บทที่ 309 ไม่เกรงใจแล้วนะ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 309 ไม่เกรงใจแล้วนะ

บทที่ 309 ไม่เกรงใจแล้วนะ

ไม่ว่าเสี่ยวเถียนจะเก่งขนาดไหน แต่เธอก็ยังเป็นเด็กผู้หญิง และรถไฟก็โคลงเคลง เพราะฉะนั้นเธอต้องได้รับการปกป้องอย่างดี

เสี่ยวเถียนได้ยินการจัดแจงก็รีบตกลง

เธอไม่คิดจะเรียกร้องต่อแล้วปีนขึ้นไปเตียงกลางอย่างรวดเร็ว

เธอเอนกายลงบนที่นอน ก่อนจะสบเข้าสายตาคู่หนึ่ง

พอเห็นเสี่ยวเถียน ชายหนุ่มที่อยู่เตียงล่างฝั่งตรงข้ามก็ยิ้ม “สาวน้อย เธอแข็งแกร่งมาก!”

“เสี่ยวเถียน ไม่ต้องไปคุยกับคนแปลกหน้า” ฉืออี้หย่วนรีบเอ่ยปาก “กลับไปนอน!”

เสี่ยวเถียนร้องโอ๊ะ แล้วรีบเอนหลังลงไปนอน

จากนั้นฉืออี้หย่วนก็โล่งใจแล้วปีนขึ้นไปเตียงบนสุดเพื่อพักผ่อน โดยไม่ลืมบอกเสี่ยวซื่อให้เฝ้าดูเสี่ยวเถียนด้วย

เสี่ยวซื่อพยักหน้า แต่ในใจไม่คิดเช่นนั้น

ฝั่งตรงข้ามมีคนอยู่สองเตียง รวมเป็นหกเตียง สี่คนเป็นคนของเรา จะยังต้องกลัวอะไรอีก

ชายหนุ่มเห็นท่าทางของฉืออี้หย่วนก็ไม่คิดจะตอแยต่อ แล้วหันไปคุยกับฉือเก๋อแทน

เสี่ยวเถียนนอนเตียงกลาง เลือกหนังสือจากระบบห้องสมุดมาเล่มหนึ่งและอ่านอย่างสนอกสนใจ

หนังสือที่เธอเลือกมาเป็นเอกสารเกี่ยวกับการเกษตรขั้นสูง

แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมหนังสือที่มาช่วงนี้เกี่ยวกับการเกษตร แต่เสี่ยวเถียนก็มีความสนใจมาก ถึงขนาดอ่านแล้วนึกร่วมไปกับความเป็นจริงด้วย

เสี่ยวเถียนสงสัยว่าระบบตั้งใจจะฝึกเธอให้เป็นนักวิทยาศาสตร์การเกษตรที่ยิ่งใหญ่หรือเปล่า

ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ หนังสือที่เธออ่านมากที่สุดคือหนังสือเกี่ยวกับการเกษตรจริง ๆ รวมถึงการเพาะปลูก การขยายพันธุ์ และยังมีเรื่องอุตุนิยมวิทยาด้วย

ถ้าพูดอย่างจริงจังคือ เนื้อหาพวกนี้อยู่ในหัวข้อหลัก ๆ ของการเกษตรเลย

อันที่จริง เสี่ยวเถียนก็กำลังคิดเหมือนกันว่า มันคงจะดีหากเธอเพิ่มพูนความรู้ จะได้ไม่ต้องเรียนเรื่องเกษตรตลอดไป

อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเป็นช่วงของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วด้วย ถ้าได้อ่านเรื่องธุรกิจและเศรษฐศาสตร์เพิ่มได้ก็คงดีนะ

แต่มันก็แค่ความคิดที่แวบเข้ามาในหัว เสี่ยวเถียนรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้เธอจัดการไม่ได้

แม้แต่แอนนาก็เคยบอกว่าตัวเธอก็ไม่มีสิทธิ์ในเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะมันเป็นระบบสุ่ม

