ตอนที่ 341 น้องหมาตีบทแตก
และเมื่อเวลาผ่านไป ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของสตาร์ไลท์อย่างปากง สุนัขยอดกตัญญูก็เริ่มเปิดกล้องถ่ายทำในที่สุด หลังจากเตรียมการอยู่พักใหญ่
วันนี้เป็นวันที่ 1 กรกฎาคมพอดี
เลือกเฟ้นฤกษ์ที่ดีแล้ว เหมาะในการสมรสและเริ่มงาน หลีกเลี่ยงการฝังศพ การเดินทาง และการขอพรสำหรับการเพาะปลูก
เหมาะกับการเปิดกล้องถ่ายทำพอดี
ผู้กำกับยังคงเป็นอี้เฉิงกง และโปรดิวเซอร์ควบตำแหน่งหัวหน้าพ่อบ้านก็ยังคงเป็นเสิ่นชิง
ถ้าหากไม่มีเหตุผลพิเศษ หลินเยวียนไม่ได้คิดจะเปลี่ยนทีมงานผู้ผลิตหลัก
ระบบกองถ่ายซึ่งมีนักเขียนบทเป็นหัวใจสำคัญยังดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ
เขาไม่ได้ขึ้นไปกล่าวพร่ำเพ้อพรรณนาในพิธีเปิดกล้อง แต่ส่งมอบให้ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ ส่วนตนก็เล่นเกมทายปริศนากับหนานจี๋ซึ่งไม่ได้พบหน้ากันนาน
สิ่งที่เรียกว่าเกมทายปริศนานั้นเรียบง่าย
นำแก้วขุ่นสามใบซึ่งมีขนาดกลาง ในแก้วใบหนึ่งครอบเหรียญหนึ่งหยวน หลังจากนั้นจึงสลับตำแหน่ง ท้ายที่สุดก็ให้หนานจี๋เดาว่าเงินอยู่ในแก้วใบไหน
ทักษะด้านเปียโนระดับเชี่ยวชาญของหลินเยวียนมีส่วนสำคัญ มือของเขารวดเร็วจนแทบชวนให้รู้สึกเวียนหัว แต่ท่วงท่ากลับพลิ้วไหวน่ามอง
ไม่ทันไร ผู้ช่วยอย่างกู้ตงซึ่งคอยเดาปริศนาอยู่ข้างหนานจี๋เวียนหัวตามไปด้วย
ที่จริงแล้วเกมนี้ก็ไม่มีอะไรหรอก แต่ความเร็วของตัวแทนหลินนี่สิ…
ทว่าปัญหาอยู่ที่ ทุกครั้งที่กู้ตงเดาผิด หนานจี๋กลับเดาถูกต้อง อุ้งเท้าของสุนัขตัวนี้สามารถชี้แก้วใบที่มีเหรียญซ่อนอยู่ได้อย่างง่ายดาย
นั่นทำให้กู้ตงยิ่งสับสน
เธอรู้สึกว่าตนเองสู้สุนัขไม่ได้
สิ่งที่กู้ตงไม่ทันสังเกตก็คือ จางซิ่วหมิงซึ่งเป็นนักแสดงนำชายหมายเลขหนึ่งของเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญู กำลังจ้องมองอย่างเงียบเชียบ กระแอมเงียบๆ กับตนเอง หลังจากนั้นก็มองหนานจี๋ด้วยสายตาแปลกประหลาด
เห็นได้ชัดว่า เขาเองก็ลอบเดาอยู่สักพัก ผลคือพ่ายแพ้ราบคาบ
“นายชนะแล้ว กินได้เลย”
หลินเยวียนเปิดกล่องขนมสุนัขให้หนานจี๋
หนานจี๋กระดิกหาง กินขนมอย่างเอร็ดอร่อย
หลินเยวียนบอกกับหนานจี๋ “ค่อยๆ กิน เดี๋ยวฉันจะท่องบทให้นายฟัง”
หลินเยวียนเริ่มค่อยๆ ท่องบทภาพยนตร์ให้หนานจี๋ฟัง
กู้ตง “…”
จางซิ่วหมิง “…”
ตัวแทนหลินจริงจังหรือเปล่าเนี่ย
บนโลกนี้มีคนท่องบทให้หมาฟังได้ด้วยเหรอ?
