รัชศกจิ่งหมิงปีที่สิบแปด ฤดูหนาวช่างหนาวจับใจ ยังไม่ทันถึงเทศกาลตงจื้อ[1]ก็มีหิมะโปรยปรายขึ้นแล้วเป็นครั้งแรก
เกล็ดหิมะพลิ้วไหวราวกับเข็มเล่มเล็กที่ร่วงหล่นลงมากระทบตามชายคาและท้องถนน ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นสีขาว
บนถนนหินสีน้ำเงิน หิมะบางเบาเกาะตัวกัน ผสมกับสีของพื้นออกมาเป็นสีซีดหม่น รองเท้าของบรรดาผู้สัญจรไปมาเหยียบย่ำไปบนพื้นผิวเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด มันค่อนข้างลื่นเล็กน้อย
อากาศเย็นเหลือเกิน
ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนบ้างเอามือถูไถกันไปมา บ้างยกมือขึ้นปิดหูแล้วเร่งฝีเท้า
อากาศในวันที่หนาวเหน็บเช่นนี้ไม่มีผู้ใดอยากออกไปข้างนอก หากไม่ได้มีธุระอันจำเป็น หรือต้องออกไปทำมาหากินอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทว่าในวันนี้ จวนตงผิงปั๋วกลับมีแขกเดินทางมาเยือน
เจียงซื่อได้รับเชิญจากบ่าวรับใช้ในเรือนฉือซิน ในใจของนางเต็มไปด้วยความสงสัย
เมื่อพบว่าบัดนี้ใกล้จะถึงเทศกาลตงจื้อแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นเทศกาลสำคัญของทุกจวน แม้แต่ในราชสำนักเองก็ได้จัดการประชุมราชวงศ์ใหญ่ เหตุใดบัดนี้จึงมีแขกเดินทางมาเล่า
เมื่อนางเดินไปถึงเรือนฉือซิน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมาจากข้างใน
“คุณหนูสี่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อบ่าวรับใช้รายงานเข้าไปยังด้านใน ภายในห้องก็เงียบเสียงลงทันที
เจียงซื่อเหลือบชำเลืองมอง
บริเวณเตาผิงพบเฝิงเหล่าฮูหยินนั่งไขว่ห้างอยู่ โดยมีสตรีอายุสิบแปดสิบเก้าปีนั่งด้านข้าง ใบหน้าของนางก้มต่ำจึงทำให้มองเห็นไม่ชัดหนัก
คุณหนูสามเจียงเชี่ยว คุณหนูห้าเจียงลี่ คุณหนูหกเจียงเพ่ยได้เดินทางมาถึงแล้ว กัวซื่อซานไท่ไท่ก็เดินทางมาอยู่ที่นี่ด้วย
เจียงซื่อถอดผ้าคลุมออก ยื่นส่งให้บ่าวรับใช้ก่อนจะก้าวขาเข้าไปด้านใน โค้งคารวะไปทางเฝิงเหล่าฮูหยินและกัวซื่อ “ท่านย่า อาสะใภ้สาม”
เฝิงเหล่าฮูหยินมองไปทางเจียงซื่อแล้วเผยอยิ้มขึ้นเล็กน้อยตรงมุมปาก ท่าทางของนางดูอ่อนโยนกว่าเดิม “มานี่สิ มาทำความรู้จักกับป้าเจ้าสักหน่อย”
จากนั้นนางก็หันไปกล่าวกับสตรีที่อยู่ข้างกายว่า “นี่คือคุณหนูสี่”
สตรีนางนั้นเงยหน้าขึ้นแล้วเริ่มทักทายเจียงซื่ออย่างกระตือรือร้นว่า “คุณหนูสี่”
บัดนี้เจียงซื่อจึงได้มองเห็นหน้าตาท่าทางของนางได้อย่างชัดเจน
นางทำผมเช่นสตรีซึ่งยังไม่ออกเรือน ใบหน้ารูปไข่อันงดงาม ดวงตากลมโต มองไปแล้วดูเป็นคนเงียบๆ
ป้า?
