เจียงซื่อเหลือบตาไปมองอวี้จิ่น “เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
อวี้จิ่นถอนหายใจออกมา “ท่านพ่อคงว่าตัวตนของข้านี้มีแต่จะนำความวุ่นวายมาให้”
“แล้วเจ้าตั้งใจจะจัดการอย่างไรต่อ”
“ข้ายังอยากจะลองดูว่าท่านลุงมีโอกาสจะรับได้บ้างหรือไม่”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปลองดูเถิด แต่ว่าถึงอย่างไรนั่นก็คือพ่อของข้า เจ้าจะอารมณ์เสียแล้วลงมือจัดการทุบตีเขาไม่ได้” เจียงซื่อกำชับอย่างไม่วางใจ
อวี้จิ่นยิ้มขึ้น “ดูเจ้าพูดเข้าสิ ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ”
เจียงซื่อได้แต่เหล่ตามองเขาอย่างเงียบๆ
เขาเป็นคนที่ไม่รู้จักขอบเขต หากพบเจอกับเรื่องใดที่ไม่ราบรื่นขึ้นมาไม่ว่าสิ่งใดก็กล้าทำ
“ข้าไม่ทำเช่นนั้นจริงๆ ใครใช้ให้เขาเป็นพ่อของเจ้าเล่า”
เจียงซื่อจึงได้วางใจลงเล็กน้อย
“รอข่าวดีจากข้าเถิด”
อวี้จิ่นก้มศีรษะลงจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากอันขาวผ่องของหญิงสาว สายตาของเขาเคลื่อนลงไปจับจ้องที่ริมฝีปากแดงเรื่อของนาง ก่อนจะออกไปทางหน้าต่างด้วยความอาลัยอาวรณ์
สายลมพัดเข้ามาจากทางหน้าต่าง ทำให้ภายในห้องว่างเปล่าในพริบตา
เจียงซื่อยืนอยู่ที่ตรงหน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอกเงียบๆ
นอกหน้าต่างปรากฏสีดำทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงดาวบนท้องฟ้ากะพริบออกมาเป็นแสงสว่างไสวเยือกเย็น เมื่อไม่มีดวงจันทร์ จึงทำให้รู้สึกเงียบเหงา
แต่ดวงใจที่กระสับกระส่ายของเจียงซื่อ บัดนี้กลับดูมั่นคงมากขึ้น
ต่อให้เป็นหนทางที่มืดมนหรือยากเย็นสักเพียงใด เพียงแค่มีคนที่หัวใจผูกพันกันก้าวต่อไปพร้อมกัน ก็ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว
“อาซื่อ”
ด้านนอกหน้าต่างปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าอันหล่อเหลา
เจียงซื่อถอยหลังออกไปครึ่งก้าวแล้วขมวดคิ้วมองดูชายหนุ่มรูปงามผู้นั้น
“เจ้าไม่อยากให้ข้าไปเช่นนี้เชียวหรือ”
ประโยคนี้ทำให้อาเฉี่ยวที่กำลังเตรียมตัวเดินเข้ามาหยุดฝีเท้าลงแก้มแดงเรื่อ
เจียงซื่อไม่ได้ปฏิเสธหรือไม่ได้โมโหแต่อย่างใด ในทางกลับกัน นางมองไปทางเขาแล้วยิ้มขึ้นเล็กน้อย
นางต้องยอมรับว่า เดิมทีร่างของเขาที่หายไปท่ามกลางความมืดได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าอีกครั้ง ทำให้นางอารมณ์ดียิ่งนัก
แต่การที่นางยิ้มเช่นนี้กลับทำให้อวี้จิ่นทำตัวไม่ถูก
