เจียงอันเฉิงวางถ้วยน้ำชาลงแล้วยิ้มขึ้น “เขามาจากจวนใดนั้นข้าไม่เคยสืบหาอย่างละเอียด ดังนั้นจึงได้เดินทางมาขอร้องพี่เจิน รู้เพียงแต่ว่าตระกูลของเสี่ยวอวี๋ดูเหมือนจะเป็นตระกูลใหญ่ แต่มีบุตรหลานมากมาย ดังนั้นทางตระกูลจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเสี่ยวอวี๋มากนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงออกมาผจญภัยด้วยตนเอง…”
เมื่อเจินซื่อเฉิงได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็ดูแปลกไปกว่าเดิม
เรื่องราวดำเนินไปตั้งเนิ่นนาน สุดท้ายแล้วบุตรเขยที่เขารู้สึกถูกชะตาเป็นใครมาจากไหนก็ยังไม่รู้
“พี่เจิน มีสิ่งใดผิดปกติไปงั้นหรือ” เจียงอันเฉิงมองออกถึงท่าทางอันแปลกไปของเจินซื่อเฉิงจึงได้เอ่ยถามออกมาอย่างอดไม่ได้
โบราณว่าอยู่ไกลนั้นหอม แต่เมื่อเข้าใกล้มักจะเหม็น เขามองดูทุกด้านของเสี่ยวอวี๋ก็ไม่เลวนัก แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ส่วนพี่เจินได้อยู่กับเสี่ยวอวี๋ทั้งวัน
หรือว่าเสี่ยวอวี๋จะมีพฤติกรรมใดผิดปกติไป ตัวเขามองไม่ออก แต่ท่านพี่เจินกลับมองออก
เจียงอันเฉิงออกแรงกุมมือของเจินซื่อเฉิง “พี่เจิน ความสัมพันธ์ของเรานี้ก็ดีนัก หากว่าเสี่ยวอวี๋มีปัญหาในด้านใด ท่านอย่าได้ปิดบังข้าเลย บุตรสาวคนโตของข้าแต่งงานกับคนหน้าเนื้อใจเสือ บัดนี้ได้มาถึงจุดที่ตัดขาดความสัมพันธ์กันแล้ว หากว่าบุตรสาวคนรองต้องมาพบเจอกับคนไม่ดีอีกครั้ง ข้าก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปได้อย่างไร…”
เจินซื่อเฉิงแอบเหล่ตามองเขา
ชายวัยกลางคนร่างกายกำยำ กลับเอ่ยวาจาออกมาเช่นนี้ บุตรชายของเขานั้นแสนจะย่ำแย่ แต่เขาก็ยังมีชีวิตดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือ
“พี่เจิน ท่านกล่าวอะไรออกมาบ้างสิ” เมื่อเห็นว่าเจินซื่อเฉิงไม่ยอมกล่าวสิ่งใดออกมาเลย เจียงอันเฉิงก็รู้สึกกระวนกระวายยิ่งนัก
เจินซื่อเฉิงเอามือยกขึ้นลูบเครา “จะว่าไปแล้ว เสี่ยวอวี๋ก็ดีในทุกด้าน เพียงแค่ตัวตนของเขานั้น เกรงว่าจะห่างไกลจากจินตนาการของน้องเจียงที่คิดเอาไว้”
“ห่างไกลเช่นไรหรือ” เจียงอันเฉิงนำมือถูไถไปที่แก้วน้ำชา “หรือว่าเสี่ยวอวี๋ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่… เอ๋ หรือว่าเสี่ยวอวี๋เป็นลูกกำพร้า”
หืม หากเป็นเช่นนี้ก็ดีทีเดียว เขาจะได้ไม่ต้องกังวลว่าเสี่ยวอวี๋จะทำตัวไม่ดีต่อซื่อเอ๋อร์
แม้ว่าใครๆ มักจะกล่าวว่าผู้ที่ไม่มีบิดามารดาและตระกูลคอยสนับสนุน ยากยิ่งที่จะมีหน้ามีตา แต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย
พรวด! เจินซื่อเฉิงที่เพิ่งดื่มน้ำชาเข้าไปถึงกับสำลักออกมา ทำให้ใบชาติดอยู่ที่เคราของเขา
เจียงอันเฉิงรีบใช้ผ้าเช็ดหน้ายื่นไปเช็ดหนวดเคราให้เขาแล้วเอ่ยว่า “พี่เจินจะลุกลี้ลุกลนไปทำไมกัน ต่อให้ข้าเดาถูกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แม้ภูมิหลังจะไม่ดีนัก แต่ที่สำคัญคืออุปนิสัยของเขาต่างหาก”
เจินซื่อเฉิงได้แต่รีบโบกไม้โบกมือเป็นความหมายว่าอย่าได้กล่าวอีกเลย
มือของเจียงอันเฉิงที่กำลังเช็ดหนวดให้แก่เจินซื่อเฉิงชะงักลงแล้วขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ปฏิกิริยาของพี่เจินอันรวดเร็วเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา
“พี่เจิน เสี่ยวอวี๋เป็นใครกันแน่ บอกข้ามาตามตรงเถิดข้ารับได้ทั้งสิ้น”
เจินซื่อเฉิงมองไปทางเจียงอันเฉิงแล้วถอนหายใจออกมายืดยาว “เสี่ยวอวี๋น่ะหรือ เขาคือโอรสคนที่เจ็ดของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เขาก็คือเยี่ยนอ๋องนั่นเอง อ๊าก!”
คำสุดท้ายกลับกลายเป็นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
เจียงอันเฉิงดึงหนวดของเจินซื่อเฉิงเอาไว้แล้วเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
ทำเอาเสียเจินซื่อเฉิงเจ็บปวดจนน้ำตาไหล
เขารู้ว่าเมื่อน้องเจียงรู้ความจริงเข้าคงจะตกตะลึง แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำร้ายหนวดเคราอันเป็นที่รักของเขาเช่นนี้
เจินซื่อเฉิงลูบไปที่เคราของตนด้วยความทะนุถนอมและปวดใจ ก่อนจะรู้สึกโมโห
น้องเจียงนี่ ก่อนหน้านั้นที่เขาไปสู่ขอบุตรสาวให้แก่บุตรชายตนอยู่หลายครั้งหลายคราล้วนถูกปฏิเสธ นั่นเป็นเพราะถูกชะตาเยี่ยนอ๋องนี่เอง
เหอะๆ เยี่ยนอ๋องนอกจากหน้าตาดูดีกว่า และมีตัวตนที่สูงส่งกว่าแล้ว มีสิ่งใดที่ดีกว่าบุตรชายเขาอีก
คิดว่าเขาจะช่วยเยี่ยนอ๋องปิดบังความลับหรือ อย่าตลกไปเลย เขาเป็นคนเช่นนั้นหรือไร
เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงและงงเป็นไก่ตาแตกของเจียงอันเฉิง เจินซื่อเฉิงก็อยากจะฮัมเพลงออกมาเหลือเกิน
ตัดใจเสียเถิด บุตรชายของเขาจึงจะเหมาะสมที่สุด
เขายื่นถ้วยน้ำชาเข้าไปให้
เจียงอันเฉิงยกมือขึ้นกล่าวว่า “ขอข้าทำใจสักประเดี๋ยว”
หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง เจียงอันเฉิงจึงใช้มือขยี้ใบที่ใบหน้า “พี่เจิน ท่านไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่”