ในใจของเจียงซื่อครุ่นคิดไปมาถึงตัวตนของสตรีผู้นี้
การที่ให้นางเรียกว่าป้า นั่นหมายความว่าเป็นบุตรสาวของพี่น้องท่านตา หรือไม่ก็บุตรสาวของพี่น้องท่านย่า
ท่านปู่จากไปหลายปีแล้ว ด้วยนิสัยเดิมของท่านย่า นางจะไปสนใจคนเหล่านี้หรือ เช่นนั้นสตรีที่อยู่เบื้องหน้าคาดว่าคงจะเป็นบุตรสาวของพี่น้องท่านย่านั่นเอง
นางไม่เคยพบเจอกันมาก่อน จึงยากจะบอกได้ว่าเป็นตระกูลใด
แม้ว่าเจียงซื่อจะครุ่นคิดอยู่กับเรื่องนี้ แต่การแสดงออกของนางก็ไม่ได้หยุดนิ่ง นางโค้งกายคารวะสตรีผู้นั้นเล็กน้อย “คารวะท่านป้า”
“คุณหนูสี่ไม่ต้องสุภาพเช่นนี้หรอก” หญิงสาวเข้าไปพยุงนางแล้วเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
เจียงซื่อเห็นท่าทางที่เงียบๆ และดูขี้อายของหญิงสาว ทำให้ในใจเกิดความรู้สึกดีเล็กน้อย
ทันใดนั้น เฝิงเหล่าฮูหยินก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “ป้าของเจ้าเป็นบุตรสาวของเสี่ยวอี๋เหล่าเลา เพิ่งจะเดินทางมาจากเมืองจินซา นับจากนี้นางจะมาอาศัยอยู่ในจวนของเรา พวกเจ้าทำความรู้จักและสนิทสนมกันเข้าไว้”
บัดนี้เจียงซื่อจึงได้รู้ตัวตนของสตรีนางนี้
น้องสาวของเฝิงเหล่าฮูหยิน แต่งงานไปอยู่ที่เขตจินซาทางใต้ของเมืองหลวง สามีของนางมาจากตระกูลโต้ว เนื่องจากว่าอายุน้อยกว่าเฝิงเหล่าฮูหยินนับสิบปี บุตรของนางจึงมีอายุไม่มาก แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่อายุขัยไม่ยืนยาว เพิ่งจากโลกนี้ไปเมื่อสองปีก่อน
หมายความว่า ป้าผู้นี้เพิ่งออกจากการไว้ทุกข์หรือ
เมื่อคิดได้ดังนี้ หนังตาของเจียงซื่อก็กระตุก นางมีความรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
นางเองก็บอกไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้มาจากที่ใด แต่นางเลือกที่จะเชื่อตามสัญชาตญาณ
บัดนี้ใกล้จะปีใหม่แล้ว จู่ๆ ก็ปรากฏท่านป้าขึ้นมาเช่นนี้ ไม่ว่าจะนิสัยเช่นไร นางก็รู้สึกว่าเหล่าฮูหยินดูเหมือนกำลังจะสร้างปัญหาบางอย่างขึ้น
เจียงซื่ออดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสตรีนางนั้น
คิ้วคมได้รูป ท่าทางแสดงออกอย่างสงบ มองไปช่างเป็นหญิงสาวที่น่าชื่นชมเหลือเกิน
เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านย่ากำลังจะช่วยบุตรสาวของเสี่ยวอี๋เหล่าเลา ดังนั้นจึงได้รับนางมาที่เมืองหลวงเพื่อหาคู่ครองดีๆ ให้นาง
หากเป็นเช่นนี้ก็พอจะเข้าใจได้
แต่เหตุใดเจียงซื่อจงรู้สึกอึดอัดใจอย่างอธิบายไม่ถูกเช่นนี้
โชคดีเหลือเกินที่ป้าคนนี้ห่างรุ่นกับพวกนาง จึงไม่คิดวางแผนกับพี่ชาย