คนที่ไม่รู้ อาจคิดว่าหนานจี๋เป็นคนจริงๆ ที่แต่งชุดน้องหมาเพื่อเข้าบทได้นะ
เอาเถอะ
มีคนที่สื่อสารกับสัตว์แบบนี้จริงๆ พวกเขาไม่ได้สนใจว่าสัตว์จะฟังออกหรือไม่ พวกเขาคิดว่าฟังออกก็พอแล้ว
ในชีวิตประจำวัน ก็มักจะเห็นเจ้าของบางคนพูดคุยกับน้องหมาน้องแมวอย่างออกรสออกชาติเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ตัวแทนหลินก็คงเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง
ทั้งสองคิดเช่นนี้ ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
แต่เมื่อถึงเวลาถ่ายทำจริงในช่วงบ่าย สิ่งที่ทำให้ทั้งสองและทีมงานทั้งกองถ่ายตกตะลึงก็คือ
หนานจี๋ตีบทแตก!
อธิบายเช่นนี้อาจทำให้รู้สึกเข้าใจยากสักหน่อย กล่าวให้ชัดเจนก็คือ หนานจี๋แสดงตามบทได้ทั้งหมด!
หลินเยวียนให้หนานจี๋ทำอะไร หนานจี๋ก็ทำอย่างนั้น!
ถึงขั้นว่า เมื่อมีท่าทางใดที่ยังทำได้ไม่เต็มที่ หลินเยวียนยังอุตส่าห์แก้ไขให้หนานจี๋
ตัวอย่างเช่นในตอนนี้ ตัวแทนหลินพูดกับหนานจี๋ด้วยสีหน้าจริงจัง “นายวิ่งเร็วเกินไป ทำให้กล้องเคลื่อนตามไปแล้วไม่สวย ช้ากว่านี้อีกหน่อย วิ่งไปตามเส้น ถ้าวิ่งออกนอกเส้นแล้วจะออกนอกเฟรม”
“…”
ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ทีมงานเก่าซึ่งเคยร่วมงานกับหลินเยวียนในช่วงถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศหลายคน ก็นึกถึงภาพที่ตอนนั้นหลินเยวียนชี้แนะพระเอกอย่างเฮ่อเซิ่งขึ้นมา
ครั้งนั้นก็เช่นกัน
เฮ่อเซิ่งผู้ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็แสดงได้ไม่ดี หลังจากที่ผ่านการสอนจากตัวแทนหลิน จู่ๆ เขาก็มีฝีมือการแสดงเหนือกว่าปกติ
ฉากซึ่งก่อนหน้านั้นไม่ว่าจะทำอย่างไรก็แสดงไม่ได้ ทันทีที่ตัวแทนหลินชี้แนะ เขาก็เหมือนจะเข้าใจขึ้นมาในชั่วพริบตา ราวกับว่าตัวแทนหลินเบิกเส้นลมปราณให้อย่างไรอย่างนั้น!
ในตอนนั้นทั้งกองถ่ายรู้สึกเหลือเชื่อ ทุกวันนี้เมื่อพูดถึงเรื่องนี้กัน ก็มักจะเอ่ยชื่นชมอยู่เสมอ
แต่พวกเขานึกไม่ถึง ว่าวันนี้จะได้เห็นภาพที่น่าทึ่งยิ่งกว่า…
ตัวแทนหลินสอนการแสดงให้สุนัข!
