บทที่ 309 ทำตุ๊กตา
บทที่ 309 ทำตุ๊กตา
คราวนี้เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานมีความคิดดี ๆ ขึ้นมา พี่ฝูก็รู้สึกดีใจมาก ทุกสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานซื้อ พี่ฝูจึงขายให้ในราคาต้นทุน เมื่อกลับถึงบ้านกู้เสี่ยวหวานก็เริ่มออกแบบตุ๊กตา ฉินเย่จือที่อยู่ด้านข้างเห็นกู้เสี่ยวหวานวาดรูปตุ๊กตา แต่เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน รูปแบบตุ๊กตาพวกนี้ทั้งน่ารักและเป็นรูปแบบใหม่ ดูแล้วมันช่างน่ารักมาก
จนกระทั่งกู้เสี่ยวอี้ได้ทำมันออกมา ทุกคนจึงเข้าใจได้ว่าตุ๊กตาคืออะไร ฝีมือของกู้เสี่ยวอี้นั้นน่าทึ่ง ประกอบกับการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของกู้เสี่ยวหวาน ตุ๊กตาที่ทำออกมาจึงมีความประณีตและเป็นเอกลักษณ์ มันน่ารักเสียจนกู้เสี่ยวอี้วางไม่ลง
“ท่านพี่ ตุ๊กตาตัวนี้น่ารักเสียจริง!” กู้เสี่ยวอี้กอดตุ๊กตาไว้ไม่ยอมปล่อย น่ารักเสียจนนางไม่อยากขายมันเลย
กู้เสี่ยวหวานยิ้ม ส่วนกู้หนิงผิงที่อยู่ด้านข้างก็ได้แต่มองตาปริบ ๆ
ตุ๊กตาตัวแรกที่กู้เสี่ยวอี้ทำออกมาคือตุ๊กตาหมีขาว
ด้วยรูปแบบเช่นนี้ ไม่ว่าทั้งผู้ชายหรือผู้หญิงก็ล้วนชอบทั้งนั้น กู้หนิงผิงที่มองมันอยู่นั้นก็เอื้อมมือไปลูบตุ๊กตาในอ้อมแขนของกู้เสี่ยวอี้เป็นครั้งคราว แต่เมื่อเห็นกู้เสี่ยวอี้กอดมันแน่นราวกับไม่อยากจะให้เขาเล่นมัน เขาก็มองไปที่กู้เสี่ยวหวานและกล่าวว่า “ท่านพี่ ข้าก็อยากได้มันบ้าง”
เดิมทีกู้เสี่ยวอี้จะแบ่งปันของทุกอย่างกับกู้หนิงผิง แต่ในครั้งนี้นางกลับให้กู้หนิงผิงสัมผัสเพียงเท่านั้น เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นท่าทีเช่นนี้ จึงพึงพอใจเป็นอย่างมาก ถ้าสิ่งนี้ออกสู่ตลาดจะเป็นที่นิยมมากกว่าผ้าเช็ดหน้าลายสัตว์อย่างแน่นอน
แม้แต่ผู้รอบรู้เช่นฉินเย่จือก็ไม่เคยเห็นตุ๊กตาที่น่ารักเช่นนี้มาก่อน เขาจึงมองมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความสนใจ แม้แต่ชายร่างใหญ่อย่างเขาก็ยังรู้สึกประทับใจ ไม่ต้องพูดถึงเด็กคนอื่นเลย
เมื่อเห็นว่าทุกคนชอบตุ๊กตาตัวนี้ก็รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น
กู้เสี่ยวหวานและกู้เสี่ยวอี้ช่วยกันทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน ในที่สุดผ้าไหมและใยฝ้ายที่ซื้อมาก็หมดภายในสามวัน ทั้งหมดนี้สามารถทำตุ๊กตาได้สิบห้าตัว มีทั้งเฮลโลคิตตี หมีขาว และโดราเอมอน สามรูปแบบ แบบละห้าตัว
เนื่องจากตุ๊กตาพวกนี้ต้องใช้พื้นที่มาก เกรงว่าคงถือไปไม่หมด ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงไปที่บ้านป้าจางเพื่อยืมเกวียนวัว
