บทที่ 308 ดีขึ้นเรื่อย ๆ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 308 ดีขึ้นเรื่อย ๆ

บทที่ 308 ดีขึ้นเรื่อย ๆ

ป้าจางและคนอื่น ๆ ที่ได้รู้เรื่องนี้ต่างพากันก่นด่าซุนซีเอ๋อร์ว่าเป็นคนไร้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และพวกเขาก็รู้สึกยินดีไปกับกู้เสี่ยวหวานด้วย

เรื่องนี้จบลงด้วยความพึงพอใจของกู้เสี่ยวหวาน

ครอบครัวของกู้ฉวนลู่หายหน้าไปเป็นเวลานาน จนกระทั่งซุนซีเอ๋อร์ออกมาจากคุก นางหมกตัวอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหน เพราะกลัวว่าจะมีคนชี้นิ้วนินทาตนเอง

และพวกเขาก็ไม่กล้ามาสร้างปัญหาให้กู้เสี่ยวหวานในช่วงเวลานี้

ชีวิตของกู้เสี่ยวหวานในช่วงนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย

ออกไปจับปลากับฉินเย่จือทุกวัน และปลาทั้งหมดที่จับมาได้ก็นำไปขายที่ร้านจิ่นฝู

เพราะปลาพวกนี้โตมาภายใต้น้ำตก เนื้อสัมผัสจึงนุ่มเด้งและมีรสชาติที่กลมกล่อม กู้เสี่ยวหวานมีวิธีจัดการกับปลามากมาย เช่น น้ำแกงเต้าหู้หัวปลา เนื้อปลาผัดซอส ปลาน้ำแดง สูตรอาหารเหล่านี้ถูกถ่ายทอดให้หลี่ฝาน และหลี่ฝานจึงออกอาหารจานใหม่ทุกสามถึงห้าวัน ในร้านจึงมีลูกค้ามาอุดหนุนอย่างไม่ขาดสาย และรายได้ต่อวันก็เพิ่มสูงขึ้น

หลี่ฝานดีใจมาก เมื่อเขาเห็นหน้ากู้เสี่ยวหวานทีไรเขาก็จะเรียกนางอย่างติดตลกว่าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ กิจการร้านดีมากขึ้นเรื่อย ๆ และรายได้ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน หลี่ฝานดีใจมากจึงเพิ่มเงินให้ลูกจ้างภายในร้านทุกคน คนละสามตำลึงเงิน และกู้เสี่ยวหวานเพิ่มสูงสุดถึงสิบห้าตำลึงเงินต่อเดือน

เงินในกระเป๋าของกู้เสี่ยวหวานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่านางก็มีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน

หลังจากกู้หนิงอันกลับมาบ้าน เขาก็ได้รู้ว่าฉินเย่จืออยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ปิดบังกู้หนิงอันอีกต่อไป นางบอกเขาไปว่าตนเองได้ช่วยชีวิตอีกฝ่ายมาจากน้ำตกบนภูเขา และหลังจากนั้นเขาก็ได้ช่วยชีวิตนางจากเงื้อมมือของเหมียวเอ้อร์เช่นกัน

เมื่อกู้หนิงอันได้ยินว่าฉินเย่จือรู้จักศิลปะการต่อสู้ ถ้าเขาอยู่ที่บ้านก็คงจะสามารถปกป้องทุกคนในบ้านได้ เช่นนั้นจึงได้วางใจ

ทุกเช้า ฉินเย่จือจะตื่นขึ้นมาฝึกฝนพร้อมกับกู้หนิงผิง หลังจากที่ตามฉินเย่จือไปตักน้ำและหาฝืน ร่างกายของเขาก็คล่องแคล่วขึ้นทุกวัน

กู้เสี่ยวหวานเห็นด้วยตาของนางแล้ว เมื่อเห็นว่ากู้หนิงผิงมีความสุขในทุกวัน นางก็ราวกับรู้แล้วว่าเขาชอบอะไร

ในวันหนึ่งที่กู้หนิงผิงไม่อยู่บ้าน กู้เสี่ยวหวานจึงแอบถามฉินเย่จือว่า “เจ้าก็เห็นแล้วใช่ไหมว่าน้องชายของข้าชอบฝึกศิลปะการต่อสู้ ไม่ทราบว่าเจ้าจะรับเขาเป็นศิษย์และสอนศิลปะการต่อสู้ให้เขาได้หรือไม่”

