บทที่ 379 พาเจ้าสิบไป

เซี่ยห่วงร่าเริงขึ้นมาทันที รีบวิ่งจากตรงหน้าเสด็จพ่อเสด็จแม่ของตัวเองไปหาไท่ซ่างหวงอย่างรวดเร็ว “ถวายบังคมเสด็จปู่พ่ะย่ะค่ะ”

อืม เจ้าดูสิ ได้รับการสั่งสอนจากหมู่บ้านตระกูลเฉินไม่กี่วันก็มีมารยาทขึ้นมากทีเดียว

ไท่ซ่างหวงมองหน้าเขาแล้วเอ่ยขึ้นมา “ช่วงนี้กลับมาวังหลวงรู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง?”

ครั้งก่อนตอนอยู่ตำหนักไท่จี๋เขาห่วงแต่เล่น ไท่ซ่างหวงจึงไม่ได้ถาม

เซี่ยห่วงตอบโดยไม่ต้องคิด “โรงเรียนอนุบาลย่อมสนุกกว่าอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เรียนหนังสือคนเดียวน่าเบื่อจะตายไป คำพูดของพวกมหาบัณฑิตทำให้คนอยากจะหลับ ทั้งห้องเรียนก็มีแค่ไม่กี่คน ไม่สนุกเลยสักนิด”

ไหนเลยจะเหมือนหมู่บ้านตระกูลเฉินที่มีวิชาเรียนตามความสนใจด้วย เขาอยากเรียนทุกอย่างเลย ครั้งก่อนเขาเรียนสานตั๊กแตนและการตัดกระดาษกับอาฮวา เขายังทำไม่เป็นเลย

กลับมาเขายังเล่าให้เสด็จแม่ฟังอย่างดีอกดีใจ แต่เสด็จแม่กลับบอกว่าของชั้นต่ำเช่นนั้น ใช่สิ่งที่องค์ชายอย่างเขาควรเรียนที่ใดกัน อีกทั้งยังสั่งให้เขาเรียนวิธีปกครองบ้านเมืองอะไรนั่นอีกก็ไม่รู้

แต่ที่โรงเรียนอนุบาลกลับสอนเขาว่า นี่คือการปลูกฝังความสามารถในการลงมือปฏิบัติ เขาเองก็คิดว่าดีจะตายไป ไม่ใช่ทุกคนจะสนใจเรื่องนี้เสียหน่อย

แม้แต่ท่านแม่ของพี่อาอินก็ยังบอกด้วยว่า แต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน

เขาถนัดเล่นนี่นา เป็นท่านอ๋องที่อยู่ว่าง ๆ ไม่ดีหรืออย่างไร เรื่องปกครองบ้านเมืองอะไรนั่น ยังมีพี่ชายท่านอื่นอยู่ไม่ใช่หรือ ไม่มีใครบอกว่าภายภาคหน้าเขาจะได้เป็นฮ่องเต้นี่นา

ไท่ซ่างหวงเอ่ยเสียงเบาขึ้นมา “เช่นนั้นเจ้าตอบปู่มา ต่อไปยินดีจะติดตามปู่หรือไม่ ไปพักที่ตำหนักไท่จี๋ รอปู่กลับหมู่บ้านตระกูลเฉินจะพาเจ้ากลับไปด้วย”

เซี่ยห่วงดวงตาเป็นประกาย “จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ไท่ซ่างหวงจึงเอ่ยขึ้นมาอีก “แต่ปู่ขอบอกเจ้าเอาไว้ก่อน ในเมื่อติดตามปู่แล้ว ก็ต้องเรียนรู้อย่างคนมีความรู้ ห้ามร้องว่าลำบากหรือร้องว่าเหนื่อยเด็ดขาด เจ้าจะเล่นก็ย่อมได้ แต่ต้องเรียนในสิ่งที่ปู่ต้องการให้เจ้าเรียนก่อน เจ้าถึงจะไปเล่นได้ และไม่มีใครห้ามเจ้า เจ้าสิบ การตัดสินใจนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”