เช้าตรู่วันต่อมา กู้หนิงผิงและฉินเย่จือก็ขับเกวียนวัวที่บรรทุกห่อผ้าขนาดใหญ่ห้าถุงไปในเมือง
กู้เสี่ยวหวานและกู้เสี่ยวอี้นั่งอยู่ด้านหลังของเกวียนวัว ส่วนผู้ชายสองคนก็ขับเกวียนวัวอยู่ข้างหน้า ทั้งสี่นั่งเกวียนไปด้วยกัน ทั้งพูดคุยทั้งหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“ท่านพี่ บ้านพวกเราไม่มีเกวียนวัวนี่ช่างลำบากเสียจริง!” กู้หนิงผิงที่ช่วงนี้ตามฉินเย่จือไปฝึกฝนอยู่เสมอ ร่างกายของเขาจึงมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย เรี่ยวแรงก็เพิ่มมากขึ้น การขับเกวียนก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
“เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาพวกเราก็ไปซื้อเกวียนกันเถอะ ในเวลาที่ทำเกษตรวัวก็สามารถทำประโยชน์ได้ ส่วนในเวลาว่างวัวก็สามารถนำมาเทียมเกวียนได้ ฆ่านกสองตัวด้วยหินเพียงก้อนเดียว!” กู้เสี่ยวหวานหัวเราะ
เดิมที่ฉินเย่จือจะบอกให้กู้เสี่ยวหวานซื้อรถม้าเพราะรถม้ามีความเร็วมากกว่า แต่เมื่อคิดอีกทีตอนนี้พวกเขายังไม่ต้องการรถม้า การซื้อม้ามาก็เท่ากับเป็นการสิ้นเปลืองเงิน นอกจากนี้กู้เสี่ยวหวานยังต้องเสียเงินซื้อรถอีก ตัวเขาเองก็ไม่สามารถออกเงินช่วยนางได้สักตำลึงเงิน เมื่อคิดเช่นนั้นเขาก็พยักหน้า “ใช่แล้ว ซื้อเกวียนวัวเถอะ!”
อาโม่ที่อยู่ภายใต้เงามืดก็หัวเราะออกมา นายน้อยที่กำลังขับเกวียนวัว ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง
ฉินเย่จือที่ได้ยินเสียงหัวเราของอาโม่ก็กระแอมขึ้นมา กู้เสี่ยวหวานจึงมองเขาอย่างประหลาดใจ ฉินเย่จือจึงรีบกระแอมขึ้นมาอีกครั้ง “ไอหยา ช่วงนี้อากาศค่อนข้างแห้ง ข้าจึงคันคอเล็กน้อยน่ะ!”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ฟังก็รู้สึกว่าเขามีเหตุผล “ดูเหมือนอากาศจะแห้งเล็กน้อย เจ้ารอสักหน่อย ข้าจะทำน้ำผสมน้ำผึ้งให้พวกเจ้า”
น้ำผึ้งในสมัยโบราณนั้นบริสุทธิ์ ไม่เหมือนปัจจุบันที่พ่อค้าใจดำบางคนใช้น้ำตาลทำเป็นน้ำผึ้ง
เมื่อกู้หนิงผิงได้ยินว่าครอบครัวของตนเองจะซื้อเกวียนวัวก็รู้สึกดีใจมากและยิ้มออกมา “ท่านพี่ บ้านพวกเราจะซื้อเกวียนวัวแล้วหรือ? เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเสียจริง ท่านพี่ไม่ต้องห่วง เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะดูแลวัวอย่างดี!”
“โอ้ นั่นคงจะไม่ทำให้การฝึกของเจ้าและพี่ฉินล่าช้าออกไปใช่ไหม?” กู้เสี่ยวหวานเลิกคิ้วและกล่าวติดตลก
เมื่อกู้หนิงผิงได้ยินกู้เสี่ยวหวานเรียกฉินเย่จือว่าพี่ฉินจากปากของนาง ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็รู้สึกแปลกประหลาด
พี่ฉิน พี่ชายอันเป็นที่รัก!
