ตอนที่ 382 วางใจ (4)
ตอนนี้ เวลานี้ นางรู้สึกว่ามันไม่เหมือนกันมากๆ!
เดิมมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจังนัก ทว่านับตั้งแต่ก้าวเข้าประตูใหญ่บานนั้นเข้ามา หลังจากที่เห็นประวัติศาสตร์ที่มีกลิ่นอายวัฒนธรรมอันยาวนานปรากฏขึ้นตรงหน้า นี่เป็นบรรยากาศที่มีเพียงแค่พุทธศาสนิกชนผู้เคร่งครัดในศาสนาเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างออกมาได้ ดวงหน้าเล็กของมั่วเชียนเสวี่ยมีความจริงจังขึ้นมาทันที!
บนโลกใบนี้ มีสิ่งต่างๆ มากมายที่ไม่สามารถใช้วาจาและวิทยาศาสตร์มาอธิบายให้เข้าใจได้!
และนาง ก็คล้ายกับรู้สึกได้ว่าท่ามกลางโชคชะตาเช่นนี้ ได้มีมือคู่หนึ่งชักนำนางมาที่นี่ด้วยความอ่อนโยน
เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด และเหลือเชื่อมาก ทว่า มั่วเชียนเสวี่ยกลับเห็นอารมณ์ตื่นเต้นและความคาดหวังนี้เป็นการเดินทางกลับบ้าน!
จริงๆ นะ ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับ…เหมือนกับเป็นเส้นทางเดียวที่ชักนำให้นางกลับบ้าน
หรือว่านี่คือโชคชะตาที่ผู้คนบนโลกมนุษย์ได้กล่าวถึงกัน
ขณะที่สงสัย หนิงเซ่าชิงก็จูงมือมั่วเชียนเสวี่ยด้วยความอ่อยโยนเป็นอย่างมาก และสนทนากับเณรน้อยขึ้นมา มั่วเชียนเสวี่ยจึงดึงสติกลับคืนมา
“ศิษย์น้องเจี้ยเซิ่น ไม่พบกันนาน สบายดีไหม”
“ศิษย์พี่เจี้ยเหยียน ไม่พบกันนาน พวกเราทุกคนล้วนคิดถึงท่านมาก”
เณรน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวเกินจนดูต้อยต่ำ แสดงออกอย่างไม่ยินดียินร้อน แม้ว่าตรงหน้าจะเป็นคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน เป็นศิษย์พี่ของเขา แต่ตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวจนถึงตอนนี้กลับมีสีหน้าท่าทางเช่นนั้น ไม่ดีใจ ไร้ซึ่งความปีติยินดี สีหน้าของเขาไม่เคยเปลี่ยนเลย
มั่วเชียนเสวี่ยตะลึง นี่…อาจจะเป็นอุปนิสัยใจคอที่ตกตะกอนตามไปด้วยหลังจากโกนผมออกบวชสินะ บนโลกใบนี้ ไม่มีเรื่องใดที่สามารถทำให้กลุ่มพระอาจารย์เหล่านี้แสดงความรู้สึกยินดีโกรธาบนใบหน้าได้
มั่วเชียนเสวี่ยจ้องเณรน้อยเจี้ยเซิ่นเขม็งด้วยความประหลาดใจ นางไม่เคยคิดเลยว่า หนิงเซ่าชิงจะมีความสัมพัน์กับวัดเซียงกั๋วลึกซึ้งขนาดนี้
หรือว่าหนิงเซ่าชิงก็เคยเป็นลูกศิษย์ที่วัดแห่งนี้มาก่อน
ก็เหมือนกับฟางซื่ออวี้ที่มาที่นี่เพื่อร่ำเรียนวรยุทธ์ ไม่ได้มาสวดมนต์เคาะมู่อวี๋[1]ทุกวัน
หากว่าเป็นคนอื่น มั่วเชียนเสวี่ยยืนจ้องผู้อื่นแบบนี้ล่ะก็ หนิงเซ่าชิงคงหึงไปนานแล้ว! อีกทั้งยังหึงมากเป็นพิเศษอีกด้วย!