แม้ตอนที่อยู่หมู่บ้านตระกูลเฉินจะเหนื่อยมาก ทั้งต้องวิ่ง ต้องขึ้นเขา ทั้งยังต้องแย่งของกับเด็กพวกนั้น ไม่เหมือนในวังที่ขันทีนางกำนัลต่างก็ยอมเขาทุกอย่าง

แต่เซี่ยห่วงก็ยังพยักหน้ารับ “ข้าจะอยู่กับเสด็จปู่พ่ะย่ะค่ะ”

“ตกลง” ไท่ซ่างหวงตบบ่าของเขาเบา ๆ

บรรดาพระสนมต่างก็มองไปที่ซูเฟย เห็นซูเฟยมีสีหน้าได้ใจก็นึกดูแคลนขึ้นมา นับว่าเป็นคนที่ฉลาดไม่เบา ลูกคนนี้ตอนนี้เพิ่งจะโตได้ไม่เท่าไร ก็ประจบไท่ซ่างหวงเป็นแล้ว

ซูเฟยจึงรู้สึกพอใจอย่างมาก ดูท่าก่อนหน้านี้ที่ให้เซี่ยห่วงเดินไปเดินมาตรงพระพักตร์ไท่ซ่างหวง ก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว

“ฮ่องเต้” ไท่ซ่างหวงจู่ ๆ ก็ส่งเสียงเรียกขึ้นมา ซูเฟยเองก็มองไปทางเขาด้วยความตื่นเต้น

“เสด็จพ่อเชิญกล่าวมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้เซี่ยเจินกลัวว่าไท่ซ่างหวงจะขอรางวัลให้จี้จือฮวนอีก

“ข้าเห็นว่าเจ้าสิบของเจ้าเป็นเด็กฉลาดที่สอนได้ ข้าชอบเด็กคนนี้มาก”

รอยยิ้มบนใบหน้าของซูเฟยแทบจะปกปิดเอาไว้ไม่อยู่ นางจึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยออกมา “เจ้าสิบได้รับคำชมจากไท่ซ่างหวง นับเป็นบุญของเด็กคนนี้แล้วเพคะ”

ไท่ซ่างหวงขี้เกียจจะมองหน้านาง ฮ่องเต้เซี่ยเจินเองก็ได้สติคืนมา ดูท่าครั้งนี้จะไม่เกี่ยวกับครอบครัวจี้จือฮวนแล้ว เจ้าสิบแม้จะไม่เอาไหน แต่อย่างไรเสียก็เป็นลูกชายของเขา สีหน้าฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงดูดีขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มออกมา “เด็กคนนี้เป็นคนซื่อ ๆ ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ ก็เหมือนที่ซูเฟยบอก เป็นบุญของเขาแล้ว และเป็นเพราะซูเฟยเลี้ยงดูมาได้ดีพ่ะย่ะค่ะ”

ซูเฟยมีความสุขอย่างมาก แม้แต่เซี่ยซั่วก็รู้สึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าน้องชายคนนี้ของตัวเองจะสามารถช่วยหนุนเขาได้ด้วย

ไท่ซ่างหวงไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเซี่ยเจิน จึงพูดด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีเท่าใดนัก “ตำหนักไท่จี๋ของข้า อย่างไรก็ดูร้างและเงียบเหงาไปสักหน่อย”

ภายในตำหนักที่เดิมมีเสียงเครื่องดนตรีดังไม่ขาดสาย เหล่าข้าราชบริพารก็เริ่มผ่อนคลายกันแล้ว ฮ่องเต้เซี่ยเจินกลัวว่าเหล่าขุนนางที่คอยตักเตือนเหล่านั้นจะได้ยินเข้า จึงรีบเอ่ยขึ้นมา “หากเสด็จพ่อรู้สึกว่าตำหนักไท่จี๋โดดเดี่ยวและเงียบเหงา ไม่สู้ย้ายกลับมาเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่ซ่างหวงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “ข้าลงจากตำแหน่งแล้ว จะกลับไปทำไมกัน ไปให้ขวางหูขวางตาเจ้าหรืออย่างไร?

