บทที่ 333 เผ่าเอลฟ์พฤกษา

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 333 เผ่าเอลฟ์พฤกษา
บทที่ 333 เผ่าเอลฟ์พฤกษา

ซูอันไม่มีทางเปิดเผยการมีอยู่ของคีย์บอร์ดกับนาง ดังนั้นเขาจึงตอบว่า “ข้าบอกท่านไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า ข้าคืออิ่งเจิ้งกลับชาติมาเกิด? ตั้งแต่วินาทีที่ข้าได้ยินเสียงของท่าน ชื่อของท่านก็โผล่ขึ้นมาในหัวของข้า”

“เชื่อก็โง่แล้ว!” หมี่ลี่ตะโกนขณะที่นางโบกมืออย่างโกรธจัด ส่งกระบี่พลังชี่พุ่งเข้าหาซูอันอีกรอบ

“ระวัง!” เฉียวเสวี่ยอิงดึงซูอันหลบไปด้านข้างทันที

ทว่าใครจะคิดว่า ซูอันก็พยายามดึงนางเช่นกันแต่ดึงไปอีกทางเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตี เมื่อต่างคนต่างดึงกันไปคนละทางผลลัพธ์ที่ออกมาจึงกลายเป็นร่างกายของพวกเขากระเด้งกลับมาชนกัน ส่งผลให้พวกเขาหยุดอยู่ที่เดิม

“…” ซูอัน

“…” เฉียวเสวี่ยอิง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ กระบี่พลังชี่ถูกแบ่งออกเป็นสองเล่มอย่างกะทันหันและพุ่งไปในทางที่ทั้งสองจะหลบหนีก่อนหน้านี้ มันเป็นความบังเอิญที่โชคดีทำให้พวกเขายืนอยู่ที่เดิมจึงทำให้หลบการโจมตีที่ถึงตายของหมี่ลี่ได้อย่างโชคช่วย

“…” หมี่ลี่

ซูอันระเบิดเสียงหัวเราะ เขามองไปที่ผู้หญิงในอ้อมกอดของเขาและกล่าวว่า “ฮ่า ๆ พวกเราสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีนี้ได้สำเร็จอย่างสวยงาม ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นดาวนำโชคของข้าจริง ๆ”

เฉียวเสวี่ยอิงผลักเขาออกอย่างรวดเร็วก่อนที่จะจ้องมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

“เจ้าช่วยดูด้วยว่ามันใช่เวลาไหม! ทำไมเจ้าถึงทำตัวเหมือนหญิงสาวขี้อายในเวลาเช่นนี้? นอกจากนี้ ข้าไม่รู้สึกอะไรกับรันเวย์เครื่องบินของเจ้าหรอก! สิ่งเดียวที่ข้ารู้สึกเมื่อครู่นี้ก็คือซี่โครงของเจ้าทิ่มข้าก็เท่านั้นแหละ เจ้าเทียบไม่ได้เลยกับพี่หญิงใหญ่!”

อันที่จริงคำพูดนี้ขัดกับใจของเขาเองเล็กน้อย มันเป็นความจริงที่เฉียวเสวี่ยอิงมีร่างกายที่เรียวระหง แต่นางก็ไม่ได้เล็กจนถือว่าแบนจริง ๆ อย่างน้อยที่สุดหน้าอกของนางก็ใหญ่กว่าฉู่ฮวนเจา

เฉียวเสวี่ยอิงนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร

ท่านยั่วยุเฉียวเสวี่ยอิงสำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 325!

นางไม่รู้ว่ารันเวย์เครื่องบินคืออะไร แต่ไม่ต้องใช้ความคิดก็เดาออกว่าเขาหมายถึงอะไร ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบให้ร่างกายของนางถูกวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่ามันจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม

หมี่ลี่คิดย้อนถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อได้ยินคำพูดของซูอัน ถึงแม้ว่าร่างกายของนางจะสูญสลายไปแล้ว แต่นางก็เคยเป็นเจ้าของร่างที่ถูกวิจารณ์อยู่ดี

และราวกับว่ายังไม่พอ ซูอันยังเอาเรื่องนี้มาโม้ต่อหน้าคนอื่น

ท่านยั่วยุหมี่ลี่สำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 404!

“ข้าไม่เคยเห็นใครอยากตายเท่าเจ้ามาก่อน ในเมื่อเจ้าอยากตายขนาดนี้ งั้นข้าก็จะสนองความปรารถนาของเจ้าให้!”

หลังจากนั้น วงแหวนสีดำก่อตัวขึ้นต่อหน้านาง กระบี่พลังชี่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกมันก็พุ่งเข้าหาทั้งสองคนราวกับเป็นปืนกล

“เวรแล้ว!” ดวงตาของซูอันเกือบจะถลนออกมา ห่าฝนกระบี่พลังชี่ปกคลุมทิศทางหนีของเขาทั้งหมดจนไม่รู้ว่าจะวิ่งหลบไปทางไหนต่อ!