ฉินเย่จือตอบโดยไม่ต้องคิด “ได้! แต่การเรียนศิลปะการต่อสู้นั้นยากลำบาก ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี”

กู้เสี่ยวหวานนำคำพูดนี้ไปบอกกู้หนิงผิง เมื่อได้ยินเขาก็กระโดดอย่างตื่นเต้น เขารอให้พี่สาวมาพูดเรื่องนี้นานแล้ว แม้ว่าฉินเย่จือจะเป็นอาจารย์ของเขาแล้ว แต่เขาไม่เคยบอกเรื่องนี้กับพี่สาวเลย เพราะกลัวว่าพี่สาวจะไม่เห็นด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าฝึกฝนกับฉินเย่จืออย่างโจ่งแจ้งที่บ้าน ทำได้เพียงแอบไปฝึกฝนบนเขาอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น

ตั้งแต่กู้เสี่ยวหวานขอให้ฉินเย่จือเป็นอาจารย์ให้กู้หนิงผิง กู้หนิงผิงก็ฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งมากขึ้น ก่อนรุ่งสาง เขาจะลุกขึ้นและออกไปข้างนอกเพื่อฝึกฝน เมื่อผ่านไปสักพักก็ผลลัพธ์ก็ออกมาดีมาก

ทางด้านกู้เสี่ยวอี้ หลังจากที่เรียนปักผ้ามาจากพี่ฝูระยะหนึ่งแล้วและเพิ่มความพยายามอย่างมากของนางเข้าไป ฝีมือของนางก็มีระดับมากขึ้นไปอีก ลวดลายที่ปักก็มีความสมจริงมากขึ้น ราวกับเป็นสตรีที่เรียนรู้การปักมาหลายปีแล้ว

พี่ฝูเองก็ขอให้กู้เสี่ยวอี้ปักผ้าเช็ดหน้า ไม่เพียงแต่นางจะได้ฝึกฝีมือเท่านั้น แต่ยังสามารถทำเงินได้อีกด้วย

กู้เสี่ยวหวานที่เห็นกู้เสี่ยวอี้ปักผ้ารูปดอกท้อและดอกบัวขาวมาทั้งวัน จนแม้แต่ตนเองก็ไม่อยากจะเห็นมันแล้ว รูปแบบการปักเหล่านี้ไม่มีอะไรใหม่อยู่แล้ว หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานคิดมาหลายคืน นางก็วาดตัวการ์ตูนน่ารัก เช่น กระต่ายตัวน้อยและลูกสุนัขเพื่อให้กู้เสี่ยวอี้ฝึกปักผ้าเป็นลายใหม่

เมื่อกู้เสี่ยวอี้ได้เห็นลายปักครั้งแรก นางก็ชอบมันจนวางไม่ลง เมื่อปักทั้งหมดเสร็จ กู้เสี่ยวอี้ก็เก็บไว้กับตัวเองหนึ่งผืนเพราะชอบมันมาก ส่วนที่เหลือทั้งหมดก็นำไปให้พี่ฝูขาย เมื่อพี่ฝูได้เห็นครั้งแรกก็ตกตะลึงอ้าปากค้างเป็นเวลานาน ตัวการ์ตูนน่ารักเช่นนี้นางไม่เคยเห็นมาก่อน มันน่ารักมากเกินไปแล้ว

“สาวน้อยเสี่ยวหวาน ผ้าเช็ดหน้าพวกนี้จะขายดีอย่างแน่นอน!” เมื่อพี่ฝูรับไป นางก็เก็บไว้กับตัวสองสามผืนเพราะจะนำไปให้ลูกสาว และหลังจากวางขาย มันก็ขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่นาน

ภายในร้านมีหญิงสาววัยรุ่นอยู่จำนวนหนึ่ง เมื่อพวกนางเห็นผ้าเช็ดหน้าพวกนี้ก็ชื่นชอบ และซื้อกลับไปคนละสองถึงสามผืน เพียงไม่นานผ้าเช็ดหน้าก็ขายหมด นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน!