ข้าว่าเจ้าสิบนิสัยดีไม่น้อย ไม่สู้ให้ข้าเลี้ยงเด็กคนนี้จะดีกว่า”

นี่เป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงคิดที่จะตอบตกลงทันที แต่ซูเฟยกลับดึงแขนเสื้อของเขาเอาไว้ทันที ไท่ซ่างหวงจะเอาเจ้าสิบไปอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นนานเพียงใดเจ้าสิบถึงจะได้กลับมาสักครั้ง สิ่งที่สนมในวังกลัวมากที่สุดก็คือลูกที่ตัวเองคลอดออกมาต้องถูกพรากไป ภายหน้าก็คงไม่สนิทสนมกันอีกแล้ว

ไท่ซ่างหวงมองไม่ผิด ซูเฟยเป็นคนเห็นแก่ตัว ต้องการให้เขาดูแลเจ้าสิบ แต่ก็ไม่อยากให้ลูกแยกจากตัวเอง ต้องการควบคุมเขาไว้ในมือ ในราชวงศ์มีเรื่องที่ได้เปรียบเช่นนี้ที่ใดกัน?

อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ต้องการเด็กคนนี้มากขนาดนั้น หากไม่ใช่เพราะว่าเห็นเด็กคนนี้นิสัยไม่เลวและยังดึงกลับมาได้อยู่ เพราะอย่างไรเสียเด็กคนนี้ก็เป็นหลานชายของเขา ไม่อย่างนั้นต่อให้ซูเฟยมาขอร้องอ้อนวอนตรงหน้า เขาก็ไม่คิดที่จะสนใจเด็กคนนี้

“ทำไม พวกเจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ?”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินรีบเอ่ยขึ้นมาทันที “นี่เป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก ลูกจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ ลูกไร้ความสามารถ ไม่สามารถปรนนิบัติเสด็จพ่อให้ดีได้ เจ้าสิบ ต่อไปเจ้าอยู่ข้างกายเสด็จปู่ต้องคอยปรนนิบัติทุกเช้าเย็นห้ามลืมเด็ดขาด และต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียนด้วย เข้าใจหรือไม่?”

องค์ชายสิบพยักหน้ารับคำ ไก่หมู่บ้านตระกูลเฉินขันก็ต้องตื่นแล้ว เขารู้!

เพราะจะมีเวลาเหลือไปเล่นกระดานลื่นได้อีกด้วย

“ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เขาจะเก็บของตั้งแต่คืนนี้เลย ฮี่ ฮี่~

ซูเฟยกัดฟันพลางจ้องเจ้าเด็กตัวแสบ ดวงตาทั้งสองข้างพลันแดงเรื่อ

ฮ่องเต้เซี่ยเจินเห็นท่าทางของนาง ก็ตะคอกเบา ๆ ออกมา “ร้องอะไร อัปมงคลจริง ๆ”

คราวนี้ซูเฟยไหนเลยจะยังกล้าร้องไห้อีก เมื่อกลับไปที่นั่งก็ยิ้มไม่ออกอีก นางต้องเตรียมคนอีกสักสองสามคนตามไปตำหนักไท่จี๋ด้วยถึงจะดี

องค์ชายสิบจู่ ๆ ได้รับความโปรดปรานจากไท่ซ่างหวง ต่อไปหากได้รับการเลี้ยงดูจากไท่ซ่างหวง เหล่าข้าราชบริพารย่อมแสดงความยินดี ชมเชยว่าราชวงศ์มีความรักใคร่กลมเกลียว องค์ชายสิบช่างมีบุญจริง ๆ

สิ่งนี้ทำให้องค์ชายสิบเอ็ดอิจฉาเป็นอย่างมาก แต่ตัวเองมีแม่ต่ำต้อย แม้แต่ที่นั่งก็ยังต้องนั่งกับตัวประกัน ในใจก็ยิ่งรู้สึกริษยา

เขายังไม่สามารถเอาความคับแค้นใจไปลงกับคนอื่นได้ ทำได้เพียงไปลงกับเซียวเซวียนจิ่นเท่านั้น

