บทที่ 270 พบกันอีกครา (2)
ต้นเดือนห้า ผลการสอบราชสำนักก็ออกมา ตู้รั่วหานมีชื่อในประกาศอันดับที่เจ็ด เฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่ได้ที่แปดสิบกับเจ็ดสิบเก้าในจำนวนที่รับทั้งหมดแปดสิบคน
ในบรรดาจิ้นซื่อที่เข้าร่วมการสอบ มีจิ้นซื่อขั้นหนึ่งระดับสองเจ็ดสิบสองคน ที่เหลือล้วนเป็นจิ้นซื่อขั้นหนึ่งระดับสามทั้งหมด
เฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่ต่างเป็นจิ้นซื่อขั้นหนึ่งระดับสาม พวกเขาสองคนต้องต่อสู้กับเพื่อนคนอื่นในการสอบอย่างยากลำบากยิ่ง
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าจะติดรั้งท้ายไปด้วย แต่เฝิงหลินก็ยังดีใจจนร้องไห้อยู่ดี
เขาเคยเห็นคนมากมายที่สอบไปเรื่อยๆ แล้วสอบตก ทุกคนออกเดินทางจากบ้านเกิดด้วยกัน แต่สอบครั้งเดียวกลับสอบตกหลายคน เดิมทีไม่มีใครสามารถไปถึงปลายทางได้เลยก็มี หรือจำต้องเดินไปจนถึงปลายทางอย่างเดียวดายก็มี
โอกาสที่พวกเขาจะได้อยู่ที่เมืองหลวงด้วยกันทุกคนนั้นหาได้ยากนัก นี่มันช่างเป็นพรจากสวรรค์โดยแท้!
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเขาก็เป็นซู่จี๋ซื่อของในราชสำนักแล้ว!
ซู่จี๋ซื่อไม่ใช่ขุนนางอย่างเป็นทางการ หากจะตั้งชื่อให้สักชื่อนั่นก็คือขุนนางสำรองของราชสำนัก พวกเขาจะต้องเรียนอยู่ในสำนักฮั่นหลินสามปี หลังจากสามปีก็แยกย้าย คนที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมจะได้เป็นบัณฑิตฮั่นหลินตัวจริง
การสอบครานี้ไม่ได้มีโอกาสสูงถึงสองร้อยแปดสิบอันดับเหมือนตอนนั้นแล้ว การจบการศึกษาในอดีตรับแค่เพียงสามคนเท่านั้น ที่เหลือจะส่งไปเป็นขุนนางท้องถิ่นและเป็นอาจารย์ตามผลคะแนนและการแสดงออกยามปกติ
แม้ว่าการสอบจะโหดร้าย แต่โชคดีที่ยังมีเวลาอีกสามปี
ผลการสอบของเซียวลิ่วหลังไม่ได้เหนือความคาดหมายนัก เฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่ล้วนเป็นคนขยันหมั่นเพียร ซ้ำยังได้รับการชี้แนะจากจี้จิ่วอาวุโสไปไม่น้อย ปรมาจารย์ใหญ่อันดับหนึ่งของรัชสมัยนี้สอนพวกเขากับมือ หากพวกเขายังสอบไม่ผ่านก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
วันที่สิบเอ็ดเดือนห้า เซียวลิ่วหลังไปรายงานตัวที่สำนักฮั่นหลิน คนที่มารายงานตัวด้วยกันยังมีปั๋งเหยี่ยนอย่างอันจวิ้นอ๋องและทั่นฮวาอย่างหนิงจื้อหย่วนด้วย