คนทั่วไปสอนการแสดงให้สุนัข ก็คงไม่ต่างอะไรกับการสีซอให้ ‘สุนัข’ ฟัง
แต่เมื่อตัวแทนหลินสอนการแสดงให้สุนัข มันถึงกับเข้าใจทุกเรื่อง!
ไม่ว่าจะเป็นหมอบ กระโดด เศร้า ดีใจ เห่าเสียงดัง หรือครางหงิงๆ อย่างหดหู่…
แม่เจ้าโว้ย!
หมาตัวนี้แสดงหนังได้จริงๆ!
เหลือเชื่อ!
ต่อให้นี่เป็นสุนัขที่ตัวแทนหลินเลี้ยง แต่แบบนี้ก็ออกจะเกินจริงไปหรือเปล่า!
ตัวแทนหลินให้สุนัขทำอะไร มันก็ทำตาม ราวกับว่าสุนัขตัวนี้กลายเป็นสัตว์ภูตไปแล้ว!
“ยังไงซะนี่ก็เป็นหมาของตัวแทนหลิน”
มีคนพึมพำ “น่าจะเป็นเพราะตัวแทนหลินอยู่กับหมามานาน ฝึกมันเป็นปกติ ก็เลยเข้าใจกัน”
ผู้คนพยายามยอมรับคำอธิบายนี้
ก็หนานจี๋เป็นหมาของตัวแทนหลินไงล่ะ
น่าเสียดายที่คำอธิบายนี้เป็นอันต้องถูกพับเก็บไป เพราะในวันถัดมา กองถ่ายก็อุ้มลูกสุนัขตัวหนึ่งมา
ต้องขออธิบายสักหน่อย
เมื่อทุกคนดูภาพยนตร์ คุณจะได้เห็นน้องหมาผ่านทุกช่วงชีวิต แต่ในความจริงแล้ว นี่เป็นเพียงอาคมบังตาของทีมงาน
หมาเด็ก หมาโตเต็มวัย หรือหมาแก่ ทางกองถ่ายต้องแบ่งใช้น้องหมาสามตัวในการถ่ายทำ
หนานจี๋แสดงเป็นน้องหมาโตเต็มวัยในเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญู
ส่วนวัยเด็กนั้น จะต้องให้เจ้าตัวเล็กซึ่งทีมงานอุ้มเข้ามารับบทแทน ต่อให้หนานจี๋จะฝีไม้ลายมือดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถย่อขนาดลงได้ใช่ไหมล่ะ
ไม่ใช่ทรานส์ฟอร์เมอร์สสักหน่อย
เห็นได้ชัดว่าสุนัขวัยเด็กตัวนี้เข้าถึงบทบาทได้ไม่ดีเท่าหนานจี๋ ท้ายที่สุดทีมงานก็ตระหนักได้ถึงความยากลำบากที่แท้จริงในการถ่ายทำกับสุนัข
เมื่อเทียบกับเจ้าตัวเล็กแล้ว หนานจี๋มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์กว่ามาก
ในบางแง่มุม หนานจี๋แสดงได้สมบทบาทมากกว่าคนซะอีก!
เมื่อมีฉากที่ไม่ว่าอย่างไรสุนัขก็ไม่ให้ความร่วมมือ หลินเยวียนจึงต้องออกโรง
เขานั่งยองเบื้องหน้าของสุนัข ในมือถือบท พลางอ่านบทให้ฟังอย่างแข็งขัน
ทั้งกองถ่ายแตกตื่นกันจ้าละหวั่น…
คุณคิดว่าเจ้าหมาตัวนี้เป็นหนานจี๋หรือไง?
