บทที่ 306 ครอบครัวใหญ่เสียหน้า

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 306 ครอบครัวใหญ่เสียหน้า

บทที่ 306 ครอบครัวใหญ่เสียหน้า

หลิวจือเสี้ยนไม่เคยคิดเลยว่ากู้เสี่ยวหวาน ในวัยที่อายุยังน้อยเช่นนี้จะมีเมตตาและชอบธรรม ช่างน่ายกย่องจริง ๆ !

“นายท่านหลิวพูดน่าขันแล้ว ข้าเพียงให้เช่าที่ดิน งานหนักที่แท้จริงคือผู้เช่าที่ต้องทำงานตลอดทั้งปีท่ามกลางลมและฝน กลัวภัยแล้ง กลัวน้ำท่วม และมีความกังวลตลอดทั้งปี ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพึ่งพาการเก็บเกี่ยวในไร่เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ข้าแค่ทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงลดค่าเช่าลงหนึ่งส่วน แต่สำหรับผู้เช่ามันเป็นการช่วยชีวิต ข้าก็เป็นคนจนจึงรู้ดีถึงความยากลำบากของทุกคน” กู้เสี่ยวหวานกล่าวตามเหตุผล

ทันทีที่นางกล่าวจบ เสียงปรบมือก็ดังขึ้น เป็นผู้คนในที่แห่งนั้นที่ปรบมือให้นาง

“สาวน้อยกู้พูดได้ดี หากเจ้าของที่ดินมีจิตใจดีต่อเรา คนจนอย่างเราคงมีความหวังในชีวิต”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว สาวน้อย เจ้านี่มีจิตใจดีเสียจริง”

ทุกคนต่างชื่นชมและปรบมือให้กับการกระทำของกู้เสี่ยวหวาน

ฉินเย่จือที่ยืนอยู่ไม่ไกล หัวใจของเขาก็เต้นแรง แม้ว่าเขาจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่มีแสงจ้าส่องประกายในดวงตาของเขา

คดีจบลงด้วยชัยชนะของกู้เสี่ยวหวาน

เหลยต้าเซิ่งและซุนซีเอ๋อร์สมรู้ร่วมคิดกับทางการเพื่อแย่งที่ดินของคนอื่นไป และถูกขังอยู่ในห้องขังเป็นเวลาสามสิบวัน

ครั้นซุนซีเอ๋ร์อออกมาจากห้องขัง ได้ยินมาว่านางใกล้จะบ้าแล้ว ตอนที่นางอยู่ในห้องขังเป็นเวลาสามสิบวัน ไม่มีใครในครอบครัวมาพบนางเลยสักคน

การอยู่ในห้องขังกับคนบ้าทั้งวัน ซุนซีเอ๋อร์ไม่ได้บ้า แต่นางก็ใกล้แล้ว

และกู้ฉวนลู่ที่คิดถึงแต่ตนเองก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อปกป้องนางเลย

ในหอหนังสืออวี้มีนักเรียนบางคนที่ผลการเรียนแย่กว่ากู้จือเหวินเพียงเล็กน้อย แต่ภูมิหลังทางครอบครัวของพวกเขาดีกว่ากู้จือเหวินหลายเท่า พวกเขาเบื่อหน่ายกับท่าทีเย่อหยิ่งของกู้จือเหวินมานานแล้ว ในเวลานี้พวกเขาจึงใช้เรื่องของซุนซีเอ๋อร์มากดดันกู้จือเหวินอย่างรุนแรง

ในหอหนังสือวี้ กู้จือเหวินถูกเยาะเย้ยและถูกเสียดสี เดิมทีเขามีความมั่นใจ เขาจะทนทุกข์กับความอัปยศมากเช่นนี้ได้อย่างไร? เด็กชายผู้มั่งคั่งพร้อมกับเด็กชายอีกคน ร่วมมือกันเพื่อสอนบทเรียนให้กับกู้จือเหวิน

