉางหลินทีหนึ่ง
ตาคนนี้ ไม่ซื่อบื้อน่ารักเหมือนกับที่เขาแสดงออกมาเลยสักนิด! ชั่วร้ายอย่างที่สุด แถมตอนนี้ยังรู้จักผลักความรับผิดชอบด้วย!
“ข้าควบคุมความคิดของพวกเขาไม่ได้นี่” สวีฉางหลินแก้ต่างให้ตัวเองต่อ
โจวกุ้ยหลานโมโหกระทืบเท้า
“ได้ ในเมื่อเจ้าควบคุมความคิดของคนอื่นไม่ได้ อย่างนั้นข้าก็จะให้เจ้ามีเวลาขบคิดอยู่กับตัวเอง!” โจวกุ้ยหลานเอ่ยด้วยความดุดัน
อีกฝั่งหนึ่ง สวีฉางหลินสะดุ้งในใจ รู้สึกถึงลางร้าย
จากนั้น โจวกุ้ยหลานก็ทำลางร้ายของเขาให้เป็นจริง “วัสดุของเรากองอยู่บนเขา กลัวจะมีคนจ้อง นับจากคืนนี้ เจ้าไปนอนที่กระท่อมจนกว่าจะสร้างบ้านเสร็จนะ”
“จะเก็บไว้ในกระท่อมไม่ได้หรือ?”
“ขนเข้าขนออกทุกวันเปลืองแรงคนขนาดไหน? อีกอย่าง อีกสองวันข้ายังต้องไปซื้อ ต่อไปจะกองไว้ข้างนอกหมดก็ไม่สะดวก ลำบากเจ้าแล้ว”
โจวกุ้ยหลานยิ้มเย็นพูดจนจบ จากนั้นก็ดึงมือของตัวเองออกแรงๆ หมุนตัวไม่มองสวีฉางหลิน เปิดประตูเดินไปทางห้องครัว
ตาคนนี้น่าชังนัก! เพื่อความคิดพิลึกพิลั่นของตัวเอง ถึงกับทำให้นางถูกคนหยอกล้อขบขันอย่างนี้ น่าชังที่สุด ถ้านางไม่ให้ทำเขาสำนึกบ้าง ต่อไปยังไม่รู้จะมีแผนอะไรอีก!
มองแผ่นหลังภรรยาตัวน้อยของตัวเอง สวีฉางหลินอยากร่ำไห้ไร้น้ำตา
อยู่บนเขาคนเดียว? นั่นก็กอดภรรยาไม่ได้แล้วสิ?
ทางนี้ โจวกุ้ยหลานตะบึงตะบองเดินเข้าห้องครัว เห็นเหล่าไท่ไท่กำลังผัดผัก หลิวเซียงกำลังเผาฟืน
เมื่อเห็นสีหน้านางผิดไป เหล่าไท่ไท่ก็ตะลึง ถาม “อย่างไร บัญชีไม่ตรงหรือ? หรือว่าเงินไม่พอ?”
“เปล่า บัญชีชัดเจนดี ข้าจดไว้หมด” โจวกุ้ยหลานไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้เหล่าไท่ไท่ฟัง ดังนั้นจึงตอบแบบขอไปที
เมื่อได้ยินว่าไม่มีปัญหาเรื่องเงิน เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรแล้ว
เหล่าไท่ไท่โล่งอก จากนั้นจึงผ่อนคลายลงไม่น้อย “แล้วเจ้าหงุดหงิดอะไร?”
“ไม่มีอะไร ตั้งแต่คืนนี้ สวีฉางหลินจะไปเฝ้าของในบ้านอยู่บนเขา”
“อะไรนะ? หนาวขนาดนี้จะให้เขาไปอยู่บนเขาคนเดียวหรือ?” เหล่าไท่ไท่อดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้ น้ำเสียงล้วนไม่เห็นด้วย
ถึงอากาศยังไม่หนาวจัด ยังไม่มีหิมะตก แต่พวกเขาก็ใส่ชุดนวมแล้ว บนเขาไม่มีเตียงเตา กลางคืนจะนอนอุ่นได้อย่างไร?
“ไม่อย่างนั้นของบนเขาพวกนั้นไม่ต้องถูกคนอื่นเอาไปหรือ? คนอื่นสร้างบ้านก็ต้องเฝ้าอย่างนี้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นก็ให้เขาเผาถ่านให้อุ่น แบบนี้ก็ไม่หนาวแล้ว แต่ถ้าท่านไม่อยากให้เขาหนาว ข้าจะไปเฝ้าเอง” โจวกุ้ยหลานตอบ
การสร้างบ้าน กระเบื้องเอ่ย ฝุ่นหินเอยก็อยู่ข้างนอกหมด ต้องมีคนเฝ้า ถ้าไม่มีคนเฝ้า น่ากลัวว่าต้องถูกขโมยไปหมด
“นั่นก็จริง” เหล่าไท่ไท่คิดแล้วก็รู้สึกว่าควรให้คนไปเฝ้า ดังนั้นจึงไม่คัดค้าน
พลันกำชับ “อย่างนั้นเจ้าเอาผ้าห่มไปให้เขามากหน่อย ให้เขาเผาถ่าน อย่าหนาว ไม่อย่างนั้นก็ให้พี่เจ้าไปสลับกับเขา คนละคืน”
“ให้พี่พักผ่อนอยู่บ้านเถอะ เขาคนเดียวก็ได้” โจวกุ้ยหลานเอ่ย มองในห้อง ถามนาง “เสี่ยวเทียนล่ะ?”
“พี่เจ้าพาเขาไปที่แปลงผัก”
โจวกุ้ยหลานไม่พูดมาก รับตะหลิวจากเหล่าไท่ไท่แล้วเริ่มผัดกับข้าวของตัวเอง
สวีฉางหลินตามออกมา เพิ่งเข้าห้องครัวก็ได้ยินเหล่าไท่ไท่เอ่ยปาก “ฉางหลิน กลางคืนเจ้าต้องใช้ถ่านทำให้อบอุ่นนะ เอาผ้าห่มไปมากหน่อย อย่าให้ได้หนาวล่ะ”
เขาหันไปมองโจวกุ้ยหลาน กดคำพูดที่อยู่ตรงฝีปากลงไปทั้งอย่างนั้น
“ได้”
“ไอ้หยา ลำบากเจ้าจริงๆ ยังต้องขึ้นเขาไปเฝ้าอีก อากาศหนาว ข้ากลัวเจ้าจะไม่สบาย” เหล่าไท่ไท่ยังบ่น
สวีฉางหลินตอบ “ข้าก็ไม่อยากไป”
ครั้นได้ยินเขาพูดอย่างนี้ โจวกุ้ยหลานก็เหลืบสายตาคมกริบมา
“อย่างไรก็ต้องมีคนเฝ้า หรือจะให้ข้าไป?” โจวกุ้ยหลานเอ่ย
“นั่นก็ช่วยไม่ได้ ข้าต้องเฝ้าเอาไว้” สวีฉางหลินพลิกลิ้น รับปากทันควัน
ให้นางขึ้นเขา เกิดหนาวจะทำอย่างไร? อีกอย่าง นางขึ้นเขา เขาก็ยังกอดนางไม่ได้อยู่ดี…
โจวกุ้ยหลานพอใจกับท่าทีของเขา สีหน้าดีขึ้น