บทที่ 378 ใครเป็นพี่น้องเจ้า

การร้องรำของคณะละครงิ้วในวังย่อมขาดความพลิ้วไหวและยั่วยวนใจ ซึ่งต่างจากคณะละครงิ้วชาวบ้าน และไม่มีความครึกครื้นอย่างคนเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน ส่วนใหญ่จะเน้นความสูงส่งสง่างาม เป็นการสื่อถึงความสูงศักดิ์ของราชวงศ์

เสียงระฆังและกลองกลบบรรยากาศที่ตึงเครียดเมื่อครู่ไปจนสิ้น

ของอร่อยในวังถูกวางเต็มหน้า อาอินชอบกินผลไม้คลุกน้ำตาลตรงหน้าเป็นพิเศษ แต่หลังจากกินไปสองคำก็หยุดกิน เพราะข้างในมีเนื้อผลไม้ที่ต้องปอกและเอาเม็ดออกก่อน นางกลัวว่าจะส่งเสียงดังเกินไป แล้วจะทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ขายหน้า

ขณะที่กำลังดึงพู่ระย้าที่แขนเสื้อไปมา ก็มีคนรับใช้ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเดินมาตรงหน้า พร้อมกับก้มลงและวางจานผลไม้คลุกน้ำตาลที่เอาเม็ดออกแล้วมาวางตรงหน้านาง

อาอินรู้สึกประหลาดใจ “ใครเป็นคนสั่งให้เอามาให้ข้า?”

คนรับใช้ผู้นั้นชี้ไปทางด้านหน้า อาอินมองตามไปก็เห็นเซียวเซวียนจิ่นที่นั่งอยู่ตรงนั้นและกำลังยิ้มให้นางอยู่

เขาเป็นตัวประกันจึงทำได้เพียงนั่งกับพวกองค์ชาย ส่วนเชลยอ้วนอย่างองค์ชายสิบก็กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ข้าง ๆ เขา

เขาเห็นอาอินมองมา จึงทำท่าทางบอกให้นางรีบกิน ไม่อย่างนั้นน้ำตาลที่เคลือบอยู่ด้านนอกจะแข็งเสียก่อน อาจทำให้ฟันแตกได้ง่าย ๆ

จี้จือฮวนกวาดตามองเล็กน้อย ก่อนจะถามเสียงเบา “อร่อยหรือไม่?”

มุมปากของอาอินยังมีเศษน้ำตาลติดอยู่ พลางพูดประจบทันที “ท่านแม่ ข้าทำผิดไปหรือไม่เจ้าคะ คนอื่นจะคิดว่าข้าตะกละหรือไม่เจ้าคะ?”

“ไม่หรอก เพราะไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะเจ้า” จี้จือฮวนเช็ดปากให้นาง

การที่เซียวเซวียนจิ่นให้คนนำของกินไปให้อาอิน ก็ตกอยู่ในสายตาของคนอื่นเช่นกัน ซูเฟยถึงกับถลึงตาใส่เขาเป็นคนแรก

ซื่อจื่อของอ๋องเจิ้นเป่ยผู้นี้ เดิมควรอยู่กับหานกุ้ยเฟย แต่หานกุ้ยเฟยตายไปแล้วก็ควรมาอยู่กับนาง แต่สุดท้ายเจ้าเด็กคนนี้กลับไปพูดกับฮ่องเต้เซี่ยเจิน บอกว่าอ๋องเจิ้นเป่ยคิดว่าฮองเฮาเหมาะสมกว่า แม้ว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินจะยังไม่มีราชโองการ แต่เขาก็เข้าไปคารวะฮองเฮาที่ตำหนักทุกวัน

สองวันก่อนฮองเฮาคัดคัมภีร์ตอนกลางคืนแล้วทรงไอออกมาสองสามครั้ง เขาก็ไปต้มยาที่สำนักหมอหลวงด้วยตัวเอง แล้วนำไปมอบให้ฮองเฮาที่ตำหนัก

ทำไม รังเกียจที่นางเป็นเพียงแค่สนม ไม่คู่ควรกับซื่อจื่ออ๋องเจิ้นเป่ยอย่างเขาอย่างนั้นหรือ? รู้จักเข้าหาผู้ที่มีอำนาจเสียด้วย เมื่อซูเฟยคิดถึงว่าวันนี้ล้วนถูกทางนั้นเรียกความสนใจไปจนหมด จึงยกยิ้มไม่ออกแม้แต่นิดเดียว

เมื่อมองไปทางฮองเฮา ตอนนี้เมื่อหลานชายกลับมาหลังก็ตั้งตรงทันที คำพูดที่นางพูดกับฮ่องเต้เซี่ยเจิน คนอื่นอาจได้ยินไม่ชัด แต่ซูเฟยที่ยืนอยู่ด้านหลังของนางกลับได้ยินอย่างชัดเจน

แม้ในใจจะเจ็บปวด แต่ก็รู้สึกนับถือนางไม่น้อย เกรงว่าคนในวังหลังที่กล้าพูดกับฮ่องเต้เซี่ยเจินเช่นนั้น คงมีเพียงหลี่หมิงอวี้คนเดียวแล้ว