เจินซื่อเฉิงตอบกลับว่า “น้องเจียง เรื่องเช่นนี้ล้อเล่นกันได้หรือ”
เจียงอันเฉิงยกมือขึ้นลูบหน้าผาก
นั่นสินะ เรื่องนี้จะล้อเล่นกันง่ายๆ ได้อย่างไร ผู้ใดไม่กลัวฮ่องเต้จะตัดศีรษะให้หลุดจากบ่าเล่า
แต่เมื่อครุ่นคิดดูแล้วเขาก็ยังไม่ถอดใจ จึงกล่าวว่า “แล้วเหตุใดเขาจึงได้มาทำงานภายใต้บังคับบัญชาของท่านเล่า”
“น้องเจียงไม่เคยได้ยินหรือว่าฮ่องเต้จะให้ท่านอ๋องทุกคนออกไปฝึกฝนตน เยี่ยนอ๋องมาฝึก ณ ยังกรมอาญา จากนั้นก็มาช่วยงานข้าที่ศาลาว่าการพระนคร”
“แล้วการที่ท่านเรียกเขาว่าเสี่ยวอวี๋เล่า”
เจินซื่อเฉิงยิ้มขึ้น “นั่นเป็นความต้องการของเยี่ยนอ๋องเพื่อให้ทำงานได้ง่ายขึ้น”
เจียงอันเฉิงชะงักลงอีกครั้ง
เมื่อสักครู่ที่เขาชะงักลงเพราะตกใจ ส่วนตอนนี้เป็นเพราะได้รับรู้ตัวตนแท้จริงของเสี่ยวอวี๋
สวรรค์! ชายหนุ่มผู้ดูสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน และบอกตนให้เขาเรียกว่าเสี่ยวอวี๋ก็คือเยี่ยนอ๋อง
อีกทั้งยังบอกกับเขาว่าการมีอนุภรรยานั้นสิ้นเปลืองเงิน
เสี่ยวอวี๋ เจ้าคนโกหก!
จู่ๆ เจียงอันเฉิงก็ลุกขึ้นยืน
เจินซื่อเฉิงซึ่งกำลังยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่มมองไปทางเขาแล้วเอ่ยถามว่า “น้องเจียงเป็นอะไรไป”
“ไม่มีอะไรขอรับ” เจียงอันเฉิงพึมพำออกมาประโยคหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินจากไป
“น้องเจียง!” เจินซื่อเฉิงตะโกนออกมาเสียงดัง ทว่าในไม่ช้าร่างของเจียงอันเฉิงก็หายลับตาไป
เจียงอันเฉิงรีบเดินทางกลับมาที่จวนตงผิงปั๋วแล้วเรียกเจียงซื่อไปที่ห้องหนังสือ
เจียงซื่อเดินตรงเข้ามา พบว่าเจียงอันเฉิงกำลังเดินเข้าไปที่ห้องหนังสือขนาดไม่ใหญ่นัก
“ท่านพ่อเรียกข้ามามีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
ฝีเท้าของเจียงอันเฉิงหยุดชะงักลงแล้วกวักมือเรียกเจียงซื่อ “ซื่อเอ๋อร์ มานั่งตรงนี้”
เจียงซื่อจึงเดินตรงเข้าไป
เจียงอันเฉิงนั่งลงแล้วเอ่ยถามอย่างรีบร้อนใจว่า “เจ้ารู้ตัวตนของเสี่ยวอวี๋อยู่แล้วใช่หรือไม่”
เจียงซื่อเลิกคิ้วมองด้วยความประหลาดใจ
การที่บิดาของนางเอ่ยถามเช่นนี้… นั่นหมายความว่าเขาคงรู้ตัวตนของอวี้ชีแล้วหรือ
“รู้หรือไม่!”
เจียงซื่อส่ายหน้า “ท่านพ่อเอ่ยถามข้าเรื่องนี้ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร คุณชายอวี๋มีตัวตนที่พิเศษอย่างงั้นหรือ”
เจียงอันเฉิงพิงกายไปที่เก้าอี้ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้ามองผิด ข้ามองผิดไป!”
