บทที่ 334 กระบี่โง่!
บทที่ 334 กระบี่โง่!
ซูอันใช้โอกาสนี้เพื่อปลอบโยนเฉียวเสวี่ยอิงโดยกล่าวว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัว นางอ่อนแอลงมากเนื่องจากวิญญาณของนางเพิ่งออกจากร่าง ยิ่งไปกว่านั้น พิษก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าจะทำร้ายไปถึงวิญญาณนางด้วยเช่นกัน ตราบใดที่เรายังคงยืนหยัด นางอาจจะต้องยอมจำนนก่อน”
ต้องรู้ว่าพุ่มไม้หนามของเฉียวเสวี่ยอิงก่อนหน้านี้เคยถูกกำจัดอย่างสิ้นเชิงโดยจางฮั่น แต่ตอนนี้มันสามารถป้องกันกระบี่พลังชี่ของหมี่ลี่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง สิ่งนี้บ่งบอกว่าหมี่ลี่อ่อนแอลงอย่างมาก
เฉียวเสวี่ยอิงดูกระตือรือร้นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้
“ไม่จำเป็นต้องกระซิบกระซาบกัน ข้าได้ยินเสียงพวกเจ้าดังชัดเจน เจ้าพูดถูก ตอนนี้ข้าอ่อนแอลงมากจริง ๆ แต่ข้ายังมีเรี่ยวแรงมากเกินพอที่จะจัดการพวกเจ้าสองคนได้!” หมี่ลี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
นางโบกมือส่งกระบี่พลังชี่พุ่งออกไปหาซูอันและเฉียวเสวี่ยอิงอีกครั้ง
กระบี่พลังชี่ของนางมีจำนวนน้อยกว่าเดิม ดังนั้นซูอันและเฉียวเสวี่ยอิง จึงเห็นช่องว่างในการหลบ พวกเขารีบพุ่งตัวหนีในทันที แต่แล้วเมื่อผ่านไปครึ่งทาง กระบี่พลังชี่ก็บรรจบกันเป็นเสี้ยววงเดือนเข้าโจมตีเฉียวเสวี่ยอิง
เฉียวเสวี่ยอิงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนจะกระอักเลือดออกมาและทรุดตัวลงกับพื้น
หมี่ลี่คาดการณ์ได้ถูกต้อง ว่าตัวเองต้องสร้างบาดแผลให้กับเฉียวเสวี่ยอิงในขณะที่ไม่ทำให้เฉียวเสวี่ยอิงรู้สึกว่าชีวิตของนางตกอยู่ในความเสี่ยง นางจะได้ไม่ใช้ภาพสะท้อนแห่งจันทราเพื่อหนีออกจากถ้ำนี้และเปิดเผยความลับออกไป
และตามที่นางคาดการณ์ไว้ เฉียวเสวี่ยอิงไม่ได้ใช้ไพ่ตายของนาง
ถึงแม้ข้าจะไม่สามารถฆ่านางได้ในครั้งเดียว แต่ถ้านางได้รับบาดเจ็บสะสมเรื่อย ๆ อีกไม่นานนางก็จะลงไปอยู่ในยมโลกเหมือนกัน!
เมื่อเฉียวเสวี่ยอิงรู้ว่าหมี่ลี่กำลังทำอะไร มันก็สายเกินไปแล้ว นางไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ นับประสาอะไรกับการโคจรพลังชี่เพื่อเปิดใช้งาน ภาพสะท้อนแห่งจันทรา นางทำได้เพียงแต่มองกระบี่ขนาดใหญ่พุ่งมาหานาง
แต่ในทันใด ร่างหนึ่งก็พุ่งมาข้างหน้าและขวางกระบี่ให้นาง
กระบี่ฟันลงบนหลังของซูอัน ทำให้เขากระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรง เฉียวเสวี่ยอิงมองชายตรงหน้านางด้วยสีหน้างุนงง นางไม่สามารถพูดอะไรได้เลยเป็นเวลานาน…
“โอ้ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าสองคนมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันมากจริง ๆ” หมี่ลี่เยาะเย้ย “ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าจะส่งพวกเจ้าสองคนไปนรกพร้อม ๆ กันเลย!”
นางโบกมืออีกครั้ง ส่งกลุ่มกระบี่พลังชี่พุ่งไปที่ซูอันทั้งหมดในคราวเดียว นางตั้งใจที่จะจบชีวิตพวกเขาลงพร้อมกัน เพื่อยุติเรื่องไร้สาระนี้ให้เร็วที่สุด
“วิ่ง!” เฉียวเสวี่ยอิงตะโกน นางรู้ว่าซูอันไม่สามารถรับกระบี่ถัดไปได้แน่นอน เขาจะต้องถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ไปพร้อมกับนางแน่!
