ตอนที่ 383 วางใจ (5)

มั่วเชียนเสวี่ยเพียงแค่ส่ายหน้า แต่กลับไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าด้วยความอึดอัดใจ

สภาพการณ์ของนางผิดปกติมาก ผู้ที่ฉลาดและเข้าใจนางเฉกเช่นหนิงเซ่าชิงจะมองไม่ออกได้เช่นไร?

“ไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ สีหน้าของเจ้าซีดมาก ที่นี่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบายใช่หรือไม่”

ความจริงแล้วใครก็คิดเช่นนี้ทั้งนั้น เพราะว่าคนที่ฆ่าคนมาเยอะมาก เมื่อมาถึงวัดเซียงกั๋วล้วนมีอาการเคร่งเครียดอย่างอดไม่ได้!

ดังนั้น คนที่อาการหนักกว่ามั่วเชียนเสวี่ยนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง!

เขาคิดว่า มั่วเชียนเสวี่ยก็อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้เช่นกัน

ครั้งที่แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยฆ่าคนไปเยอะมากในยามที่เพิ่งเข้าไปอยู่ในเมืองหลวง

“ถ้าหากว่าไม่สบาย พวกเราก็กลับกันก่อน” หนิงเซ่าชิงมองมั่วเชียนเสวี่ยด้วยความสงสาร

แม้ว่าเขาจะอยากพามั่วเชียนเสวี่ยไปพบหน้าอาจารย์มาก และกล่าวกับอาจารย์ของตนเองว่านางเป็นภรรยาของเขา นี่คือคนที่เขามั่นใจแล้วว่าจะอยู่ด้วยไปชั่วชีวิต!

ทว่า ท่าทีของมั่วเชียนเสวี่ยที่อยู่ตรงหน้านั้นแย่มาก หนิงเซ่าชิงกลับไม่อาจทนให้มั่วเชียนเสวี่ยต้องประสบกับความทรมานเช่นนี้ ถึงได้เอ่ยออกมาว่าจะจากไป

ครั้งหน้า รอมั่วเชียนเสวี่ยปรับสภาพจิตใจให้ดีแล้วค่อยมาก็คงไม่เป็นไร

มั่วเชียนเสวี่ยอยากจะเอาแต่ใจมากสักครั้ง! อยากจะดึงหนิงเซ่าชิงแล้วหมุนกายเดินกลับไปจริงๆ!

แต่นางเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะคนหนึ่ง! สติสัมปชัญญะไม่อนุญาตให้นางทำเช่นนี้ แม้ว่าจะรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่กลับไม่อยากให้หนิงเซ่าชิงเสียใจในภายหลัง

นางเข้าใจว่า การที่หนิงเซ่าชิงพานางมาที่นี่ในวันนี้ จะต้องมาพบคนที่สำคัญมากสำหรับหนิงเซ่าชิง! คนคนนั้นอาจจะเป็นท่านเจ้าอาวาสที่พวกเขากล่าวถึงเมื่อครู่นี้ คนที่…สามารถนับนิ้วทำนายชะตาได้คนนั้น

“สีกา”

ในตอนนี้ พระอาจารย์เจี้ยเซิ่นที่เพิ่งจะหยุดเดิน ยืนอยู่ห่างพวกเขาสามเมตรกว่า จึงได้ยินวาจาที่นางกับหนิงเซ่าชิงสนทนากันทั้งหมด!

“ตอนที่เจ้าอาวาสสั่งให้ข้ามารอต้อนลับล่วงหน้านั้น ก็มีประโยคหนึ่งที่อยากจะกล่าวกับสีกา นั่นก็คือ อดีตเป็นดั่งดอกไม้ที่ผลิบาน อนาคตเป็นดั่งฝันที่เฝ้ารอคอย จงทะนุถนอมและเห็นคุณค่าในยามปัจจุบัน!”

“จงทะนุถนอมและเห็นคุณค่าในยามปัจจุบัน?” มั่วเชียนเสวี่ยหรี่ตาลง พิจารณาคำกล่าวสุดท้ายอย่างละเอียด

ถ้าหากกล่าวว่าเมื่อครู่นี้ นางยังกลัวที่จะต้องพบกับเจ้าอาวาสท่านนี้แล้วล่ะก็ หลังจากที่ได้ยินวาจาของเจี้ยเซิ่นแล้ว ก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที!

นางคือมั่วเชียนเสวี่ย ไม่ว่าเรื่องราวบนโลกจะเปลี่ยนไปเช่นไร นางก็ยังคงเป็นมั่วเชียนเสวี่ย และชีวิตคนเรานั้นสั้น นางไม่จำเป็นจะต้องปล่อยเวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้!