“พี่สิบช่างมีบุญจริง ๆ แต่เจ้าอย่าได้คิดเด็ดขาด เพราะเจ้าก็แค่ตัวประกันคนหนึ่ง เจ้าไม่ยอมไปอยู่กับซูเฟย สนมองค์อื่นก็ย่อมไม่มีสิทธิ์จะเลี้ยงดูเจ้าได้ ไม่มีคนคอยคุ้มครอง ชีวิตภายหน้าของเจ้าคงลำบากเสียแล้ว”

เซียวเซวียนจิ่นกลับไม่คิดเช่นนั้น เดิมเขาก็ไม่คิดจะให้สนมองค์ใดเลี้ยงดูเขาอยู่แล้ว อีกสองปีเขาก็ไม่เหมาะที่จะอยู่ในวังอีกแล้ว ต้องออกไปอยู่นอกวัง ถึงเวลานั้นยังต้องคิดหาวิธีเข้าไปอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉินอีก

แต่เรื่องเดียวที่เขาไม่วางใจก็คือ ท่านย่าของว่าที่พี่ภรรยา

หลี่ฮองเฮาอยู่ในวัง ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ไม่ชอบนาง คนที่ต้องการลอบทำร้ายก็มีไม่น้อย บัดนี้เพิ่งจะปลอดภัยได้ไม่กี่วัน ก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะติดกับของคนอื่นเข้า…

ขณะที่เซียวเซวียนจิ่นกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินหลี่ฮองเฮาจู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา “ยินดีกับเสด็จพ่อด้วยเพคะ ความจริงแล้วหม่อมฉันก็อยากทำอย่างเสด็จพ่อบ้าง”

ท่าทีของไท่ซ่างหวงที่มีต่อหลี่ฮองเฮานั้นอ่อนโยนเป็นอย่างมาก “หืม? เจ้าถูกใจเด็กตำหนักใดอย่างนั้นหรือ”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงถลึงตาใส่หลี่ฮองเฮาอย่างดุดัน ก่อนจะได้ยินนางเอ่ยขึ้นมา “ไม่ใช่องค์ชายหรือองค์หญิงหรอกเพคะ หม่อมฉันป่วยมานานไม่ชอบไปไหนมาไหน แต่ซื่อจื่อของอ๋องเจิ้นเป่ยกลับมีวาสนากับหม่อมฉัน เด็กคนนี้เดินทางมาไกล ในวังก็ไม่มีคนคอยดูแล เพื่อให้อ๋องเจิ้นเป่ยสามีภรรยาสบายใจ ให้หม่อมฉันเลี้ยงดู หม่อมฉันคิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้วเพคะ”

“ฮองเฮา เรื่องนี้ข้าว่า…” ฮ่องเต้เซี่ยเจินคิดจะขัดคำพูดของหลี่ฮองเฮา

“ข้าว่าดีทีเดียว เด็กคนนั้นข้าเห็นแล้วก็นึกชอบเช่นกัน น้องสิบแปด หากรู้สึกว่าการที่ฮองเฮาเลี้ยงดูเด็กคนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เช่นนั้นให้ข้าพาเขาไปเถอะ” องค์หญิงใหญ่เอ่ยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม

ฮ่องเต้เซี่ยเจินถึงกับสะอึกขึ้นมาทันที หากให้เจ้าพาไปไม่สู้ยกให้ฮองเฮายังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยก็อยู่ในสายตา

แล้วก็จริงตามนั้น เพราะครั้งนี้เขาไม่ได้พูดอะไรอีก

ฮองเฮาจึงลุกขึ้นยืน “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ อีกเดี๋ยวหม่อมฉันจะให้ซู่ซินเก็บกวาดเรือนด้านข้างให้เรียบร้อยเพคะ”

เซียวเซวียนจิ่นมีความคิดผุดขึ้นมา จึงลุกขึ้นไปขอบพระทัยกลางท้องพระโรง เมื่อกลับมานั่งอีกครั้ง องค์ชายสิบเอ็ดก็เกือบจะคว่ำโต๊ะเลยทีเดียว

.

.

.

———————-