แน่นอนว่าเจ้าหมาตัวนี้ไม่ใช่หนานจี๋ หนานจี๋ไม่กินยายังพอเข้าฉากถ่ายทำได้ ทว่าเจ้าตัวเล็กจำเป็นต้องกินยา
ยาน้ำนักแสดง
ลูกสุนัขตัวนี้เมื่อได้รับยาน้ำนักแสดงแล้วก็ยังคงไม่แสนรู้เท่าหนานจี๋ แต่เห็นได้ชัดว่าได้รับพรสวรรค์ด้านการแสดงแล้ว ทั้งยังสามารถเข้าใจคำสั่งของหลินเยวียนได้บ้าง
เพราะฉะนั้น เมื่อหลินเยวียนอ่านบทให้ลูกสุนัขตัวนี้ฟัง เมื่อกองถ่ายเริ่มต้นถ่ายทำอีกครั้งท่ามกลางบรรยากาศพิลึกกึกกือ ทุกคนก็ตกตะลึง!
ลูกหมาตัวนี้ ถึงกับแสดงละครได้จริงๆ!
ลูกหมาตัวนี้ ถึงกับได้รับการสอนจากตัวแทนหลินแล้ว!
“ฉันทำงานในกองถ่ายมาตั้งไม่รู้กี่ปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นว่ามีคนสอนทักษะการแสดงให้หมาได้ด้วย ตัวแทนหลินแม้แต่หมายังสอนได้ ถ้าสอนนักแสดงที่เป็นคนจะไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลยเหรอ?”
“เมื่อก่อนตัวแทนหลินเคยเรียนการฝึกสุนัขมาหรือเปล่า?”
“การฝึกสุนัขบ้านนายสอนให้หมาแสดงหนังได้เหรอ ฉันว่าตัวแทนหลินมีพลังจิต…”
“ฉันว่าตัวแทนหลินคุยกับหมาได้”
“ตัวแทนหลินอาจคุยกับหมาไม่ได้ แต่เขาต้องสื่อสารกับหมาได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งแน่นอน”
“ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน นี่ก็เทพเกินไปแล้ว!”
“พอเทียบกับตัวแทนหลินแล้ว ผู้กำกับเบอร์ดังที่ชี้แนะได้แค่นักแสดงหน้าใหม่นี่เทียบไม่ติดเลย ตัวแทนหลินเป็นบุคคลระดับที่แม้แต่หมายังสอนได้!”
“พูดก็พูดเถอะ ฉันคิดว่าหมาที่ตัวแทนหลินฝึก มีทักษะการแสดงดีกว่านักแสดงหลายคนซะอีก”
“อะไรเนี่ย เธอหวังว่าหมาจะคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเลยหรือไง”
“ทำไมไม่นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมล่ะ”
“ก็เพราะหนานจี๋ที่ฝีมือดีที่สุดเป็นตัวผู้ไงล่ะ”
“…”
คนเหล่านี้ไม่รู้เลยว่า ที่เจ้าลูกสุนัขฟังคำสั่ง ก็เพราะพลังของยาน้ำนักแสดง
สุนัขแก่ซึ่งทีมงานจูงมาหลังจากนั้น หลินเยวียนก็ใช้ยาน้ำนักแสดงในการสื่อสารกับมันเช่นกัน
มีเพียงหนานจี๋ที่ฟังรู้เรื่องจริงๆ เพราะฉะนั้นหลินเยวียนจึงไม่ต้องควักกระเป๋าลงทุนไปกับหนานจี๋
มีคนนึกอยากสื่อสารกับน้องหมาตามหลินเยวียน
แต่เห็นได้ชัดว่า สุนัขทั้งสามตัวนี้ฟังเฉพาะคำพูดของหลินเยวียน ในระหว่างกระบวนการถ่ายทำก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น
หลายวันต่อจากนั้น แววตาที่ทีมงานในกองถ่ายมองหลินเยวียนก็ออกจะแปลกชอบกล
กู้ตงจำได้ว่าตอนที่พ่อพาตนขึ้นไปไหว้พระบนเขา สายตายามที่พ่อมองพระพุทธรูปแกะสลักสีทองก็เป็นเช่นนี้
…………………………………………