เสี่ยวเถียนรู้ว่าเวลาที่ตัวเองอ่านหนังสือจะจดจ่ออยู่กับมันเป็นเวลานาน และเพื่อไม่ให้เป็นการดึงดูดความสนใจของพี่สี่ เธอจึงเลือกหันหน้าเข้ากำแพง แสร้งว่าทำเป็นหลับ

เสี่ยวซื่อไม่ได้คิดอะไรมาก พอเห็นน้องสาวหลับก็โล่งใจไปมาก ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียง ในตอนที่รถไฟสั่นโคลงก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ฉืออี้หย่วนกังวลอยู่แล้วว่าคนเตียงล่างจะมีเจตนาไม่ดีต่อเสี่ยวเถียน เลยต้องคอยสังเกตการณ์เป็นระยะ ๆ

แต่พอเห็นว่าเขาเอาแต่ตั้งอกตั้งใจคุยกับปู่ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก

ฉือเก๋อคุยกับชายหนุ่มคนนั้นอย่างสนุกสนาน

ทั้งสองคุยกันเยอะมากจนเหมือนจะเป็นคนสนิทกันเลย

แต่เขาก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา คนนี้เป็นใคร? ไว้ใจขนาดขนาดนั้นได้อย่างไร? ไม่ใช่พวกหลอกลวงใช่ไหม?

ตอนที่เสี่ยวเถียนกำลังอ่านหนังสือ เธอได้ยินบทสนทนาของสองคนชั้นล่าง เธอคิดว่าชายคนนี้น่าจะเป็นคนที่มีทักษะคนหนึ่งนะ

หลังจากอ่านไปครึ่งเล่ม เสี่ยวเถียนก็รู้สึกเหนื่อย เด็กหญิงเตรียมจะเก็บหนังสือคืนเข้าระบบแล้วผล็อยหลับไป

รถไฟที่โคลงเคลงเป็นที่ที่ดีที่สุดในการนอนหลับ

ตอนที่เสี่ยวเถียนตื่น พระอาทิตย์ที่กำลังตกดินส่องแสงสีทองก็ปรากฏอยู่นอกรถไฟแล้ว!

เด็กหญิงปีนลงเตียง ไม่รู้ว่าฉือเก๋อหลับไปตอนไหน ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามที่กำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ

เสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าเขาอ่านอะไร และเธอก็ไม่อยากล่วงเกินความเป็นส่วนตัวของคนอื่นด้วย ดังนั้นเลยหยิบถ้วยออกมาจากกระเป๋า

เธอเติมน้ำในถ้วยฉือเก๋อก่อน ตามด้วยของฉืออี้หย่วน เสี่ยวซื่อ และของเธอเป็นคนสุดท้าย

เพื่อไม่ให้ฉือเก๋อตื่นขึ้นจากการพักผ่อน เธอจึงนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ เตียง แล้วมองอาทิตย์ตกข้างนอก

เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเถียนเดินทางไกลในชาตินี้ เธอรู้สึกว่าทะเลทรายอันแห้งแล้งข้างนอกสวยงามมาก และทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย

ชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะ

“สาวน้อยเก่งจังนะ เคยฝึกหรือ?” ชายหนุ่มถาม

“เคยฝึกมาบ้างค่ะ”

อีกฝ่ายเอ่ยปากแล้วก็ยากจะปฏิเสธ เธอจึงตอบเสียงผะแผ่ว

“สาวน้อยไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่ใช่คนเลว ฉันแค่คิดว่าเธอมีทักษะที่ดีน่ะ” เพราะรู้สึกถึงเสี่ยวเถียนที่พยายามเลี่ยงจะตอบคำถาม เขาเลยรีบพูด

“อ๋อ!” แต่เธอก็ยังตอบอย่างใจเย็น “หนูเป็นเด็กบ้านนอกที่พละกำลังเยอะค่ะ!”

“สาวน้อยถ่อมตัวเกินไปแล้ว!” ชายหนุ่มยิ้ม “รู้จักกันไว้แล้วกัน ฉันชื่อฮั่วซิวเฉิง”

ตอนนั้นเองที่ฉืออี้หย่วนตื่นขึ้นมาเห็นเสี่ยวเถียนกำลังคุยกับคนแปลกหน้าพอดีจึงรีบเอ่ย “เสี่ยวเถียน ลงไปทำอะไร?”