กู้เสี่ยวหวานไม่คาดคิดมาก่อนว่าตัวการ์ตูนที่ตนเองวาดออกมาจะเป็นที่นิยมเช่นนี้ พี่ฝูก็ไม่คาดคิดเช่นกัน ดังนั้นนางจึงขอให้กู้เสี่ยวอี้ปักเพิ่มอีก ผ้าเช็ดหน้าแต่ละผืนขายได้มากกว่าผืนละสามตำลึงเงิน และผ้าเช็ดหน้าลายสัตว์พวกนี้ก็ได้รับความนิยมไปในช่วงเวลาหนึ่ง

เมื่อเห็นว่าชีวิตในทุกวันนี้ดีขึ้นทุกวัน และแต่ละวันก็ผ่านไปอย่างรุ่งโรจน์ ฝีมือของกู้เสี่ยวอี้ก็มีระดับมากขึ้น กู้หนิงผิงที่ตามฉินเย่จืออยู่ทุกวันก็ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสการฝึกฝนผ่านไป แม้ว่าแต่ละวันจะผ่านไปอย่างยากลำบาก แต่กู้หนิงผิงก็มีความสุขมาก กู้เสี่ยวหวานก็มีความสุขมากเช่นกัน

เมื่อฉินเย่จือเห็นเช่นนั้นก็มีความสุขมากไม่ต่างกัน

กู้เสี่ยวหวานรู้โดยธรรมชาติว่าทำไมผ้าเช็ดหน้าปักลายสัตว์พวกนั้นถึงได้รับความนิยมมาก นั่นเป็นเพราะในช่วงเวลานี้ทุกคนไม่เคยเห็นอะไรที่แปลกใหม่ ผ้าเช็ดหน้าก็ยังเป็นผ้าเช็ดหน้าเช่นเดิม แต่เมื่อมีลายที่เปลี่ยนไป ก็ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกที่เปลี่ยนไปเช่นกัน

กู้เสี่ยวหวานได้กลิ่นถึงโอกาสทางการค้า ในยุคนี้เด็ก ๆ ไม่มีของเล่น แล้วถ้านางทำตุ๊กตาน่ารัก ๆ มาขายล่ะ จะมียอดขายถล่มทลายหรือไม่?

เดิมทีกู้เสี่ยวหวานมีนิสัยพูดอะไรก็ทำเช่นนั้น นางจึงไปที่ร้านขายผ้าจี๋เสียงเพื่อซื้อผ้าไหม ตุ๊กตาต้องมีไส้ข้างใน แต่ในเวลานี้ไม่มีทั้งขนเป็ดและขนห่าน จึงทำได้เพียงต้องซื้อใยฝ้ายราคาแพงเท่านั้น

แม้ว่าจะต้องเพิ่มเงินเล็กน้อย แต่กู้เสี่ยวหวานก็คิดว่ามันคุ้มค่า เมื่อพี่ฝูเห็นท่าทางลึกลับของกู้เสี่ยวหวานจึงถามว่านางมีความคิดดี ๆ อะไรกันแน่

กู้เสี่ยวหวานเอาแต่ยิ้มและไม่กล่าวอะไร เพียงแค่กล่าวว่าเมื่อถึงเวลานั้น พี่ฝูจะทำเงินได้อย่างแน่นอน พี่ฝูมีความสุขมาก ครั้งที่แล้วผ้าเช็ดหน้าเหล่านั้นที่กู้เสี่ยวอี้ปักมา ก็เป็นกู้เสี่ยวหวานที่ออกแบบลาย พี่ฝูจึงอยากรู้เร็ว ๆ ว่ากู้เสี่ยวหวานจะทำอะไรกันแน่

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงผ้าเช็ดหน้าธรรมดา แต่ราคาก็เพิ่มสูงกว่าผ้าเช็ดหน้าแบบเดิมหลายเท่า และผู้คนก็เข้ามาซื้อมันอย่างไม่ขาดสาย ในท้ายที่สุด กู้เสี่ยวอี้ก็ไม่สามารถทำอยู่คนเดียวได้จึงต้องให้ผู้อื่นมาเรียนรู้การปักเพื่อช่วยนาง แต่ราคาก็ลดลง หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าไม่สามารถทำเงินได้แล้ว นางก็ไม่ขอให้กู้เสี่ยวอี้ปักอีกต่อไป

เพียงให้นางจดจ่อกับการเรียนรู้งานฝีมือแทน