เจ้าอาวาสกล่าวได้ถูกต้องที่สุด จงทะนุถนอมและเห็นคุณค่าช่วงเวลาปัจจุบัน อดีตเป็นดั่งดอกไม้ที่ผลิบาน แม้ว่าจะงดงามเพียงใด แต่กลับผลิบานเพียงแค่เสี้ยวพริบตาเดียว เป็นดั่งเช่นหมอกควันที่ผ่านตา!

ส่วนอนาคตก็ยิ่งกว่า เรื่องในอนาคต ใครก็ไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แทนที่จะพร่ำบนและหวาดกลัวอยู่ที่นี่ ไม่สู้ใช้ชีวิตให้ดีจะดีกว่า!

อย่างน้อยก็ได้เสพสุขกับชีวิตในปัจจุบันที่นำมาความอบอุ่นและความอ่อนโยนนุ่มนวลมาให้นาง!

ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ความนัยในวาจาของเจ้าอาวาส ก็แสดงออกว่าจะไม่เอ่ยถึงความเป็นมาของนาง เพื่อไม่ให้หนิงเซ่าชิงได้รับความตระหนกตกใจ

คิดถึงจุดนี้แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ปล่อยวางความกระสับกระส่ายในใจได้ กระชับมือหนิงเซ่าชิงแล้วยิ้มน้อยๆ “เซ่าชิง พวกเราไปกันเถอะ ตอนนี้ข้าเฝ้ารอที่จะได้พบกับท่านเจ้าอาวาสมาก รู้สึกได้ว่าทุกประโยคที่เขาเอ่ยล้วนมีเหตุผลขนาดนั้น”

แม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่เจี้ยเซิ่นกล่าวมาทั้งหมดว่า วาจาที่อาจารย์ฝากมาให้มั่วเชียนเสวี่ยนั้นมีความหมายอะไรกันแน่ แต่เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยมีท่าทางกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที และไม่มีเรื่องอันใดอีก หนิงเซ่าชิงก็วางใจ!

โดยเฉพาะหลังจากที่เจี้ยเซิ่นเอ่ยประโยคสุดท้ายอกมา ตัวหนิงเซ่าชิงเองก็กระจ่างแจ้งขึ้นมากะทันหันเช่นกัน!

อนาคตหรืออดีตล้วนนับเป็นอันใด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องใช้ชีวิตในตอนนี้อย่างมีความสุข!

“ได้ พวกเราไปกันเถอะ” หนิงเซ่าชิงก็ยิ้มจางๆ พามั่วเชียนเสวี่ยเดินตามเจี้ยเซิ่นตรงไปยังเรือนของอาจารย์ผู้เป็นเจ้าอาวาส

ตัววัดที่ค่อนข้างใหญ่ตั้งอยู่ในห้องโถงหลักทั้งสองข้าง เลียนแบบการก่อสร้างรูปแบบเรือนระเบียงตามวังหลวง เรือนที่ค่อนข้างมีขนาดเล็กตั้งเรียงรายกันเป็นแถว แต่ละแห่งตั้งชื่อตามพระพุทธรูปที่บูชาและหน้าที่การทำงาน เช่น ลานโพธิ์ หอปรัชญา เจดีย์ กุฏิเจ้าอาวาส ศาลาธรรมเทศนา ห้องโถงพระสังฆราช ศาลาพระอรหันต์ เป็นต้น

ศาลาหลักและศาลาเล็กต่างๆ ล้วนล้อมรอบทางเดิน ภายในระเบียงทางเดินมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง แกนกลางของทั้งสองด้านทับซ้อนกับเรือนสี่ประสาน และจัดวางตำแหน่งทับซ้อนเรือนสี่ประสานได้ตามสมมาตรจนเกิดเป็นรูปแบบซ้าย กลาง ขวาสามทางควบคู่กันไป

มั่วเชียนเสวี่ยถูกหนิงเซ่าชิงจูงเดินตามอยู่ด้านหลังพระอาจารย์เจี้ยเซิ่นที่เดินนำอยู่ด้านหน้า เดินไปมาระหว่างเรือนต่างๆ บนระเบียงทางเดิน

เดินไปได้ครู่หนึ่งก็ถึงกุฏิเจ้าอาวาส

เจ้าอาวาสรู้แต่แรกแล้วว่าจะมีคนมา ดังนั้นจึงอยู่ในกุฏิตั้งแต่เช้า ใช้น้ำสะอาดต้มชา