“ข้าจะทิ้งเจ้าในเวลาแบบนี้ได้ยังไง?” ซูอันเช็ดรอยเลือดบนริมฝีปากของเขาและยิ้มให้นาง อย่างไรก็ตาม ภายในร่างกายของชายหนุ่มไม่ได้ผ่อนคลายอย่างที่เห็น เขาพยายามโคจรพลังปฐมบทเพื่อปกป้องร่างกาย โดยอธิษฐานขอให้เส้นใยสุขสันต์ทำงานอย่างมหัศจรรย์ต่อไป
ชายหนุ่มกังวลว่าหากเขาถูกโจมตีจนกลายเป็นเนื้อสับ เส้นใยสุขสันต์จะไม่สามารถประกอบร่างกายใหม่ให้เขาได้
ฉึก…ฉึก…ฉึก!
กระบี่พลังชี่ทั้งหมดแทงร่างของซูอันจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ดวงตาของเฉียวเสวี่ยอิงเต็มไปด้วยน้ำตาขณะที่นางปลงตกยอมรับสภาพที่จะฉีกขาดเป็นชิ้นเนื้อ อย่างไรก็ตาม นางแปลกใจมากที่ร่างกายของเขาไม่ได้ถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ตามที่นางคาดไว้
หมี่ลี่เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจขณะที่นางเริ่มสงสัยในตัวเอง ข้าอ่อนแอจนไม่สามารถแม้แต่จะเอาชนะผู้บ่มเพาะระดับสามได้งั้นเหรอ?
ซูอันรู้สึกว่าร่างกายของเขาเองพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะสูบกลืนพลังปฐมบทที่อยู่รอบบริเวณ สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มเดาว่าสุสานแห่งนี้น่าจะสร้างขึ้นบนผืนแผ่นดินที่ได้รับพรอย่างแน่นอน เนื่องจากมีพลังปฐมบทกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่นี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งพวกมันอาจจะสะสมอยู่ที่นี่ก่อนที่จะสร้างสุสานเป็นพันปีแล้วด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้น มันก็คงไม่น่าจะเพียงพอที่จะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเขาได้
เมื่อเห็นว่าซูอันกระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง เฉียวเสวี่ยอิงก็โน้มตัวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อเช็ดเลือดออกจากริมฝีปากของเขาและถามอย่างกังวลว่า “จ…เจ้าเจ็บมากไหม?”
“ไม่ต้องห่วง ข้ายังสบายดี” ซูอันยิ้มกว้าง สำหรับคนอย่างเขาหากเจออันตรายก็ยังคงทำตัวให้เยือกเย็นอยู่เสมอ
เฉียวเสวี่ยอิงยิ้มตอบอย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน นางเคยเกลียดนิสัยที่หยาบคายและโอหังของเขา แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง ด้วยไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เขาก็ยังมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ
เมื่ออาการบาดเจ็บของเขาทุเลาลงแล้ว ซูอันก็ลุกขึ้นยืน เขารู้ว่าเส้นใยสุขสันต์จะไม่ช่วยให้เขาเอาชนะหมี่ลี่ได้
ไม่ว่าเส้นใยสุขสันต์จะทรงพลังแค่ไหน ซูอันก็ไม่อยากเสี่ยงกับการถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ เขาต้องตอบโต้ถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตจำนงการต่อสู้ของซูอัน หมี่ลี่จึงเอ่ยว่า “แม้การบ่มเพาะของเจ้าจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ความมุ่งมั่นของเจ้านั้นแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้มาก ข้าประทับใจจริง ๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าถึงสามารถทำลายผนึกมนุษย์ ผนึกปฐพี และผนึกสวรรค์ได้”
“โอ้ นี่ท่านยังจำผนึกทั้งสามได้อีกเหรอ? เหอะ ๆ นี่คือวิธีที่ท่านตอบแทนคนที่ช่วยท่านออกมางั้นสินะ?” ซูอันถ่มน้ำลาย
หมี่ลี่ถอนหายใจและพูดว่า “ก็ข้าไม่คิดว่าข้าจะถูกพิษน้ำตาสีชาดจากมารดรเซียง ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยึดร่างกายของภรรยาเจ้า และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าได้ทำสิ่งที่ข้าไม่อาจให้อภัยได้ ข้าจึงไม่อาจปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้”
ใบหน้าของนางเริ่มแดง ยากที่จะบอกได้ว่าเป็นเพราะความโกรธหรือเขินอาย
ซูอันคำรามด้วยความขุ่นเคือง “ข้าร่วมรักอยู่กับภรรยาของข้า แต่ท่านแอบมาเข้าร่างนางเอง ท่านตำหนิข้าเรื่องนั้นได้ยังไง?!”
“การที่ข้าให้เจ้าใช้ประโยชน์จากเรือนร่างของข้ามันก็เพียงพอแล้วที่จะชำระหนี้สำหรับการช่วยชีวิตข้า ตอนนี้เจ้าควรจะยอมตายอย่างมีความสุข!”
