อากาศหนาวเหน็บยิ่งนัก เมื่อถึงยามค่ำคืนเสียงลมเหนือพัดผ่านเข้ามาตามหน้าต่าง พยายามสอดแทรกทุกรอยแยกของหน้าต่างและประตูเข้ามา=-
โคมไฟในเรือนไห่ถังยังคงส่องสว่าง
เจียงซื่อหยิบหนังสือบันทึกการเดินทางออกมาแล้วเอนกายไปตรงกรงเทียนเครื่องหอม ความอบอุ่นและกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมากระทบนางทำให้รู้สึกง่วงเล็กน้อย
ที่จริงแล้วนางยังอ่านไปได้เพียงไม่กี่หน้า แต่เป็นเพราะการผ่อนคลายหลังจากสถานการณ์ตึงเครียดของเรื่องราวต่างๆ ได้สิ้นสุดลง จึงทำให้นางรู้สึกเบื่อหน่ายและสับสนเล็กน้อย
แต่ความว่างเปล่าและเบื่อหน่ายเช่นนี้ เจียงซื่อชื่นชอบมันยิ่งนัก
ผู้ใดไม่ชอบบ้างเล่า การที่รู้สึกว่างเปล่านั้นเป็นเพราะไม่มีแรงกดดัน ปราศจากความเครียดและวิกฤตต่างๆ
อาทิเช่นเมื่อชาติก่อน ความโชคร้ายของพี่รองและพี่สาวคนโตเสมือนดาบสองเล่มที่ห้อยอยู่บนศีรษะนาง ทำให้นางรู้สึกเดือดร้อนเป็นกังวลใจ จะมีเวลาที่ไหนมาผ่อนคลายทำให้รู้สึกว่างเปล่ากัน
ส่วนความสับสนงุนงงนั้น เป็นเพราะเรื่องในอนาคตของนางกับอวี้ชี
ก่อนหน้านี้นางเพียงต้องการจะตีตนออกหากจากชายคนนั้น จึงไม่จำเป็นต้องไปกังวลเรื่องเหล่านี้ ทว่าบัดนี้นางตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มต้นใหม่กับเขาอีกสักครั้ง แต่นางก็มีความกังวลว่าจะยากแสนเข็ญ
เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้นางแต่งงานกับคนในราชวงศ์ ส่วนในราชวงศ์นั้นแน่นอนว่าก็คงไม่เห็นนางในสายตา
เจียงซื่อวางหนังสือไว้บนใบหน้าแล้วหลับตาลง
ช่างเถิด เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอวี้ชีจัดการก็พอ ต่อให้นางอยากจะทำอะไรก็คงไม่เป็นผล จะให้นางเดินทางไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อแนะนำตนเองหรือ
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะหน้าต่างขึ้นดังเป็นจังหวะ
เจียงซื่อยกมือขึ้นหยิบหนังสือออกจากใบหน้า ก่อนจะหันไปทางหน้าต่าง
ฤดูหนาวท้องฟ้าจึงมืดเร็ว บัดนี้ด้านนอกเต็มไปด้วยความมืดมน เมื่อมองออกไปที่หน้าต่าง นอกจากท้องฟ้าที่มืดสนิทแล้ว นางเห็นเงาดำๆ ลอยผ่านไปจากบริเวณต้นกล้วย
คืนนี้อาเฉี่ยวเป็นคนอยู่เวรยาม เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากข้างนอก นางก็หยิบแจกันแล้วเดินตรงไปทางหน้าต่าง
หลังจากหยุดนิ่งไปชั่วครู่ เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เจียงซื่อส่งสัญญาณให้อาเฉี่ยวเปิดหน้าต่างออก
มือของอาเฉี่ยวข้างหนึ่งจับแจกกันเอาไว้ อีกข้างหนึ่งเอื้อมไปเปิดหน้าต่าง
เมื่อสายลมหนาวพัดโชยเข้ามา ก็มีร่างของใครคนหนึ่งกระโดดเข้ามาเช่นกัน
ชายหนุ่มซึ่งกระโดดเข้ามาท่ามกลางความมืด คิ้วเข้มคมได้รูป ฟันขาวปากแดงช่างหล่อเหลาเอาการ
อาเฉี่ยวปิดหน้าต่างลงอย่างเงียบๆ จากนั้นย่อเข่าทำความเคารพอวี้จิ่น ก่อนจะถือแจกันดอกไม้เดินตรงออกไปด้านนอก
อวี้จิ่นชะงักลงเล็กน้อย เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเจียงซื่อแล้วนั่งลง ยิ้มขึ้นกล่าวว่า “อาซื่อ บ่าวรับใช้ของเจ้าผู้นี้รู้งานยิ่งนัก ข้าคิดว่านางจะเอาแจกันดอกไม้มาทุบศีรษะข้าเสียอีก”
เจียงซื่อชายตามองดูเขาแล้วนำหนังสือวางไว้ด้านข้าง
“หนาวจริง” อวี้จิ่นยื่นมือออกมาอังบริเวณกรงเทียนเครื่องหอมแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร
อาซื่อเป็นคนปากร้ายใจดี เมื่อเห็นท่าทางของเขาเช่นนี้บางทีนางอาจจะไม่โกรธเขาที่ปีนเข้ามาจากทางหน้าต่างเช่นนี้ก็ได้
“อาซื่อ”
“หืม”
รอยยิ้มอันเบิกบานของหญิงสาว สร้างความกล้าหาญให้แก่ชายหนุ่มไม่น้อย
“ข้าคิดถึงเจ้าจึงได้มาหา”
ตาขวาเขากระตุกอย่างแรง เขาสัมผัสได้ว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แต่เมื่อพบว่าอาซื่ออยู่ปลอดภัยดี ดังนั้นจึงได้วางใจลง
เจียงซื่อนิ่งเงียบไปชั่วครู่ รอยยิ้มของนางดูลึกล้ำขึ้นมา ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเป็นธรรมชาติว่า “ข้าก็เช่นกัน”
อวี้จิ่นชะงักลงทันใด
เมื่อครู่เขาได้ยินว่าอะไรนะ!