สุดท้ายก็คงเป็นเพราะนางโชคดี ตอนอายุยังน้อยได้แต่งกับองค์ชายที่ไม่เป็นที่โปรดปราน แต่กลับได้เป็นถึงฮองเฮา ต่อให้ตระกูลจะสูญเสียอำนาจ สูญเสียลูกชายคนเดียวไป ตัวเองถูกขังอยู่ในตำหนักเย็น ทว่าก็ยังกลับมามีที่ยืนได้อีกครั้ง

การเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นช่างน่าโมโหจริง ๆ และเมื่อมองดูเจ้าสิบของนางที่เอาแต่กิน ๆ ๆ ๆ ไม่หัดดูซื่อจื่ออ๋องเจิ้นเป่ยเสียบ้าง ที่รู้จักไปประจบครอบครัวเผยยวนแล้ว หากเขาตั้งใจมากกว่านี้ ทำให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินชอบเขามากขึ้นอีกสักหน่อย ก็คงเป็นแรงสนับสนุนให้พี่ชายและแม่ได้ไม่ใช่หรือ

ซูเฟยยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่อยากนั่งในงานเลี้ยงต่ออีก

ตระกูลเดิมของนางยังอยากให้ลูกสาวแต่งกับเซี่ยซั่ว แต่นางคิดว่าปีนี้ทางถู่เจียมาเยือน ต้องมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นแน่ ไม่แต่งองค์หญิงออกไปให้ท่านข่าน ก็ต้องมีองค์หญิงของถู่เจียแต่งเข้ามาอย่างแน่นอน เทียบกับตระกูลเดิมของนางแล้ว นางย่อมต้องการที่จะเกี่ยวดองกับทางองค์หญิงใหญ่มากกว่า

แต่ใครจะคิดว่าฮองเฮาจะได้ประโยชน์เพราะเรื่องนี้อย่างมาก!

นางจะไม่ร้อนใจได้อย่างไรกัน!?

องค์ชายสิบที่นั่งกินอยู่ตรงที่นั่งของตัวเองไม่ได้รับรู้ถึงความร้อนใจของเสด็จแม่ตัวเองแต่อย่างใด เขาเองก็สังเกตเห็นแล้วว่าเซียวเซวียนจิ่นยุ่งวุ่นวายอยู่ตั้งนาน สุดท้ายกลับยกทั้งหมดให้กับเผยถังอิน

องค์ชายสิบจ้องเขาอยู่นาน ทันใดนั้นก็เอ่ยอย่างจริงจังขึ้นมา “เจ้าก็เป็นเชลยหรือ?”

เซียวเซวียนจิ่น “???”

เซี่ยห่วงเชิดคางขึ้น “เป็นคนต้องซื่อสัตย์ และให้ความสำคัญกับเรื่องมาก่อนมาหลังเข้าใจหรือไม่ ในเมื่อเป็นเชลยเหมือนกัน ต่อไปในวังข้าจะปกป้องเจ้าเอง”

เซียวเซวียนจิ่นเป็นตัวประกันจึงมีหลายคนในวังดูถูกเขา ตั้งใจเบียดเบียนเขาทั้งต่อหน้าและลับหลัง แต่ทุกครั้งเขาก็เลือกที่จะไม่สนใจ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะพวกเขาต่างเป็นคนของพี่อาอิน เขาจะไร้น้ำใจไม่ปกป้องเซียวเซวียนจิ่นได้อย่างไรกัน

เซียวเซวียนจิ่น “…”

เขาไม่รู้ว่าองค์ชายสิบกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่ก็ยังพยายามรักษารอยยิ้มเอาไว้

องค์ชายสิบเห็นดังนั้นแล้ว เฮ้อ เซวียนจิ่นของเราคงลำบากมามากจริง ๆ ต่อไปต้องดูแลเขาให้มากหน่อยแล้ว!

ไม่ทันไรก็มีคนมาหาเรื่องพอดี

องค์ชายสิบเอ็ดเอ่ยออกมา “คิดไม่ถึงว่าซื่อจื่ออ๋องเจิ้นเป่ยจะเป็นคนที่มองทิศทางลมเป็นด้วย ดูท่าที่ผ่านมาคงเป็นพวกเราที่ปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี จึงทำให้เจ้าอยากจะย้ายไปอยู่จวนตระกูลเผยแล้วกระมัง”

เซียวเซวียนจิ่นเอ่ยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “อืม อยากไปอยู่จริง ๆ”

วังหลวงผุ ๆ พัง ๆ นี่เขาเบื่อมานานแล้ว ใครอยากจะอยู่ก็อยู่ไปเถอะ

องค์ชายสิบเอ็ดคิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับออกมาตรง ๆ เช่นนี้! กำลังคิดจะสั่งสอนเขาสักหน่อย แต่องค์ชายสิบกลับดึงเซียวเซวียนจิ่นที่สูงกว่าตัวเองหนึ่งช่วงหัวไว้ ราวกับแม่ไก่ปกป้องลูกไก่ จากนั้นก็ตบโต๊ะและจ้องไปทางองค์ชายสิบเอ็ด ก่อนจะเอ่ยออกมา “พูดอะไรของเจ้ากันเจ้าสิบเอ็ด อยากโดนตีใช่หรือไม่?”