ภายในห้องของเจ้าอาสาวตกแต่งอย่างเรียบง่าย เตียงหนึ่งตัว เสื่อสวดมนต์หลายผืน แค่นี้เอง

“นั่งสิ เซ่าชิง ลองชิมฝีมือของบรรพชิตดูสิว่ายังเหมือนปีนั้นหรือไม่” มองออกเลยว่า เจ้าอาวาสรูปนี้มีความเป็นกันเองกับหนิงเซ่าชิงมาก ราวกับเห็นลูกของตนเองอย่างไรอย่างนั้น ทั้งยังเรียกให้พวกเขานั่งลงอย่างมีเมตตาและอัธยาศัยดี

“ขอบ…คุณขอรับท่านเจ้าอาวาส”

ดึงมั่วเชียนเสวี่ยในทำความเคารพเจ้าอาวาสชรากับตนเอง หนิงเซ่าชิงกำหมัดโดยมือซ้ายวางทับมือขวาเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นไปนั่งบนเบาะรองนั่ง

มั่วเชียนเสวี่ยก็เลียนแบบการกระทำของเขา หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็นั่งลงบนเบาะรองนั่งข้างหนิงเซ่าชิง

ช่วงเวลาหลังจากนั้น มั่วเชียนเสวี่ยล้วนทำตนเป็นมนุษย์ล่องหนตลอด

ราวกับพระภิกษุชราที่นั่งสมาธิเงียบๆ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากโลกภายนอก ขณะที่ทั้งสองคนสนทนากันล้วนยิ้มบางๆ ตลอด และไม่เอ่ยแทรกสักประโยค

กล่าวตามตรง ในภายหลังที่ทั้งสองคนสนทนากันถึงพระธรรม นางอยากจะเอ่ยแทรก ก็เอ่ยไม่ได้

สนทนากันอยู่พักใหญ่ เจ้าอาวาสดูคล้ายกับเหนื่อยอยู่บ้าง หนิงเซ่าชิงจึงลุกขึ้น พร้อมกับดึงให้มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นด้วย

อาภรณ์งดงามขับเน้นให้บุรุษตรงหน้าสุภาพนุ่มนวล หนิงเซ่าชิงยกชายเสื้อขึ้นแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าอาจารย์เจ้าอาวาส

มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้ว่าหนิงเซ่าชิงทำอันใด แต่กลับรู้ว่า เขาคุกเข่าแล้ว นางย่อมต้องคุกเข่าด้วยเช่นกัน

อีกทั้งสัญชาตญาณของนางก็บอกว่า ความสัมพันธ์ของคนผู้นี้กับหนิงเซ่าชิงจะต้องไม่ได้ดูไม่แยแสอย่างที่แสดงออกแน่นอน!

“อาจารย์…” หนิงเซ่าชิงโขกศีรษะให้กับเจ้าอาวาส เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็มองไปทางมั่วเชียนเสวี่ยที่คุกเข่าตามอยู่ข้างเขา

“อาจารย์ ศิษย์เคยรับปากท่านว่า ในภายหลังหากมีคนที่จะเคียงข้างและยึดติดไปชั่วชีวิตเพียงผู้เดียว จะต้องพานางมาโขกศีรษะคำนับท่าน! วันนี้ศิษย์ทำได้แล้ว”

เขาหันกลับมามองมั่วเชียนเสวี่ย พลางเอ่ยว่า “เชียนเสวี่ย นี่คืออาจารย์ของข้า และเป็นอาจารย์ของเจ้า พวกเราโขกศีรษะคำนับอาจารย์ด้วยกัน”

“คารวะอาจารย์ ข้าคือมั่วเชียนเสวี่ย” มั่วเชียนเสวี่ยตัดสินใจโขกศีรษะคำนับดังปึกให้เจ้าอาวาสครั้งหนึ่ง

นี่ทำให้หนิงเซ่าชิงและเจ้าอาวาสหยวนเหรินผู้นั้นล้วนนิ่งอึ้งไป

และหลังจากที่นิ่งอึ้งไป มุมปากหนิงเซ่าชิงก็เผยรอยยิ้มที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ออกมา ทั่วหน้าอิ่มเอิบไปด้วยความสุข!

ส่วนเจ้าอาวาสหยวนเหรินกลับมองมั่วเชียนเสวี่ยราวกับคิดอะไรบางสิ่ง เขายื่นมือออกมาลูบเครายาวที่อยู่ตรงหน้าอกแล้วพยักหน้า โดยไม่กล่าวอันใด

—————————–