เจียงซื่อได้แต่ยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ฟังประโยคนี้ของท่านพ่อสิ เขาเคยมองคนออกที่ไหนเล่า
แต่การคิดเช่นนี้ไม่ดีเท่าไรนัก เจียงซื่อจึงก้มหน้าลงเงียบๆ แล้วเอ่ยว่า
“คุณชายอวี๋เป็นผู้ใดหรือเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินเจียงซื่อถาม เจียงอันเฉิงกลับนิ่งเงียบ
ผ่านไปสักพักใหญ่เขาจึงถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “ช่างมันเถิด ซื่อเอ๋อร์กลับไปเถอะ”
เจียงซื่อลุกขึ้นแล้วโค้งกายคารวะอย่างเงียบๆ “เช่นนั้นลูกขอตัวก่อน”
เสียงปิดประตูดังลอยมา เจียงอันเฉิงทำหน้าหม่นหมองแล้วนำมือทุบโต๊ะ
ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า เขาไม่ต้องกลัวว่าบุตรสาวจะไปแต่งงานกับตระกูลผู้ดีสูงส่งอะไรนั่นแล้ว เพราะไม่ว่าจะแต่งงานกับใครก็คงไม่อาจสูงส่งเท่ากับตระกูลของเสี่ยวอวี๋ได้
สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็คือคอยจับตามองเอาไว้ไม่ให้เสี่ยวอวี๋หลอกลวงลูกสาวผู้มีค่าของเขาไปได้
โชคดีที่บุตรสาวของเขาไม่รู้ว่าเสี่ยวอวี๋เป็นใคร และดูเหมือนจะไม่ได้รักใครชื่นชมเสี่ยวอวี๋สักเท่าไร เพียงแค่เขาปิดปากเอาไว้ไม่พูด ทั้งสองคนก็ไม่อาจจะมาอยู่ร่วมกันได้ อันตรายเหลือเกิน…
เจียงอันเฉิงเอนกายหลับตาลง เหงื่อเย็นของเขาไหลซึมทั่วร่างกายจากความตื่นตระหนก
หากแต่งงานกับคนธรรมดาแต่โชคไม่ดีที่เจอกับคนไร้ความปรานี ยังสามารถหย่าร้างหรือตัดขาดความสัมพันธ์ได้ แต่หากแต่งเข้าไปในราชวงศ์ก็คงจะทำได้เพียงให้พวกเขากดขี่ข่มเหง
เขาจะไม่ยอมให้บุตรสาวของตนตกลงไปในกองไฟแห่งราชวงศ์เช่นนั้นแน่
เสี่ยวอวี๋ เจ้าคนโกหก!
เจียงอันเฉิงแอบด่าเขาอยู่ในใจนับครั้งไม่ถ้วน
บัดนี้อวี้จิ่นกำลังนั่งอยู่ในห้องหนังสือของจวนอ๋อง เขารู้สึกว่าเปลือกตากระตุกอย่างแรง
“หลงต้าน”
หลงต้านที่คอยอารักขาอยู่ด้านนอกประตูผลักประตูเข้ามา “เจ้านายมีสิ่งใดให้รับใช้หรือขอรับ”
“ตาขวากระตุกร้าย ตาซ้ายกระตุกดี หรือว่ากลับกัน”
“แน่นอนว่า…” หลงต้านกลืนคำที่เขากำลังจะเอ่ยออกมา แล้วถามด้วยความระมัดระวังว่า “ตาข้างใดกระตุกหรือขอรับ”
แน่นอนว่าตาข้างไหนของเจ้านายกระตุก ข้างนั้นก็คงเป็นดี อวี้จิ่นจะไม่เข้าใจความคิดของหลงต้านได้อย่างไร เขาทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าวว่า “บอกข้ามาเดี๋ยวนี้”
“ขวาร้ายซ้ายดีขอรับ”
อวี้จิ่นทำสีหน้าเยือกเย็นแล้วลุกขึ้น
ไม่ได้การละ เขาจะต้องไปหาอาซื่อสักหน่อย