ตามกฎหมายและธรรมเนียมของแคว้นเจา จอหงวนคนใหม่ในอดีตล้วนได้รับมอบหมายงานปรับปรุงแก้ไขตำราจากสำนักฮั่นหลินโดยเริ่มตั้งแต่ขั้นหก หน้าที่รับผิดชอบหลักของการแก้ไขตำราของสำนักฮั่นหลินคือแก้ไขบันทึกเรื่องจริงซึ่งจดบันทึกเรื่องราวของฮ่องเต้ ประวัติศาสตร์ รวมถึงฉบับร่างที่เกี่ยวกับพิธีการ
ส่วนปั๋งเหยี่ยนกับทั่วฮวาจะได้รับงานเรียบเรียงจากสำนักฮั่นหลินซึ่งเป็นขั้นเจ็ด การเรียบเรียงของสำนักฮั่นหลินหลักๆ คือรับผิดชอบร่างพระราชกฤษฎีกา การรวบรวมหนังสือประวัติศาสตร์ ถวายการบรรยายจากตำราประวัติศาสตร์
พวกเขาเป็นมือใหม่ในการแก้ไขและเรียบเรียง หน้าที่สำคัญเหล่านี้จึงไม่ได้ตกอยู่ในหน้าที่รับผิดชอบของมือใหม่อย่างพวกเขา ยามนี้พวกเขารับผิดชอบแค่การเล่าเรียนเหมือนเดิม นอกจากศึกษาตำราดั้งเดิมต่อแล้ว ยังต้องเชี่ยวชาญกฎหมาย งานราชการในราชสำนัก ขั้นตอนต่างๆ เกษตรกรรม เลขคณิต ประวัติศาสตร์ ดาราศาสตร์ และอีกมากมาย
เรียกได้ว่าสิ่งที่พวกเขาต้องเรียนมากมายและซับซ้อนกว่าตอนสอบเคอจวี่มากนัก
ผู้ที่ไม่ใช่จิ้นซื่อจะไม่ถูกรับเข้าสำนักฮั่นหลิน ผู้ที่ไม่ใช่สำนักฮั่นหลินจะไม่รับเข้าเป็นคณะเสนาบดี แต่คณะเสนาบดีเข้าง่ายมากนักหรือไร คนที่คิดว่าตัวเองสามารถนั่งพักผ่อนอย่างสบายใจได้หลังจากติดสามอันดับแรกแล้วนั้น พูดได้อย่างเดียวว่าไร้เดียงสาเหลือเกิน
พวกเขาต้องสอบทุกๆ สามเดือน ปลายปีมีสอบประจำปี สอบประจำปีไม่ผ่านหนึ่งครั้งจะได้คำเตือน สอบไม่ผ่านสองครั้งจะตกอันดับ
อันจวิ้นอ๋องหายบาดเจ็บแล้ว เขากลับมาสง่างามผ่าเผยดั่งต้นหยกเล่นลมอีกครั้ง
แม้ว่าเขาจะเป็นขุนนางขั้นเจ็ด แต่ห้องทำงานที่เขาได้ไปกลับกว้างขวางกว่าเซียวลิ่วหลังเสียอีก
แต่ก็ไม่น่าน่าแปลกอะไร อย่างไรเสียคณะเสนาบดีก็เป็นอาณาเขตของราชครูจวง ซ้ำสำนักฮั่นหลินส่วนใหญ่ก็อยู่ในเงื้อมมือของราชครู่จวงเช่นกัน
ทว่าห้องทำงานที่หนิงจื้อหย่วนได้ไปกลับดีกว่าเซียวลิ่วหลังเช่นกัน นี่ทำให้ต้องคิดพิจารณาไม่น้อย
“ไม่หรอกกระมัง เจ้า…” หนิงจื้อหยวนช่วยเซียวลิ่วหลังย้ายของ พอมาถึงหน้าประตูห้องก็ได้กลิ่นตุๆ บางอย่างที่สุดจะบรรยายทันที เขาเอ่ยขึ้นเสียงเบา “เหตุใดห้องทำงานของเจ้าจึงอยู่ติดห้องน้ำเลยเล่า”
ฤดูหนาวยังพอทำเนา แต่พออากาศร้อนขึ้นมา กลิ่นนั่น…แหวะ สุดจะบรรยาย!