“พี่อี้หย่วน พระอาทิตย์ตกข้างนอกสวยมาก!” เสี่ยวเถียนยิ้ม ดวงตาเปล่งประกายสดใส

ฉืออี้หย่วนปีนลงมาจากชั้นบนและนั่งตรงข้ามกับเสี่ยวเถียนเพื่อชมพระอาทิตย์ด้วยกัน อันที่จริงต้องบอกว่าเสี่ยวเถียนดูพระอาทิตย์ตก แต่ฉืออี้หย่วนดูเสี่ยวเถียนต่างหาก

ฮั่วซิวเฉิงมองเด็กสองคนนั้นและรู้สึกว่านี่เป็นภาพวาดที่สวยงามมาก

ฉือเก๋อกับเสี่ยวซื่อตื่นตอนแสงหมดพอดี

เสี่ยวเถียนพยุงฉือเก๋อให้ลุกขึ้นนั่ง “คุณปู่ฉือตื่นแล้วหรือคะ? หนูเทน้ำไว้ให้แล้ว ตอนนี้น่าจะดื่มได้แล้วค่ะ”

“ผู้เฒ่าฉือ หลานสาวของคุณกตัญญูมาก!” ฮัวซิ่วเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“นี่ไม่ใช่หลานสาวของฉันหรอก เป็นลูกศิษย์ตัวน้อยน่ะ!” ฉือเก๋อยิ้มหลังจากจิบน้ำ

ตอนนั้นเสี่ยวเถียนเอาแป้งทอดกุยช่ายออกมาจากกระเป๋าแล้ว

“นี่คือแป้งทอดกุยช่ายที่บ้านเราทำเอง สหายฮั่วอยากกินด้วยกันไหมคะ?”

เดิมทีฮั่วซิวเฉิงคิด แต่พอได้กลิ่นหอมกรุ่มจากแป้งทอดหน้าตาน่ากินก็ปฏิเสธไม่ลง

“ผมอยู่บนรถไฟมาสองวันแล้ว อาหารที่เอามาก็หมด แถมอาหารบนรถไฟไม่อร่อยเลยจริง ๆ แต่พอผู้เฒ่าฉือเชิญ ผมขอไม่เกรงใจแล้วกันนะครับ!”

ตอนฮั่วซิ่วเฉิงพูด เด็กทั้งสามมองด้วยสายตาไม่เชื่อ

คนคนนี้ไม่รู้จักคำว่าเกรงใจหรือไง?

เห็นได้ชัดว่าคุณปู่ฉือพูดเป็นมารยาท นี่คิดจะกินจริง ๆ หรือไง?

แน่นอนว่าฮั่วซิวเฉิงมองเห็นสายตาของเด็กเหล่านี้

แต่เขาก็ทำอย่างเด็ดเดี่ยวด้วยการที่ว่าคนที่ต้องอายคือคนอื่นต่างหาก แล้วหยิบแป้งทอดมาชิ้นหนึ่งเลย

“หอมมากเลย คนที่ทำแป้งทอดไส้กุยช่ายแบบนี้ได้ต้องมีฝีมือดีมากแน่ ๆ ดีกว่าพ่อครัวในร้านอาหารของรัฐเสียอีก”

“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน กินมาหลายปีแล้วไม่มีเบื่อเลย!” เห็นได้ชัดว่าฉือเก๋อชอบฮั่วซิวเฉิงมาก

เสี่ยวเถียนไม่มีได้มีความรู้สึกไม่ดีต่อฮั่วซิวเฉิง ก็เลยไม่ได้พูดอะไร

แต่ฉืออี้หย่วนรู้สึกว่าจุดประสงค์ของคนตรงหน้านี้ไม่บริสุทธิ์ใจ แต่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะปู่เป็นฝ่ายเชิญเอง

มันน่าผิดหวังมากเลย!