“อากาศหนาวเย็นนัก รีบพักผ่อนเถิด” เขาปิดหน้าต่างลงด้วยตนเอง ก่อนจะหายไปในลานกว้างอีกครั้งหนึ่ง
อาเฉี่ยวบากหน้าเดินเข้ามา “คุณหนูเจ้าคะ ให้บ่าวจัดเตรียมที่พักผ่อนให้เถิด”
เจียงซื่อหันหลังเดินกลับไปนั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง
อาเฉี่ยวถอดปิ่นปักผมให้นาง
ผมยาวดำขลับร่วงหล่นลงมาถึงเอว เงางามเป็นประกายคล้ายกับผ้าไหม
อาเฉี่ยวหยิบหวีงาช้างหวีลงไปที่ผมของนาง
สีขาวของหวีงาช้างและสีดำขลับของเส้นผม ใต้แสงไฟนวลผ่องสะท้อนภาพหญิงงามผู้อ่อนโยนออกมาจากทางกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง
อาเฉี่ยวอดไม่ได้ที่จะหันมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“มองอะไรกัน” เจียงซื่อสัมผัสได้จึงเงยหน้าขึ้น
อาเฉี่ยวนึกถึงประโยคที่เมื่อครู่ได้ยินโดยบังเอิญ นางจึงรู้สึกระสับกระส่าย ก่อนจะเอ่ยหาเหตุผลขึ้นมาว่า “คุณหนูช่างน่ามองนัก”
ดูเหมือนเจียงซื่อจะเข้าใจความคิดของอาเฉี่ยว นางหันศีรษะไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามว่า “ตกใจงั้นหรือ”
อาเฉี่ยวอายจนหน้าแดงเรื่อ
เจียงซื่อลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปที่เตียง
บนพื้นกระจัดกระจายไปด้วยหมอนและผ้าห่ม
อาเฉี่ยวเห็นดังนั้นยิ่งอายจนหน้าแดง นางไม่รู้ว่าเจ้ามือไปไว้ที่ใดดี
หากว่าเข้าไปเก็บ คุณหนูจะอายหรือไม่
จะเก็บหรือทำเป็นไม่เห็นดี
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินน้ำเสียงของเจียงซื่อเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เก็บสิ่งของที่อยู่บนพื้นขึ้นมาเถอะ”
อาเฉี่ยวจึงได้เก็บหมอนและผ้าห่มอุ้มขึ้นมาวางไว้บนเตียง
“เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
อาเฉี่ยวเดินไปทางประตู แต่จู่ๆ นางก็หันหลังกลับมา
เจียงซื่อมองไปที่นาง
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูจะแต่งงานกับคุณชายอวี๋ใช่หรือไม่”
เจียงซื่อมองดูท่าทางอันร้อนรนของบ่าวรับใช้ก่อนจะพยักหน้า
อาเฉี่ยวจึงได้ถอนหายใจออกมา นางไม่กล้าสบตากับเจียงซื่อ แต่เดินออกไปอย่างรวดเร็วทันที
เจียงซื่อยิ้มแล้วส่ายหน้า
มองดูแล้ว บ่าวรับใช้ผู้นี้คงจะตกใจพอควร
จะว่าไปก็เป็นเช่นนั้น สตรีเช่นนางที่ยังไม่ออกเรือนแต่กลับใกล้ชิดสนิทสนม กระซิบกระซาบกับชายหนุ่มที่ปีนกำแพงเข้ามา หากอยู่ในตระกูลที่หัวโบราณ แล้วถูกจับได้เข้าละก็ นางคงจะถูกจับใส่กรงหมูและถ่วงน้ำ
ถ่วงน้ำอะไรกันเล่า!