หนิงจื้อหย่วนเอ่ยต่อเสียงเบา “เจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าจะกลั่นแกล้งข้าอีก ข้าดูแล้วเจ้าโดนคนอื่นกลั่นแกล้งเข้าแล้วกระมัง ข้าได้ยินเรื่องของตระกูลจวงแล้ว จวงไทเฮานางนั้นกลับมาแล้ว มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่กล้าทำเรื่องโอหังขนาดนี้หรอก เจ้าอดทนก่อนนะ รอให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปก่อน ฝ่าบาทอาจจะหาโอกาสหาที่ทางให้เจ้าได้” เซียวลิ่วหลังคิดไว้แต่แรกแล้วว่าพอกลับเมืองหลวง สิ่งที่รอเขาอยู่ไม่มีทางเป็นเส้นทางสะดวกสบายหรอก เขาเอ่ยอย่างไม่ค่อยใส่ใจว่า “เจ้าอย่าเอาแต่มาหาข้าสิ”
“เจ้าคิดว่าข้าอยากมารึ” หนิงจื้อหย่วนเอ่ยเสียงเบา “พวกเขาให้ข้ามาเยาะเย้ยเจ้าต่างหาก อีกเดี๋ยวข้าจะหัวเราะสักสองสามที เจ้าอย่าใส่ใจเลยนะ”
หนิงจื้อหย่วนเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจความจริงของข้าราชการอย่างถ่องแท้ วันแรกก็ถูกคนลากเข้าพวกแล้ว ก่อนที่จะมั่นคงได้จำต้องแสร้งเข้าพวกด้วย แต่อันที่จริงในใจเขาเอนเอียงไปให้ฝ่าบาท และยินดีเป็นสหายกับเซียวลิ่วหลัง
“วางของไว้แล้วนะ ข้าไปล่ะ” หนิงจื้อหย่วนหอบตำราวางไว้บนโต๊ะหนังสือของเซียวลิ่วหลังเบาๆ แล้วเดินไปตรงหน้าประตู ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็กลับมาหยิบตำราไปสองสามเล่ม “ขอโทษนะสหาย”
ว่าจบเขาก็โยนตำราลงพื้นจนเสียงดังโครมคราม
จากนั้นเก็บขึ้นมาให้เขาแล้วปัดๆ ใช้แขนเสื้อเช็ดให้สะอาดแล้ววางให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบออกมาราวกับกำลังหลบหนี
เซียวลิ่วหลังส่ายหน้าอย่างเย้ยหยัน
ถูกแยกให้อยู่โดดเดี่ยวแค่ก้าวแรกเท่านั้น
ยังมีหนิงจื้อหย่วนที่มีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นในขณะที่เขาลำบากอยู่ ก็ไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่คิดไว้
…
หมู่นี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในเมืองหลวงมากมาย เรื่องที่เรียกความสนใจจากผู้คนมากที่สุดย่อมเป็นเรื่องของจวงไทเฮาที่พักรักษาตัวหนึ่งปีกว่าย้ายกลับมาวังหลวงอยู่แล้ว พอกลับมาที่วังหลวงฟ้าในเมืองหลวงก็เปลี่ยนทันที เรื่องที่สองก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับไทเฮาเช่นกัน นั่นคือนึกไม่ถึงว่าจวงไทเฮาต้องการจะสร้างเรือนหลังใหญ่ที่ติดเขาใกล้น้ำในเมืองหลวง
ตั้งแต่จวงไทเฮากลับวังหลวงมา ไม่ว่าปวงชนในเมืองหลวงจะไม่ชอบหรืออย่างขับไล่นางหรือไม่ ล้วนพากันพูดถึงนางทั้งสิ้น
“ไทเฮาจะสร้างตำหนักให้ตัวเองอีกแล้วรึ นางมีวังหลบร้อนตั้งสามแห่งแล้วยังไม่พอหรือไร ยังจะเอาอีกรึ”
“ไม่ได้สร้างให้ตัวเอง ได้ยินว่าให้หลานสาวบ้านเดิมของนาง”
“หลานสาวรึ ไม่ใช่หลานชายรึ”
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าจวงไทเฮาเองไม่มีทายาทและรักเอ็นดูจวงอวี้เหิงหลานชายคนเล็กของพี่ชายใหญ่นางที่สุด ไม่ได้จะสร้างจวนจวิ้นอ๋องให้เขาหรอกรึ
เขาใกล้จะถึงวัยแต่งงานแล้วกระมัง และควรสร้างจวนให้เขาสักหลังแล้ว
“ไม่ใช่อันจวิ้นอ๋อง น้องสาวของอันจวิ้นอ๋องต่างหาก!”