เมื่อคิดเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานรู้สึกขนลุกขึ้นมาทั้งตัว เมื่อมองไปที่ฉินเย่จือก็เห็นสีหน้าที่ดูมีความสุขของเขา คำว่าพี่ฉินที่ออกจากปากของกู้เสี่ยวหวานทั้งนุ่มนวลทั้งอ่อนโยน แค่เมื่อได้ยินก็รู้สึกชาไปถึงกระดูก
ฉินเย่จือแอบมองไปที่นางเพราะกลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะรู้ ดังนั้นเขาจึงรีบหลบสายตา
“ล่าช้าอะไรกัน แค่ให้อาหารวัวเอง” กู้หนิงผิงเกาศีรษะด้วยความเขินอายเล็กน้อย
ตั้งแต่ที่เขาฝึกศิลปะการต่อสู้กับฉินเย่จือมา กู้หนิงผิงก็ตื่นขึ้นก่อนรุ่งสางเพื่อไปฝึกในทุกวัน เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นเช่นนั้นในใจของนางทั้งรู้สึกเป็นทุกข์ทั้งรู้สึกชื่นใจ เด็กคนนี้กล่าวว่าต้องการปกป้องครอบครัว และต้องการปกป้องนางกับกู้เสี่ยวอี้
“หนิงผิงเป็นต้นกล้าที่ดี เขาชอบฝึกศิลปะการต่อสู้ ในอนาคตเขาจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน” ฉินเย่จือกล่าว เด็กคนนี้แม้ว่าจะโตไปสักหน่อยสำหรับการฝึกศิลปะการต่อสู้ แต่เขาก็เป็นเด็กที่สนใจในด้านนี้ เขาเต็มใจอดทนต่อความลำบากและฝึกฝนอย่างหนัก ในอนาคตจะมีบางอย่างที่เขาทำได้อย่างแน่นอน
กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจโดยไม่รู้ว่ามันเป็นความสุขหรือความทุกข์
เดิมทีให้เขาไปเรียนหนังสือ จะเป็นจะตายอย่างไรก็ไม่ไป เอาแต่บอกว่าไม่ชอบเรียนและทนความลำบากเช่นนั้นไม่ได้ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ทนความลำบากเช่นนั้นไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่มีความสนใจในมันมากกว่า กู้เสี่ยวหวานยิ้ม การที่นางให้ฉินเย่จืออยู่ที่นี่ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเย่จือ นางคงไม่รู้ว่ากู้หนิงผิงชอบอะไรและเต็มใจจะเรียนรู้อะไร
ทั้งครอบครัวนั่งเกวียนเข้าเมืองอย่างมีความสุข และมาถึงร้านขายผ้าจี๋เสียง
ในร้านของพี่ฝูมีหญิงสาวจำนวนหนึ่งกำลังเลือกผ้าอยู่ เมื่อกู้เสี่ยวหวานนำสิ่งของย้ายเข้ามา หญิงสาวพวกนั้นก็ตาเป็นประกายและไม่เลือกผ้าอีกต่อไป ทุกคนต่างเดินเข้ามา เมื่อมาถึงหญิงสาวพวกนั้นก็หยิบตุ๊กตาผ้าไปถือในมือ พลิกซ้ายพลิกขวาไม่ยอมวาง
“สิ่งนี้คืออะไรกัน ช่างดูดีเสียจริง!” หนึ่งในนั้นกำลังถือตุ๊กตาเฮลโลคิตตีอยู่ บนหัวของตุ๊กตามีโบสีชมพูติดไว้ ดูแล้วน่ารักมาก
กู้เสี่ยวหวานจึงแนะนำตุ๊กตาพวกนี้ให้พวกนางรู้จัก และเมื่อพวกนางได้ฟังก็ตาลุกวาว
พี่ฝูจัดเรียงตุ๊กตาสิบห้าตัวที่กู้เสี่ยวหวานนำมาไว้บนตู้