องค์ชายสิบเอ็ดเกิดจากนางใน เขาจึงไม่เป็นที่โปรดปรานในวัง ดังนั้นจึงทำได้เพียงรังแกเซียวเซวียนจิ่นที่มีฐานะต่ำต้อยกว่าเขา คิดไม่ถึงว่าปีศาจอย่างองค์ชายสิบจะช่วยเขาไว้

“พี่สิบ ท่านเป็นอะไรไป ปกติท่านไม่ได้สนใจเรื่องนี้นี่นา”

“เช่นนั้นเจ้าจงฟังให้ดี ข้าปกป้องเขาอยู่”

ท่านอาเสี่ยวลิ่วจื่อบอกว่าพี่น้องกลุ่มกองเรือของพวกเขา จะซ้ายหรือขวาแต่ละคนล้วนมีรอยสักที่แขน เพียงชูแขนขึ้นบรรดาพี่น้องก็จะมารวมตัวกัน ต่อไปเขาก็จะมีพี่น้องเช่นนี้บ้าง

ซูเฟยเห็นลูกชายตัวเองกำลังทะเลาะอะไรบางอย่างกับเจ้าสิบเอ็ดอยู่ จึงให้คนไปเรียกองค์ชายสิบมา

เซี่ยห่วงกำลังด่าอย่างสนุกปาก ก็ได้ยินนางกำนัลบอกว่าเสด็จแม่เรียกตัวเขา จึงเอ่ยด้วยความโมโหออกมา “เจ้ารอก่อน แล้วข้าจะกลับมาสั่งสอนเจ้าต่อ”

องค์ชายสิบเอ็ดน้อยใจแต่ไม่กล้าพูด ได้แต่ถลึงตาและเอ่ยกับเซียวเซวียนจิ่น “เจ้าเข้าใจหาคนหนุนหลังจริง ๆ”

เซียวเซวียนจิ่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร “???”

เซี่ยห่วงเข้ามา ซูเฟยก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ “เมื่อครู่เจ้าทำอะไรกัน?”

เซี่ยห่วงจึงตอบอย่างเป็นหลักเป็นการออกมา “เจ้าสิบเอ็ดรังแกพี่น้องของข้า”

“พี่น้องเจ้าคนใด?”

“เซียวเซวียนจิ่นอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

ซูเฟยเกือบพ่นน้ำลายออกมา หากว่าที่นี่ไม่ใช่งานเลี้ยง รับรองว่าเขาต้องโดนตีอย่างแน่นอน “เจ้าเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร ซื่อจื่ออ๋องเจิ้นเป่ยนับเป็นพี่น้องฝ่ายใดของเจ้ากัน เจ้าสิบเอ็ดต่างหากที่เป็นพี่น้องของเจ้า”

เซี่ยห่วงเบิกตากว้าง “เสด็จแม่เปลี่ยนไป เมื่อก่อนท่านไม่ได้พูดเช่นนี้ เมื่อก่อนท่านมักจะบอกว่าแม่ของเจ้าสิบเอ็ดเป็นแค่คนรับใช้ชั้นต่ำคนหนึ่ง ที่โชคดีตั้งครรภ์ขึ้นมาเท่านั้น จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเหม่ยเหริน”

“ชิ เจ้าเถียงข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าสิบเอ็ดต่อให้จะไม่ดี แต่ก็เป็นลูกของเสด็จพ่อของเจ้า มีสายเลือดเดียวกันกับเจ้า เซียวเซวียนจิ่นแซ่เซียว เหตุใดเจ้าถึงชอบเข้าข้างคนนอกกันฮะ?”

ซูเฟยใกล้จะโมโหจนตายเพราะเจ้าลูกโง่คนนี้แล้วจริง ๆ

เซี่ยห่วงไม่พอใจขึ้นมาแล้ว “ใครเข้าข้างคนนอกกัน พูดไปท่านก็ไม่เข้าใจ!”

ซูเฟยกำลังคิดที่จะดึงหูเขาแล้วด่าอีกสักรอบ ทว่ากลับได้ยินไท่ซ่างหวงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “เจ้าสิบ มาหาปู่มา”

ไท่ซ่างหวงไม่ชอบความใจแคบของซูเฟย เจ้าสิบถูกนางเลี้ยงจนกลายเป็นคนเช่นนี้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นแม่ลูกควรอยู่ห่างกันหน่อยจะดีกว่า

เซี่ยห่วงแทบจะรอไม่ไหว เทียบกับเสด็จแม่แล้ว เสด็จปู่ที่แค่สั่งให้เขาเรียนหนังสือย่อมดีกว่า