“น้องสาวคนไหนล่ะ”
“ย่อมไม่ใช่น้องสาวไม่เอาอ่าวนั่นอยู่แล้ว! เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลจวงอันดับหนึ่งในสำนักบัณฑิตสตรีต่างหาก พี่ชายลุงข้าเป็นช่างที่นั่น ข้าฟังเขาเล่าอีกทีว่าไทเฮาออกคำสั่งว่าให้สร้างตามแบบเรือนขององค์หญิง!”
ผู้คนในโรงน้ำชาได้ยินมาถึงตรงนี้ก็อดสูดหายใจลึกไม่ได้
สร้างตามแบบเรือนขององค์หญิง นี่กะจะเอาใจคุณหนูตระกูลจวงนางนั้นน่าดูเลยกระมัง
“แต่จะว่าไปแล้ว คุณหนูตระกูลจวงนางนี้มีทั้งความสามารถและหน้าตาสะสวยอย่างหาใครเทียมมิได้ ควรค่าให้ไทเฮารักอยู่นะ ตั้งแต่ที่ไทเฮากลับมาจากพักรักษาตัวก็รับนางเข้าวังมาเป็นนายน้อย นางไม่ต่างไปจากองค์หญิงในราชวงศ์ของพวกเราเลย”
องค์หญิงในราชวงศ์ไม่ได้รับความโปรดปรานก็เป็นแค่ตำแหน่งโดยชื่อเท่านั้น คุณหนูใหญ่ตระกูลจวงมีไทเฮาคอยหนุนหลังให้นางจึงเป็นองค์หญิงไร้มงกุฎขนานแท้ของแคว้นเจา
ไม่ทันไรหมู่ปวงชนก็พากันอิจฉาจวงเย่ว์ซีขึ้นมา เดิมทีข่าวซุบซิบของจวงเย่ว์ซีก็ไม่ใช่น้อยๆ มาเจอแบบนี้เข้ายิ่งแทบจะรู้กันหมด ขนาดเด็กสามขวบยังรู้
จวงเย่ว์ซีมีความสุขมาก นางคิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะรักนางเช่นนี้
วันนี้นางใส่ชุดแดงทั้งตัวเข้าวัง หมายจะให้ไทเฮาดู ใครจะรู้สีหน้าจวงไทเฮากลับเรียบนิ่ง
“ไม่สวย” จวงไทเฮาส่ายหน้า
จวงเย่ว์ซีนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย นี่เป็นชุดที่สวยที่สุดของนางแล้วนะ ท่านแม่กับพวกบ่าวรับใช้ต่างบอกว่าสวยกว่าชุดสีครามอีก
แต่เพื่อให้ไทเฮาชอบ จวงเย่ว์ซีจึงเปลี่ยนกลับมาเป็นสีคราม
ยามนี้สีหน้าจวงไทเฮาจึงได้อ่อนโยนขึ้น
ไม่รู้เหมือนกันว่านางรู้สึกไปเองหรือไม่ เหมือนว่าไทเฮามองนางแต่กลับเหมือนมองทะลุผ่านนางไปมองคนอื่น
บ่ายวันนี้เป็นวันที่ต้องเข้าวังไปตรวจให้ฮ่องเต้ซ้ำ
คราก่อนฮ่องเต้จมน้ำแห้ง แม้จะฝืนไปเข้าประชุมเช้าได้ แต่พอกลับมาตำหนักหวาชิงก็ทรุดลงทันที โชคดีที่กู้เจียวทิ้งยาไว้ให้ วันนี้กินยาหมดเกลี้ยงแล้ว เว่ยกงกงจึงมาหาถึงที่
เสี่ยวจิ้งคงเลิกเรียนแล้ว เขามาหานางที่โรงหมอ เห็นนางกำลังเก็บกล่องยาใบเล็กอยู่ จึงเอ่ยถาม “เจียวเจียว เจียวเจียว จะไปไหนหรือ”
“ออกไปตรวจคนไข้” กู้เจียวบอก
“ไปตรวจที่ไหนหรือ”
“วังหลวงน่ะ” กู้เจียวบอก
สำหรับกู้เจียวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวังหลวงหรือว่าบ้านสามัญชนล้วนเป็นแค่สถานที่ทำงานที่ต้องออกตรวจทั้งสิ้น และไม่มีอะไรต้องตื่นเต้นหรือปิดบัง
วังหลวงนี่เอง…