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นกระบี่บินมาก่อน ย้อนกลับไปในการประลองระหว่างตระกูล หยวนเหวินตงใช้พลังธาตุโลหะเพื่อควบคุมกระบี่หลายเล่มในคราวเดียว และซือคุนก็มีกระบี่ลมเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ในขณะนี้ แรงกดดันจากกระบี่เหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้เขาสิ้นหวัง

ผู้หญิงคนนี้ตั้งใจจะจบชีวิตข้าจริง ๆ!

“ระวัง!”

เฉียวเสวี่ยอิงรีบวิ่งออกไปข้างหน้า และผมของนางเริ่มงอกขึ้นก่อตัวเป็นไม้พุ่มหนามในทันที ในเวลาเดียวกัน ใบไม้สีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนก็รวมตัวกันเป็นม่านพลังต่อหน้าพวกเขา

พุ่มไม้หนามที่ถูกกระบี่แทงค่อย ๆ สลายไป ต่อจากนั้น กระบี่พลังชี่ก็พุ่งมาถึงชั้นม่านพลังใบไม้สีเขียว ซึ่งกินเวลาเพียงชั่วอึดใจก่อนที่จะสลายตัวลงเช่นกัน

ความมุ่งมั่นฉายผ่านดวงตาของเฉียวเสวี่ยอิง นางผลักซูอันออกไปในขณะที่ตัดสินใจให้กระบี่แทงทะลุร่างของนาง

“เสวี่ยเอ๋อร์!” ซูอันตะโกน

เฉียวเสวี่ยอิงถูกกระบี่พลังชี่ฉีกออกเป็นชิ้น ๆ นับไม่ถ้วนต่อหน้าเขา

“บัดซบเอ๊ย! เจ้าฆ่านางทำไม!” ดวงตาของซูอันแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาจ้องมองหมี่ลี่อย่างเกลียดชัง

“เจ้าเป็นอะไร? นางยังไม่ตายสักหน่อย!” หมี่ลี่ตะคอกกลับขณะที่นางเหลือบมองไปด้านข้าง

ห่างออกไป ร่างกายของเฉียวเสวี่ยอิง ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น ใบหน้าของนางซีดเซียว

ตอนนั้นเองที่ซูอันจำได้ว่านางมีทักษะที่ชื่อว่า ‘ภาพสะท้อนแห่งจันทรา’ หรืออะไรบางอย่าง ซึ่งก่อนหน้านี้นางเคยใช้มันเพื่อรับมือกับแท่งพิษ ของเขา

“เจ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่า?”

ซูอันรีบวิ่งไปเข้าตรวจสอบร่างกายของนางทันที

“อย่ามาแตะต้องตัวข้า!” เฉียวเสวี่ยอิงปัดมือของเขาออกไปอย่างเย็นชา

“เฮ้อ…เจ้ายังสบายดีอยู่สินะ” ซูอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ตอนนี้อาจจะสบายดี แต่ดูเหมือนว่านานไปมันจะไม่เป็นเช่นนั้น”

เฉียวเสวี่ยอิงรู้สึกว่าความโชคร้ายได้ประดังประเดกันเข้าหานาง ก่อนหน้านี้นางถูกซือคุนทรยศ จากนั้นนางก็ใช้สายสัมพันธ์ครึ่งชีวิตที่มีค่าที่สุดของนางให้กับสามีคนอื่น และตอนนี้นางได้ใช้ภาพสะท้อนแห่งจันทราครั้งที่สองซึ่งเป็นทักษะที่นางสามารถใช้ได้เพียงสามครั้งในชีวิตของนาง!

ชาติที่แล้วข้าติดค้างหนี้อะไรกับเจ้ากันแน่!

หมี่ลี่มองดูนางด้วยความสนใจ “วิชาลับของเผ่าเอลฟ์ ภาพสะท้อนแห่งจันทรา เมื่อพิจารณาจากทักษะที่เจ้าใช้จนถึงตอนนี้ เจ้าคงจะเป็นเผ่าเอลฟ์พฤกษาอย่างแน่นอน”

ซูอันตกตะลึง เขามองประเมินเฉียวเสวี่ยอิงอย่างใกล้ชิดและถามว่า “นี่เจ้าเป็นเอลฟ์งั้นเหรอ?”