เจียงซื่อดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าแล้วนอนหลับไปอย่างสบายใจ
ด้านอวี้จิ่นเอง เมื่อกลับไปยังจวนเยี่ยนอ๋องก็ไม่อาจข่มตานอนได้ เขาอาบน้ำเย็นครั้งแล้วครั้งเล่า
หลงต้านที่ยืนอยู่ด้านข้างกำลังยื่นผ้าเช็ดตัวมาให้เขา อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
“เจ้านายขอรับ ทำเช่นนี้ท่านจะทนไหวหรือ”
อวี้จิ่นไม่ได้สนใจหลงต้าน เขาใช้ขันตักน้ำแล้วราดตัว
ร่างกายของชายหนุ่มที่ไม่มีเสื้อผ้าบดบัง ช่างแข็งแกร่งบึกบึน ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยพลัง น้ำเย็นไหลลงมาที่กระดูกไหปลาร้า ผ่านช่องท้องส่วนล่างที่แบนราบและแน่นหนา ขาอันเรียวยาวทรงพลัง บนพื้นปรากฏเป็นแอ่งน้ำ
ดูเหมือนเจ้านายจะต้องการสตรีสักคน ไม่สิ สักสามคน…
หลงต้านใจลอยและจ้องมองไปยังจุดหนึ่งเนิ่นนาน
อวี้จิ่นรู้สึกได้ดังนั้น จึงได้ที่เตะหลงต้านกระเด็นไปที่ปากประตู ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมออกมาคลุมแล้วเดินออกไปข้างนอก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “หากยังทำตัวไร้กาลเทศะเช่นนี้ ระวังข้าจะตัดขาที่สามของเจ้า!”
หลงต้านหุบขาทั้งสองข้างของเขาโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะเดินตามออกไปจากห้องอาบน้ำเงียบๆ อยู่ข้างหลัง
ล้วนเป็นชายหนุ่มด้วยกัน ก็แค่มองนิดหน่อยหน่อยจะเป็นไรไป
อวี้จิ่นที่เดินอยู่ข้างหน้า อยากจะหันมาถีบเขาอีกสักสองทีเหลือเกิน
ไอ้เจ้านี่ อาซื่อยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ เจ้ากล้าดีอย่างไรมามอง!
แต่ว่า อาซื่อเคยสัมผัสมาแล้ว…
เมื่อคิดดังนี้ อวี้จิ่นก็รู้สึกว่าน้ำเย็นที่เพิ่งอาบเมื่อครู่ อาบไปช่างเสียเวลาเปล่า
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงแย่ เขาจะต้องรีบจัดการแต่งงานกับนางแล้วพานางกลับมาที่จวนโดยเร็ววัน
เช้าวันต่อมา อวี้จิ่นวนเวียนอยู่บริเวณทางที่เจียงอันเฉิงจะต้องเดินผ่าน
เจียงอันเฉิงเหลือบตาไปมองเห็นชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ เขาละสายตากลับมาแล้วทำเป็นมองไม่เห็น ก่อนจะเดินตรงออกไป
“ท่านลุง” อวี้จิ่นก็ยกมือขึ้นคารวะแล้วโน้มกายลง
“อย่าได้ทำเช่นนี้” เจียงอันเฉิงรีบยกมือขึ้นปฏิเสธแล้วยิ้มอย่างเยือกเย็นว่า “ข้าจะให้ท่านอ๋องเรียกข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ทั้งคืน ในที่สุดเขาก็คิดได้
จู่ๆ ก็เข้ามาทำดีด้วย คงต้องหวังผลอย่าแน่นอน เจ้าหมอนี่มีตัวตนอันสูงส่ง แต่กลับทำตัวถ่อมตนต่อหน้าเขาเช่นนี้เพราะสิ่งใด คงไม่ใช่เพราะบุตรชายเขาที่แม้แต่ยกให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายก็ไม่เอาหรอกใช่หรือไม่
คิดไปคิดมา เจ้าหมอนี่คงต้องการจับจ้องบุตรสาวของเขาเป็นแน่
เมื่อเห็นเจียงอันเฉิงทำท่าทางเยือกเย็นเช่นนั้น เขาก็แอบบ่นอยู่ในใจว่า ช่างโชคดีเหลือเกิน
ยังดีที่เมื่อคืนเขาปีนกำแพงข้ามไปหาอาซื่อก่อนแล้ว บัดนี้เขาจึงรู้สึกมั่นใจอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้เขาคงจะเสียสติไปแน่ๆ
แต่ทว่าอวี้จิ่นก็ยังคงทำท่าทางสงบนิ่งดังเดิมและยิ้มออกมาอย่างเปิดเผยว่า “ที่แท้ท่านลุงรู้แล้วว่าข้าเป็นใคร แต่ไม่ว่าหลานจะเป็นใครมาจากไหน อยู่ต่อหน้าท่านก็นับว่าเป็นลูกหลาน ท่านลืมแล้วหรือว่าข้าและเจียงจั้นเป็นสหายที่ดีต่อกัน”
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ทุกกิริยาท่าทางสง่างามประกอบกับคำพูดอันจริงใจและหนักแน่น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเกิดความรู้สึกรังเกียจขึ้นได้
เจียงอันเฉิงหยิกต้นขาของตนเองอย่างแรง
อดทนไว้ จะถูกเจ้าหมอนี่จูงจมูกไม่ได้!