หมี่ลี่รู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่น่าเชื่อ นางเป็นจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์ฉินอันเกรียงไกร เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของที่ราบตอนกลาง บุคคลผู้สูงศักดิ์ที่ยืนอยู่ข้างใต้เพียงจักรพรรดิองค์เดียว ผู้ชายจำนวนนับไม่ถ้วนยอมสละชีวิตเพียงเพื่อสูดกลิ่นหอมของนาง แต่ชายผู้นี้ได้เอาเปรียบนางแล้วยังทำเหมือนไม่พอใจอีกงั้นเหรอ?
—
ท่านยั่วยุหมี่ลี่สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 999!
—
ในที่สุดซูอันก็เข้าใจว่าทำไมหมี่ลี่ถึงโกรธเขา ปรากฏว่านางทนไม่ได้ที่ถูกเอาเปรียบ!
เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าชายหนุ่มทำอะไรกับร่างของหมี่ลี่ก่อนหน้านี้ อย่างน้อยเขาก็สามารถยอมรับเหตุผลของนางที่พยายามฆ่าเขาได้ แต่เมื่อครู่นี้คนที่ซูอันร่วมรักด้วยคือภรรยาของเขาเอง!
ใครกันแน่ที่ถูกเอาเปรียบ!
ซูอันสูดหายใจเข้าลึก ๆ และเยาะเย้ย “ข้าเป็นคนที่จัดการผนึกมนุษย์ ปฐพี และสวรรค์ ท่านคิดว่าข้าจะไม่มีไพ่ตายเหรอ?”
“โอ้? ข้าชักจะอยากชมแล้วสิ” หมี่ลี่ตอบ
นางอยากรู้จริง ๆ ว่าซูอันซ่อนความลับอะไรไว้ มันยากที่จะเชื่อว่าคนที่อ่อนแออย่างเขาสามารถทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้หลายต่อหลายครั้ง
ร่างกายของซูอันสั่นเทาเกือบจะล้มลงทุกขณะ แต่เขาพยายามยืนตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผยในขณะที่เขาพูดว่า “ไท่เอ๋อร์ ในเมื่อเจ้ายอมรับข้าเป็นเจ้านายของเจ้าแล้ว จงร่วมต่อสู้กับข้า เผชิญหน้ากับปีศาจร้ายตนนี้เคียงข้างข้า! จงแสดงความเป็นหนึ่งของเจ้าให้โลกเห็นอีกครั้ง!”
เขายกมือขึ้นและตะโกนว่า “มาเถอะ กระบี่ของข้า!”
กระบี่ไท่เอ๋อร์ยังคงเสียบอยู่ที่ร่างของจางฮั่นซึ่งถูกตรึงอยู่ที่ผนัง หมี่ลี่ ตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของซูอัน นางรู้ว่ากระบี่ไท่เอ๋อร์ทรงพลังเพียงใด หากซูอันสามารถเรียกมันออกมาได้จริง ๆ นางคงจะต่อสู้ได้ลำบากกว่าเดิมมาก
นางโคจรพลังชี่อย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมป้องกันตัวเองจากกระบี่ไท่เอ๋อร์ แต่ในไม่ช้านางก็รู้สึกผ่อนคลายลงได้เมื่อเห็นว่ากระบี่ไท่เอ๋อร์ยังคงติดอยู่กับผนังไม่ขยับไปไหน
ซูอันรู้สึกอึดอัดใจอย่างไม่น่าเชื่อ ทำไมตอนคนอื่นสั่ง เจ้าถึงบินไปบินมาในทันทีแต่พอข้าสั่งเจ้ากลับไม่ทำอะไรเลย!
เขาไม่ยอมแพ้และตะโกนอีกครั้ง “มานี่ ไอ้กระบี่โง่!”
ซูอันยังพยายามที่จะส่งเศษเสี้ยวของพลังชี่ไปดึงกระบี่ไท่เอ๋อร์ออกมา แต่น่าเสียดายที่ระดับการบ่มเพาะของเขายังอยู่ในระดับที่สามเท่านั้น เขายังไม่สามารถใช้พลังชี่ในระยะไกลได้ ดังนั้นเศษเสี้ยวพลังชี่จึงค่อย ๆ สลายหายไปหลังจากออกจากร่างกายของเขา
ดังนั้นกระบี่ไท่เอ๋อร์จึงยังคงยึดติดกับผนัง
แม้จะเป็นคนที่หน้าด้านอย่างซูอัน เขาก็รู้สึกขายหน้าอย่างที่สุด “ไอ้กระบี่บ้า มาเดี๋ยวนี้!”
น่าเสียดายที่กระบี่ไท่เอ๋อร์ยังคงยึดติดกับผนังไม่ขยับเลย แม้แต่เฉียวเสวี่ยอิงก็ทนอับอายแทนเขาไม่ได้และยกมือขึ้นปิดหน้าของนางเอง!
“ฮ่า ๆๆ! นี่เจ้ากำลังจะฆ่าข้าด้วยการทำให้ข้าหัวเราะจนตายงั้นเหรอ?” หมี่ลี่หัวเราะอย่างไม่เกรงกลัว