แต่สำหรับศิษย์พี่เจี้ยเซิ่นผู้นี้ ภายใต้สถานการณ์ที่มั่วเชียนเสวี่ยจ้องเขาเช่นนี้ หนิงเซ่าชิงกลับไม่ได้เผยสีหน้าไม่พอใจออกมาแม้แต่น้อย แต่ยังแอบบีบมือนางเงียบๆ ด้วยความรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง
“เชียนเสวี่ย มองทางใต้เท้าด้วย ล้มไปจะทำเช่นไร”
เอ่อ…มั่วเชียนเสวี่ยอึดอัดอยู่บ้าง
ผู้ที่เดินนำทางตรงหน้าเป็นถึงพระรูปหนึ่ง นางถึงกับจ้องมองพระรูปนี้โดยตาไม่กะพริบ นี่มันช่าง…
มั่วเชียนเสวี่ยแลบลิ้นซุกซน พลางหัวเราะอิอิ “เพียงแค่รูสึกประหลาดใจกับพระอาจารย์ท่านนี้เท่านั้นเอง ดูท่าทางแล้วเพิ่งจะสิบเจ็ดสิบแปด แต่กลับเป็นพระแล้ว…”
เป็นเพราะพระอาจารย์เจี้ยเซิ่นเดินอยู่ด้านหน้าพวกเขา ดังนั้นวาจาบางอย่าง มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่สะดวกจะกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมามากนัก
เพิ่งจะอายุเท่านี้ ท่ามกลางโลกที่สับสนวุ่นวาย ตอนที่เพิ่งจะได้สัมผัสถึงแปลกใหม่ของโลก คงจะไม่ได้รู้ซึ้งทางโลกได้เพราะเรื่องอะไรหรอกนะ มั่วเชียนเสวี่ยไม่เข้าใจ
หนิงเซ่าชิงรู้ว่านางไม่เข้าใจ จึงอธิบายให้นางฟัง โดยไม่สนใจพระอาจารย์เจี้ยเซิ่นตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
“ในปีนั้นศิษย์น้องศิษย์เจี้ยเหยียนเข้าวัดเซียงกั๋วมาช้ากว่าข้าวันหนึ่งเท่านั้น ผู้ที่เข้ามาก่อนเป็นผู้อาวุโส ดังนั้นที่เขาเรียกข้าว่าศิษย์พี่ล้วนเรียกตามธรรมวินัยของพุทธศาสนา”
การอธิบายของหนิงเซ่าชิงทำให้มั่วเชียนเสวี่ยตกใจจนพูดไม่ออก นางอดไม่ได้ที่จะคิดไปในทางไม่ดี ถ้าหากว่าผู้ที่เข้ามาทีหลังเป็นเฒ่าชราวัยหกสิบเจ็ดสิบ เช่นนั้นก็จะเรียกหนิงเซ่าชิงว่าศิษย์พี่ด้วยเช่นนั้นหรือ
คิดถึงตรงนี้ มุมปากของมั่วเชียนเสวี่ยก็ประดับรอยยิ้มน้อยๆ ส่วนหนิงเซ่าชิงกลับจนปัญญา
พระอาจารย์เจี้ยเซิ่นไม่ได้รู้สึกไม่เหมาะสมอันใด เขาหันกลับมายิ้มน้อยๆ ให้มั่วเชียนเสวี่ย แต่วาจาที่กล่าวออกมากลับอธิบายต่อหนิงเซ่าชิง “แม้ว่าศิษย์พี่เจี้ยเหยียนจะเข้ามาเร็วกว่าข้าแค่หนึ่งชั่วโมง เช่นนั้นท่านก็เป็นศิษย์พี่ของเจี้ยเซิ่นตามสมควร ชั่วชีวิตไม่มีทางเปลี่ยนแปลง!”
หนิงเซ่าชิงยิ้มจนปัญญาแล้วไม่เอ่ยอันใดอีก
เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ในวัดล้วนปกติ แต่กลับมีเพียงศิษย์น้องเจี้ยเซิ่นผู้เดียวที่ยึดติดกับกฎเกณฑ์เดิมๆ ทั้งยังมีความเข้าใจในพุทธศาสนาสูงมากขนาดนั้น แม้ว่าจะได้รับความชื่นชอบจากเจ้าอาวาสของพวกเขามาก แต่กลับยังคงมีท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว บางครั้งก็ทำให้คนทั้งรักทั้งเกลียดจริงๆ!