กู้จือเหวินมีร่างกายที่ผอมบางและอ่อนแอ เขาจะสามารถต่อสู้กับพวกคนพาลทั้งสองได้อย่างไร หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พ่ายแพ้ จมูกของเขาเขียวช้ำและใบหน้าของเขาปูดบวม

เพราะเขาไม่ต้องการสร้างเรื่องใหญ่โต เด็กชายผู้มั่งคั่งจึงสั่งสอนกู้จือเหวินสองครั้ง แล้วเขาก็เดินจากไปพร้อมกับหัวเราะ

กลุ่มนักเรียนที่เป็นเพื่อนกับกู้จือเหวินในวันปกติต่างก็ซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัว และเมื่อพวกเขาเห็นเด็กผู้มั่งคั่งจากไป พวกเขาก็วิ่งออกมาทีละคนและแสร้งทำเป็นถามไถ่

กู้จือเหวินโกรธที่แม่ของเขาถูกคุมขังในเมืองรุ่ยเสียน เรื่องนั้นกระจายไปทั่วทั้งเมืองหลิวเจีย

กู้จือเหวินกลายเป็นลูกชายของโจรในชั่วข้ามคืน ทุกคนต่างชี้มาที่เขาและนินทา กู้จือเหวินเรียนหนังสือมาหลายปีแล้ว เขาไม่ได้อ่านมาก แต่กลับหยิ่งยโส

เมื่อเห็นกลุ่มนักเรียนรอบตัวจ้องมองเขาด้วยท่าทางแปลก ๆ กู้จือเหวินรู้สึกว่าคนเหล่านี้ต้องหัวเราะเยาะเขาอยู่ในใจ ดังนั้นเขาจึงพ่นลมหายใจและกลับบ้านไป

เมื่อเขาเดินไปก็มีเสียงคนหัวเราะไล่หลังมา

“มีแม่ไร้ยางอายเช่นนี้ ช่างน่าอายเสียจริง”

“มีแม่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าอนาคตจะกลายเป็นคนเช่นไร”

เมื่อกู้จือเหวินเห็นผู้คนรอบตัวหัวเราะเยาะเขา จึงจ้องเขม็งไปที่ผู้พูดในทิศทางของเสียงอย่างดุเดือด เมื่อคนเหล่านั้นเห็นกู้จือเหวินมองมาที่นี่ และพวกเขาบังเอิญเห็นดวงตาที่โหดเหี้ยมของกู้จือเหวินที่ราวกับต้องการกินคน บางคนกลัวและละสายตาไปในทันที แต่บางคนไม่เกรงกลัวและจ้องกลับอย่างดุเดือด

กู้จือเหวินรู้สึกว่าสิ่งที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้เหมือนกับตัวตลก สิ่งที่ซุนซื่อได้ทำ ทำให้เขาเสียหน้าและกลัวว่าเขาจะไม่สามารถฟื้นตัวได้อีกเป็นเวลานาน

กู้ฉวนลู่ขอลาพักสองวันโดยบอกว่าเขาป่วย ดังนั้นเขาจึงต้องพักผ่อนอยู่ที่บ้าน

ในเมืองหลิวเจียมีข่าวเผยแพร่ไปว่าซุนซีเอ๋อร์ใช้วิธีการอันน่ารังเกียจเพื่อแย่งชิงที่ดินของหลานสาวตนเอง ต่อมาก็ถูกผู้พิพากษาตัดสินจำคุกสามสิบวัน

นอกจากนี้ กู้ฉวนลู่ที่เป็นคนทำบัญชีของร้านซุ่นซิน ใครที่เคยไปร้านซุ่นซินเพื่อทานอาหารเย็นจะรู้จักกู้ฉวนลู่ดี ในเมืองนี้กู้ฉวนลู่ถือได้ว่าเป็นคนมีหน้ามีตา

คราวนี้เรื่องของซุนซื่อทำให้ทั้งครอบครัวของพวกเขาไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้อย่างภาคภูมิ