เจียงอันเฉิงมองไปรอบข้าง ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเล็กน้อยว่า “ท่านอ๋องทำให้ข้าตกใจมากจริงๆ การที่ท่านเรียกตนเองว่าหลานเช่นนี้ต่อหน้าข้า หากฮ่องเต้ทรงรับรู้จะคิดเช่นไร”
อวี้จิ่นยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า “เสด็จพ่อเป็นคนใจกว้าง แน่นอนว่าคงจะดีใจที่บุตรชายได้พบกับมิตรแท้”
เจียงอันเฉิงขมวดคิ้วเข้าหากัน
เจ้าหมอนี่ไม่เกรงกลัวน้ำไฟ อีกทั้งหน้าด้านเหลือเกิน หากไม่ดุด่าเขาจริงจังคงไม่ได้การ
“ท่านอ๋อง พวกเราล้วนเป็นชายชาตรี ไม่กล่าววาจาอ้อมค้อม ข้าขอกล่าวออกไปตามตรงเถิด”
“ท่านลุงเชิญว่ามาเถิด หลานคอยฟังอยู่ขอรับ”
“ข้านั้นมีเพียงบุตรสาวสองคน บุตรสาวคนโตถูกหย่าร้างตัดความสัมพันธ์และกลับมาอยู่ที่เรือนมารดา บุตรสาวคนรองอยู่ในช่วงเหมาะสมแก่การออกเรือน ดังนั้นเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวคนรองจึงเป็นเรื่องใหญ่และต้องระมัดระวังเป็นที่สุด มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้”
“ท่านลุงกล่าวมาเถิดว่าสิ่งใด”
“จะเป็นคนในราชวงศ์ไม่ได้”
อวี้จิ่นนิ่งเงียบไปแล้วเอ่ยถามว่า “ไม่มีหนทางแก้ไขได้เลยหรือ”
เจียงอันเฉิงถอนหายใจออกมา “ไม่มี”
ที่จริงเสี่ยวอวี๋ไม่เลวเลย เพียงแต่ตัวตนของเขานั้นไม่ผ่าน
“หลานเข้าใจแล้วขอรับ”
“อย่าได้แทนตัวเองว่าหลานอีกเลย ทำเช่นนี้ทั้งสองฝ่ายล้วนอึดอัดใจ”
“เช่นนั้น…ข้าเข้าใจแล้ว” อวี้จิ่นยืดตัวตรงแล้วยิ้มขึ้นเล็กน้อย
เอาล่ะ ในเมื่อเขาถ่อมตัวเป็นหลานแต่ไร้ประโยชน์ ก็คงจะต้องใช้ประโยชน์จากตัวตนที่เป็นอ๋องแย่งชิงบุตรสาวของเขามาให้ได้