อาซื่อบอกว่านางก็เช่นกัน
“อาซื่อ เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ” เขาคงจะฟังผิดไปแน่
“ข้าบอกว่า ข้าก็เช่นกัน”
“เจ้าก็อะไรเช่นกัน?”
เจียงซื่อพิงไปที่กรงเทียนเครื่องหอม ปรับท่าทางการนั่งให้สบายขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน”
อวี้จิ่นตกตะลึงอีกครั้ง เรียกขานสนิทสนมเช่นนี้ แถมยังกล่าวคำพูดเช่นนั้นอีก เขาชะงักไป มันเนิ่นนานเสียจนเจียงซื่ออยากจะอ้าปากหาว แล้วจู่ๆ เขาก็เข้ามาใกล้นาง ด้านนอกอากาศหนาวเหน็บจับใจ ส่วนด้านในอบอุ่นยิ่งนัก จึงทำให้ชายหนุ่มที่ยังไม่ทันจะถอดเสื้อคลุมออกเหงื่อไหลท่วมตัว
เหงื่อที่ไหลออกมามากมายนั้น ยังไม่อาจสู้กับอารมณ์อันรุกร้อนของเขาในบัดนี้
จู่ๆ เขาก็ปลดผ้ารัดเอวออกแล้วโยนเสื้อคลุมสีดำออกไป เผยให้เห็นเสื้อผ้าสีครามพอดีตัว
“อาซื่อ” เขามองไปที่นางอย่างตั้งอกตั้งใจ พยายามจะจับผิดสีหน้าของอีกฝ่าย
“เจ้าอารมณ์ไม่ดีและกำลังหยอกข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่”
หญิงสาวเอนกายอยู่ตรงกรงเทียนเครื่องหอมยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ใช่หมาแมวสักหน่อย ถ้าจะไปหยอกเจ้าเล่นทำไม”
อวี้จิ่นใช้มือขึ้นลูบคลำจมูก
นั่นสินะ หากจะว่าด้วยเรื่องทำให้หลงใหล เขาก็คงไม่อาจสู้เอ้อร์หนิวได้ อาซื่อไม่จำเป็นต้องหยอกเขา
หากเป็นเช่นนั้น ประโยคเมื่อสักครู่ของอาซื่อก็มาจากใจจริง?
ความรู้สึกนี้มันช่างไม่สมจริงเอาเสียเลย ดูเหมือนเป็นเพียงแค่ความฝันกลางวันแสกๆ
“อาซื่อ เจ้าคิดถึงข้าจริงหรือ” เขาขยับเข้าไปใกล้ด้วยดวงตาร้อนรุ่ม
เจียงซื่อพยักหน้า
“แต่…เป็นไปได้อย่างไร”
“ไม่เชื่อหรือ”
อวี้จิ่นอยากจะพยักหน้าแต่ก็ไม่กล้า กลัวว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะให้คำตอบเขาว่านั่นเป็นเรื่องโกหก
หากเป็นเช่นนี้ เขาก็คงจะไม่มีความสุขมาก
นางเงยหน้าขึ้นแล้วประทับไปที่ริมฝีปากของเขา
อวี้จิ่นถอยหลัง แล้วเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากว่า “อาซื่อ ข้าคิดจริงจัง”
เจียงซื่อมองไปที่เขาแล้วยิ้มขึ้น ดวงตาของนางเป็นประกาย “จะให้ข้าจูบเจ้าอีกครั้งหรือ”
ความรู้สึกหนักอึ้งในใจเหมือนมีก้อนหินถ่วงเอาไว้ ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงสักที
เขาใช้มือลูบคลำไปที่ใบหน้าอันแข็งทื่อแล้วใช้มือทุบไปที่พื้นอย่างแรง แสดงออกถึงความดีอกดีใจและความสุขอันล้นหลาม
“อาซื่อ เจ้ายินดีแต่งงานกับข้าหรือไม่”
เจียงซื่อพยักหน้า น้ำเสียงของนางบางเบา ทำให้คนฟังรู้สึกโศกเศร้าอย่างอธิบายไม่ถูก “ข้ายินดี”
ในที่สุดชาตินี้นางก็ได้บอกกับเขาด้วยตัวตนของนางอันแท้จริงว่านางยินดีแต่งงานกับเขา และได้รู้อย่างชัดเจนว่าคนที่เขาอยากแต่งงานด้วยนั้นคือนาง…เจียงซื่อ
เป็นเช่นนี้ช่างดีนัก
“ช่างดีเหลือเกิน!” อวี้จิ่นดีใจและเข้ามากอดนางเอาไว้แน่น “ในวันนี้ท่านพ่อของเจ้าได้เอ่ยถามว่าอายุเท่าไร คิดว่าเขาคงจะชื่นชอบข้า และต้องการให้ข้าแต่งงานกับเจ้า…”
เจียงซื่อเม้มริมฝีปากและกล่าวเตือนอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านพ่อข้ารู้ตัวตนของเจ้าแล้ว”
อวี้จิ่นชะงักลงและเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นว่า “แล้วอย่างไรต่อ”