ทุกคนบนท้องถนนและตรอกซอกซอยต่างเพิกเฉย และกลายเป็นข่าวลืออื้อฉาวของทุกคนหลังอาหารเย็น

เมือหลิวเจียเป็นเมืองขนาดเล็ก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนก็จะรู้เกี่ยวกับมัน ขนบธรรมเนียมพื้นบ้านในเมืองนั้นเรียบง่าย และถ้ามีเรื่องอะไรก็จะถูกตัดสินโดยผู้พิพากษาของเมือง

ในขณะที่ทุกคนสงสารโจทก์ พวกเขาก็เกลียดชังจำเลยเข้ากระดูกดำ

กู้ฉวนลู่คิดว่าสถานที่นั้นเป็นชื่อของภรรยา ดังนั้นอย่างน้อยก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับเขามากนัก อย่างไรก็ตาม กู้ฉวนลู่ประเมินพลังของเรื่องนี้ต่ำเกินไป

เมื่อกู้เสี่ยวหวานอยู่ที่นั่น สิ่งที่นางกล่าวสำหรับผู้เช่าที่ยากจนก็แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง ทุกคนต่างก็ยกย่องนางสำหรับความกรุณาและความเมตตาราวกับว่านางเป็นพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิด คำพูดและการกระทำของนางต่างได้รับการชื่นชมอย่างมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกคนรู้ว่ากู้เสี่ยวหวานไม่มีพ่อและแม่ และนางเป็นด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่หาเลี้ยงครอบครัวด้วยตนเอง พวกเขาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อกู้เสี่ยวหวาน

และซุนซีเอ๋อร์ผู้กลั่นแกล้งกู้เสี่ยวหวานก็กลายเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์ในที่สาธารณะ ทุกคนประณามการกระทำของนาง และกู้ฉวนลู่ก็ไม่ได้ดีไปกว่านั้นมากนัก แม้ว่าเขาจะกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้ แต่ผู้คนจะฟังคำอธิบายของเขาได้อย่างไร

ทุกวันที่กู้ฉวนลู่ทำงานอยู่ในร้านอาหาร เขาก็จะถูกชี้และโดนซุบซิบนินทา ในที่สุดกู้ฉวนลู่ก็มีอาการประสาทหลอนและรู้สึกว่าตราบใดที่คนอื่นมองมาที่เขา คนพวกนั้นจะหัวเราะเยาะลับหลังเขา ดังนั้นเขาจึงไม่มีสมาธิจนทำบัญชีผิดพลาดติดต่อกันหลายวัน เจ้าของร้านโกรธมาก กู้ฉวนลู่ก็รู้สึกทนไม่ไหวแล้วแล้วเช่นกัน จึงขอเวลาพักผ่อนสองสามวัน โดยบอกว่าเขาจะกลับมาหลังจากตนเองผ่อนคลายลงแล้ว

สำหรับกู้ซินเถา ในตอนนั้นเจียงหย่วนได้ส่งคนไปจุดไฟเผาทะเบียนในที่ว่าการอำเภอ

หลังจากกู้ซินเถาได้ฟังเรื่องราวจากซุนซื่อ นางก็ไปพบเจียงหย่วนและแต่งเรื่องราวว่ากู้เสี่ยวหวานร่วมกับเจ้าหน้าที่ซ่งลี่เพื่อแย่งที่ดินของครอบครัวไป นางเล่าว่าเจ้าหน้าที่ซ่งลี่ในที่ว่าการอำเภอรับเงินสินบนของกู้เสี่ยวหวาน ลงทะเบียนเท็จในทะเบียน โดยเขียนชื่อเจ้าของที่ดินที่เป็นชื่อของครอบครัวนางเป็นชื่อของกู้เสี่ยวหวาน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ส่วนคนชั่วสมควรโดนแบบนั้นแล้ว

ไหหม่า(海馬)