“เป็นพระอาจารย์…แค่กๆ…เจ้าอาวาสให้ท่านมารับพวกเราหรือ”
เจี้ยเซิ่นได้ยินแล้วก็พยักหน้า พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติเช่นเคย “เช้าวันนี้ท่านเจ้าอาวาสได้กำชับอาตมาเอาไว้ว่าให้อาตมาไปรอที่หน้าประตู ท่านบอกว่าวันนี้จะมีแขกมาเยี่ยม”
ได้ยินเช่นนั้น ก็ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยเลิกคิ้วงามด้วยความตกตะลึง
ต้องเหลือเชื่อขนาดนี้เชียวหรือ นางเพิ่งรู้ว่าหนิงเซ่าชิงจะพาตนเองมาวัดเซียงกั๋วในตอนกลางวัน ท่านเจ้าอาวาสผู้นี้รู้ตั้งแต่เช้าแล้ว? หรือว่า…
มั่วเชียนเสวี่ยหันหน้าไปมองหนิงเซ่าชิง ในใจก็คิดว่า ก่อนที่จะมา หนิงเซ่าชิงได้แจ้งเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว?
หนิงเซ่าชิงส่ายหน้าให้มั่วเชียนเสวี่ย พลางอธิบายว่า “ท่านเจ้าอาวาสมีความสามารถสูงส่ง เรื่องพวกนี้ ท่านนับนิ้วก็ทำนายได้แล้ว”
อาจารย์ของเขามีความสามารถมากเพียงใดกันแน่ แม้กระทั่งหนิงเซ่าชิงที่เป็นศิษย์ของเจ้าอาวาสหยวนเหรินมาห้าปีก็ยังไม่รู้ แต่กลับรู้ว่าความสามารถของอาจารย์ไม่ได้มีเพียงเท่านี้
คราวนี้มั่วเชียนเสวี่ยตื่นตะลึงแล้วจริงๆ!
อย่าเทพขนาดนี้จะได้ไหม แค่นับนิ้วก็ทำนายได้แล้วว่าวันนี้พวกเขาจะมาที่นี่?
กล่าวตามตรง นอกจากจะรู้สึกเหลือเชื่อแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่เชื่อ!
แม้ว่าการที่นางทะลุมายังต่างโลกนั้นแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่กลับไม่เชื่อว่าจะมีคนนับนิ้วแล้วทำนายออกมาได้เลย ความสามารถนี้มันฝืนลิขิตสวรรค์เกินไปแล้ว ไม่เป็นความจริงมากเกินไป และงดงามเกินไปแล้วรู้ไหม
แต่เมื่อคิดถึงจุดนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
นางไม่ใช่คนบนโลกใบนี้ เรื่องนี้คงจะไม่ได้ถูกเจ้าอาวาสผู้นั้นพบเข้าแล้วหรอกนะ
ถ้าหากว่าถูกเขาพบเข้า เขาจะเห็นตนเองเป็นปีศาจแล้วจัดการทิ้งหรือไม่ จากนั้นหนิงเซ่าชิงที่รู้ว่าตนเองจะเป็นคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่ใช่แบบนี้ จะไม่รักตนเองแล้วใช่ไหม
หรือว่าจะส่งนางกลับไปที่ยุคปัจจุบัน
นางอยากกลับไป แต่กลับไม่ได้อยากกลับไปคนเดียว
ทว่า ท่านเจ้าอาวาสผู้นี้คงจะไม่ส่งหนิงเซ่าชิงกลับไปยุคปัจจุบันด้วยเด็ดขาด…
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมา สีหน้าท่าทางหวาดกลัวและตัวสั่นเล็กน้อย
นางไม่อยากถูกคนมองเป็นสัตว์ประหลาด และไม่อยากสูญเสียหนิงเซ่าชิงไป…
ทั่วทั้งร่างเย็นยะเยือก มั่วเชียนเสวี่ยดึงมือหนิงเซ่าชิงเอาไว้แน่น ไม่ยอมให้เขาก้าวไปข้างหน้าสักครึ่งก้าว!
นางไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ตอนนี้นางอยากกลับบ้านเพียงอย่างเดียว!
หนิงเซ่าชิงไม่รู้ความคิดในใจของมั่วเชียนเสวี่ย ในตอนที่นางดึงมือให้ตนเองหยุด หนิงเซ่าชิงก็หยุดเท้า พลางมองนางอย่างใจเย็นและอ่อนโยน “เชียนเสวี่ย เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ”
[1] มู่อวี๋ เป็นไม้ที่แกะสลักเป็นรูปปลา ตรงกลางจะกลวง เมื่อเคาะจะมีเสียงดังขึ้น ซึ่งพระสงฆ์จะใช้ระหว่างสวดมนต์ ทำวัตร ประกอบพิธีทางศาสนา โดยจะมีไม้หนึ่งอันเคาะบนตัวมู่อวี๋ตามจังหวะการสวดมนต์