บัดนี้นางไม่ได้จับจ้องเพราะดูถูกญาติที่เดินทางมาพึ่งพาอาศัย แต่กำลังระมัดระวังท่านย่า ไม่ว่าใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับท่านย่า นางก็จำเป็นที่จะต้องระมัดระวัง
ใครใช้ให้ย่าของนางเห็นผลประโยชน์ดีกว่าสิ่งอื่นใดเล่า
สตรีนางนั้นนั่งก้มหน้าไม่กล้าสบตาเจียงซื่อ นางแอบแปลกใจว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคุณหนูทั้งสามแล้ว คุณหนูสี่ช่างมีสายตาที่เฉียบแหลม ราวกับสามารถอ่านใจคนได้
และท่าทางของเฝิงเหล่าฮูหยินที่มีต่อคุณหนูสี่ทำให้นางประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อครั้นคุณหนูอีกสามคนเดินเข้ามา เห็นได้ชัดว่าท่านป้ามีท่าทีปกติเฉกเช่นย่าที่มีต่อหลานสาว แต่เมื่อคุณหนูสี่เดินเข้ามา ท่าทางอันผ่อนคลายก็เปลี่ยนไปทันที ดูเหมือนกับมีแรงกดดันบางอย่าง
และท่าทางเช่นนี้ที่ไม่เหมือนกับย่าปฏิบัติต่อหลานสาว แต่เหมือนกับ…
เหมือนกับอะไรนั้นนางเองก็บอกไม่ถูก รู้เพียงว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ด้วยเหตุนี้เองนางจึงค่อนข้างระมัดระวังพฤติกรรมที่มีต่อเจียงซื่อเป็นพิเศษ
“กัวซื่อ ที่เรือนชิ่นฟางเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วหรือ”
กัวซื่อที่ก่อนหน้านั่งเงียบขรึมเอ่ยขึ้นว่า “เก็บเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ทั้งมุ้งและม่านไม่รู้ว่าน้องสาวชื่นชอบแบบใด หากไม่ชอบค่อยเปลี่ยนใหม่ย่อมได้”
สตรีนางนั้นกล่าวว่า “พี่สะใภ้เกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินตบมือของนางเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องทำตัวสุภาพถ่อมตนเช่นนี้ก็ได้ นับจากนี้ไปจวนปั๋วก็เสมือนกับจวนของเจ้า หากอาศัยอยู่ที่นี่แล้วไม่คุ้นชิน ก็บอกกับพี่สะใภ้สามของเจ้าได้”
เจียงซื่อรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น เรือนชิ่นฟางเป็นเรือนที่อยู่ใกล้กับเรือนใหญ่มากที่สุด นับจากท่านป้าออกเรือนไปแล้วก็ไม่เคยมีผู้ใดในจวนปั๋วเข้าอาศัยอีก
คนรุ่นเดียวกับเจียงอันเฉิงมีทั้งสิ้นสี่คน มีเพียงนายท่านเจียงสามที่เป็นบุตรของอนุภรรยา บุตรชายอีกสองคนและบุตรสาวอีกหนึ่งคนล้วนเป็นลูกแท้ๆ ของเฝิงเหล่าฮูหยิน
ดังนั้นเฝิงเหล่าฮูหยินจึงรักและทะนุถนอมบุตรสาวคนเดียวของนางเป็นที่สุด แม้จะออกเรือนไปแล้วก็ไม่ปล่อยให้เรือนของนางจะต้องรกร้าง นางจะสั่งให้บ่าวรับใช้ไปทำความสะอาดเป็นประจำ
แต่บัดนี้ท่านย่าปล่อยให้อาหญิงโต้วเข้าอาศัยอยู่ในเรือนชิ่นฟาง เห็นได้ชัดว่านางรักใคร่สตรีผู้นี้เพียงใด
รักอย่างนั้นหรือ? เจียงซื่อปฏิเสธความคิดนี้อย่างรวดเร็ว
แม้แต่หลานสาวในไส้ของนาง นางยังไม่เคยให้ความรู้สึกรักและทะนุถนอม แล้วนับประสาอะไรกับลูกของน้องสาว
เฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “อ้อใช่สิ ลุงของพวกเจ้ากำลังดื่มน้ำชากับพ่อของพวกเจ้าอยู่ ไว้วันหลังข้าจะพาไปแนะนำ ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกกล่าวได้ว่าอาศัยอยู่ในจวนแต่กลับไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่”
เจียงซื่อจึงได้รับรู้ว่านอกจากอาหญิงโต้วแล้ว อาชายโต้วก็ได้เดินทางมาด้วย
“เรือนชิ่นฟางอยู่ไม่ไกลจากเรือนไห่ถังเท่าไรนัก เจ้าไปส่งอาของเจ้าพร้อมกับอาสะใภ้สามของเจ้าเถิด”
“เจ้าค่ะ” เจียงซื่อยิ้มรับ นางตั้งใจจะคอยดูอยู่อย่างสงบ
เมื่อเดินทางมาส่งอาหญิงโต้วพร้อมกับกัวซื่อจนถึงเรือนชิ่นฟางแล้ว เจียงซื่อก็ได้เดินทางไปนั่งเล่นอยู่ที่เรือนของเจียงอี ก่อนจะเล่าเรื่องการเดินทางมาถึงของอาหญิงโต้วซึ่งจะเดินทางมาอาศัยอยู่ที่นี่
บางทีอาจเป็นเพราะการเปิดโปงพฤติกรรมและความรู้สึกอันแท้จริงของจูจื่ออวี้ที่โหดร้าย ทำให้เจียงอีรู้ว่านางไม่มีโอกาสจะหลอกตัวเองได้อีกต่อไป หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ท่าทางของนางจึงได้ดูแข็งแกร่งกว่าที่เจียงซื่อคิดเอาไว้ไม่น้อย
เจียงอีได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วกล่าวว่า “จากที่ข้าพอจำความได้ ท่านลุงผู้นี้มีนิสัยขี้เล่น เจ้าอย่าได้ตีสนิทกับเขาให้มากนัก”
“อาชายโต้วและอาหญิงโต้วเคยเดินทางมาที่นี่หรือ”
“เคยมา แต่ตอนนั้นเจ้ายังเด็ก จำความไม่ได้ เอาเป็นว่าน้องสี่อยู่ให้ไกลจากอาชายโต้วเป็นดี”
“พี่ใหญ่วางใจได้ ข้าเข้าใจแล้ว อาชายโต้วไม่ได้อาศัยอยู่ในเรือนหลัก คาดว่าคงมีโอกาสพบหน้ากันไม่มากนัก”
สองพี่น้องสนทนากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เจียงซื่อจะเดินทางกลับไปที่เรือนไห่ถัง
เมื่อถึงตอนบ่าย คุณหนูห้าเจียงลี่ได้เดินทางมานั่งเล่นที่เรือนไห่ถัง
เจียงลี่เป็นคนที่ไม่ชอบหาเรื่องใส่ตน หากเป็นไปได้นางก็จะไม่ก้าวขาออกจากประตูเรือน ดังนั้นการที่เดินทางมายังเรือนไห่ถังจึงนับว่าเป็นแขกที่เชิญมาได้ยากยิ่ง
เจียงซื่อเก็บกลั้นความรู้สึกแปลกใจเอาไว้ แล้วเข้าไปต้อนรับเจียงลี่ นั่งอยู่ไม่นาน เจียงลี่ก็เดินจากไป
เจียงซื่อรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก นางคิดย้ำเกี่ยวกับประโยคที่เจียงลี่กล่าวออกมา มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของนางเป็นอย่างยิ่ง
“บางทีอาจเป็นเพราะวันนี้ร่างกายของท่านแม่ไม่สบายนัก นางจึงได้อารมณ์เสียใหญ่”
————————–
[1] ตงจื้อแปลตรงตัวว่าฤดูหนาวมาถึงแล้ว คือวันที่พระอาทิตย์จะส่องแสงสั้นที่สุด ในสมัยโบราณมีความสำคัญพอๆ กับวันตรุษจีน