ซูอันเคยดูหนังหลายเรื่องที่เกี่ยวกับเอลฟ์ พวกเขาควรจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่สวยงาม สง่างาม และมีสติปัญญามากที่สุดในโลก

“มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?” เฉียวเสวี่ยอิงกลอกตา

“ข้าไม่มีปัญหาหรอก เพียงแต่…เอลฟ์น่าจะหูแหลมไม่ใช่เหรอ?” ซูอัน ถามขณะที่เขายกมือขึ้นจับหูของนาง

เฉียวเสวี่ยอิงผลักมือของเขาออกไปด้วยสีหน้าที่ดูน่ากลัว

หมี่ลี่เป็นผู้ตอบคำถามของเขา “นางดูเหมือนจะเป็นลูกครึ่งเอลฟ์ นางเป็นลูกผสมระหว่างมนุษย์กับเอลฟ์”

เฉียวเสวี่ยอิงหน้าซีดมากขึ้น เรื่องนี้เป็นหนามในใจนางมาช้านาน และนางก็มักจะก้มหน้าลงด้วยความละอายเพราะเหตุนี้

จู่ ๆ ซูอันก็หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันและพูดว่า “อ่า นางเป็นลูกครึ่งนี่เอง! ดีแล้ว ๆ คนประเภทนี้มีแนวโน้มที่จะสวยที่สุด และมักจะสืบทอดความแข็งแกร่งและพรสวรรค์จากทั้งพ่อและแม่”

เฉียวเสวี่ยอิงตกตะลึงกับคำพูดนี้ ทุกคนที่รู้ถึงตัวตนของนางมักจะวิพากษ์วิจารณ์นางเรื่องเชื้อสายที่ไม่บริสุทธิ์ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเกี่ยวกับการเป็น ‘ลูกครึ่ง’ ที่ทำให้นางรู้สึกสบายใจมากขึ้น

“ขอบคุณ” เฉียวเสวี่ยอิงกระซิบเบา ๆ หลายปีที่ผ่านมา เขาเป็นคนแรกที่ไม่เลือกปฏิบัติกับนาง ไม่แม้กระทั่งพยายามหาเหตุผลมาปลอบโยนนาง

ซูอันยิ้มและตอบกลับว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า พูดถึงเรื่องนี้ เจ้าคิดอย่างไรกับข้า เรามาทำลูกหลายเชื้อชาติเพิ่มกันไหม? ข้าพนันได้เลยว่าลูกชายของเราจะเป็นคนที่หล่อที่สุดในโลก และลูกสาวของเราจะต้องสวยไม่แพ้เทพธิดา!”

“…” เฉียวเสวี่ยอิง

บ้าเอ๊ย! ข้าขอถอนคำพูด! ดูเหมือนว่าความไร้ยางอายของเขาเป็นโรคที่รักษาไม่มีทางหาย!

“ถ้าข้าจำไม่ผิด ภาพสะท้อนแห่งจันทราของเผ่าเอลฟ์ทำให้เคลื่อนย้ายร่างกายได้ไกลหลายลี้ ซึ่งเป็นทั้งการเอาตัวรอดและการหลบหนี ทว่าเจ้ายังอยู่ที่นี่…เพื่อผู้ชายไร้ยางอายคนนี้งั้นเหรอ” หมี่ลี่ถามอย่างหยอกล้อ

ซูอันมองเฉียวเสวี่ยอิงด้วยความตกตะลึง ซึ่งในขณะเดียวกันนางก็รีบประท้วงทันที “ข้าไม่ได้อยู่เพราะเขาสักหน่อย ที่ข้ายังอยู่เป็นเพราะข้าต้องการตอบแทนหนี้บุญคุณคุณหนูฉู่ต่างหาก! เจ้าเองก็เถอะรีบออกไปจากร่างของนางเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น ข้าจะทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะต้องเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิต แม้จะแลกด้วยชีวิตของข้าเอง!”

หมี่ลี่ระเบิดเสียงหัวเราะเมื่อได้ยินคำขู่ของเฉียวเสวี่ยอิง ถ้ำใต้ดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย ครู่ต่อมาในที่สุดนางก็ยิ้มและเยาะเย้ย “เจ้ามีความสามารถพอที่จะทำได้อย่างนั้นเหรอ?”

เฉียวเสวี่ยอิงหน้าซีด เห็นได้ชัดว่าหมี่ลี่แข็งแกร่งกว่านางมาก นางไม่มีโอกาสชนะเลย

“อย่าลืมสิ ว่าข้าก็อยู่ด้วย!” ซูอันก้าวมาข้างหน้าและจับมือเฉียวเสวี่ยอิง

นางไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่กับการถูกซูอันจับมือ มันอาจจะเป็นเพราะนางกำลังเผชิญหน้ากับความตาย หรือว่านางอาจจะชินเพราะเขาได้จับมือนางอยู่บ่อยครั้งในผนึกทั้งสามก่อนหน้านี้ เฉียวเสวี่ยอิงไม่ได้พยายามสลัดมือของซูอันในครั้งนี้ ความอบอุ่นที่เขามอบให้กลับทำให้นางรู้สึกมั่นใจมากขึ้น

หมี่ลี่ไม่พูดอะไรออกมา

เจ้าเป็นเพียงผู้บ่มเพาะระดับสาม เจ้าจะทำอะไรได้?