ตอนที่ 318

My Disciples Are All Villains

ลู่โจวได้พักอยู่ในโรงเตี๋ยมของเมืองหรงเป่ย ในตอนนี้พระอาทิตย์ก็ยังไม่ตกดินไปซะทีเดียว ตัวเขาได้พูดกับหยวนเอ๋อออกมา “ส่งจดหมายหาเจียงอาเฉียนซะ บอกให้เขามาพบข้าที่นี่”

“เจ้านั่นจะมาหรอคะ?”

“ไปที่รับส่งจดหมายของคนธรรมดาที่ใกล้ที่สุดแล้วส่งจดหมายดู”

“หะ?” หยวนเอ๋อรู้ดีว่าสิ่งที่ได้ยินมันแปลก แน่นอนว่าการจะส่งนกพิราบสื่อสารด้วยตัวเองจะต้องเป็นวิธีการที่เร็วกว่าอยู่แล้ว ทำไมผู้เป็นอาจารย์ถึงเลือกส่งจดหมายด้วยวิธีของคนธรรมดาทั่วไปกันด้วย?

“ไปซะ”

“ค่ะ” หยวนเอ๋อที่ได้รับคำสั่งมาออกจากโรงเตี๊ยมไป

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะจ้องมองออกไปยังด้านนอก ตัวเขากำลังมองไปที่เมืองหรงเป่ยอยู่

เมืองหรงเป่ยกับเมืองรูหนานแท้จริงแล้วเป็นเหมือนเมืองๆ เดียวกัน เมืองทั้งสองอยู่ไม่ห่างกันมากนัก จากที่ลู่โจวรู้ เจียงอาเฉียนในตอนนี้อาศัยอยู่ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ตลอดเวลา

หยวนเอ๋อได้กลับมาจากการทำธุระ “ท่านอาจารย์ ศิษย์ทำสิ่งที่ท่านมอบหมายให้เสร็จแล้ว”

“อืม…เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว”

ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า ค่ำคืนนั้นลู่โจวไม่ได้นอนหลับ ตัวเขาใช้เวลาตลอดทั้งคืนไปกับการทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

มีคนเคาะประตูห้องของลู่โจว

“ผู้อาวุโส…ข้าเอง…”

ลู่โจวลืมตาขึ้น “เข้ามา”

เอี๊ยด!

เจียงอาเฉียนได้เปิดประตูก่อนที่จะเข้ามาภายในห้อง หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้โผล่หน้าไปมองทางขึ้นลงพร้อมกับโถงทางเดินก่อนที่จะปิดประตูอย่างระมัดระวัง ตัวเขาได้พิงประตูก่อนที่จะตบหน้าอกของตัวเอง เจียงอาเฉียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “นี่มันน่ากลัวจริงๆ …ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีใครตามข้ามา ข้านี่มันอัจฉริยะซะจริง!”

“เจียงอาเฉียน” ลู่โจวขึ้นเสียงเล็กน้อย

“ทะ…ท่านผู้อาวุโส” เจียงอาเฉียนได้โค้งคำนับให้ก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะ

ตัวเขาได้หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพูดออกมา “อย่าได้ถือสาข้าเลย”

“บอกข้ามาว่าเจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่?”

“หมายความว่าอะไรอีก? องค์ชายองค์ที่สองต้องการที่จะเคลื่อนไหวต่อต้านองค์ชายสี่ เรื่องทั้งหมดนี้ถูกเตรียมการมาแล้ว มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับศาลาปีศาจลอยฟ้าเลย จ้าวยู่เองก็ปลอดภัยดี” เจียงอาเฉียนได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“หืม?” ลู่โจวขมวดคิ้ว “เป็นอย่างที่คาดไว้”

“อย่างที่คาดไว้?” เจียงอาเฉียนมองไปที่ลู่โจวด้วยความสับสน ตัวเขาไม่รู้เลยว่าลู่โจวกำลังพูดอะไรอยู่กันแน่

“มีคนแอบอ้างเป็นเจ้าเพื่อส่งจดหมายไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า…”

“หะ?” เจียงอาเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นสั่นไปทั้งตัว ตัวเข่าได้แต่เกาหัว “เพราะแบบนั้นเองสินะ ข้าถึงสงสัยว่าทำไมท่านจู่ๆ ก็ใช้วิธีส่งจดหมายของคนธรรมดามาแทน ถูกของท่าน วิธีที่ธรรมดาที่ดูโง่ที่สุดก็มักจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยไปด้วย…เอ่อ คือว่าข้าไม่ได้หมายตั้งใจว่าท่านแบบนั้น ท่านผู้อาวุโส ท่านคิดว่าผู้ที่ทำแบบนั้นต้องการอะไรกัน?”

ลู่โจวเหลือบมองไปที่เจียงอาเฉียนก่อนที่จะเดินตรงไปยังหน้าต่าง ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นจากทางทิศตะวันออก

“หรือว่าคนคนนั้นจะเป็นศิษย์คนที่เจ็ดของท่านอย่างสีวู่หยากัน?” เจียงอาเฉียนยังคงคาดเดาต่อไป “ศิษย์ของท่านเพิ่งจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของข้าเมื่อไม่นานมานี้…เขายังสังหารผู้ที่คอยให้ข้อมูลของข้าไปกว่าหลายคนอืกด้วย ข้ายังไม่ได้พบกับศิษย์ของท่านเลย ศิษย์ของท่านกล้าหลอกลวงท่านมาที่นี่ได้ยังไงกัน? หรือว่าเขาพยายามที่จะฆ่าผู้เป็นอาจารย์ของตัวเองอยู่? ช่างโอหังยิ่งนัก!”

ลู่โจวยังคงนิ่งเงียบ ตัวเขาไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เจียงอาเฉียนพูดมีส่วนที่จะเป็นไปได้อยู่ แต่ถึงแบบนั้นสีวู่หยาก็คอยทำงานเคียงข้างกับยู่เฉิงไห่มาโดยตลอด พวกเขาทั้งคู่คงจะไม่ช่วยพวกราชสำนักเพื่อต่อสู้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่ สิ่งนี้ทำให้การคาดเดาของเจียงอาเฉียนดูไม่สมเหตุสมผล ทั้งคู่ไม่มีแรงจูงใจอะไรที่จะต้องทำแบบนี้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คนร้ายจะเป็นสีวู่หยา

“เจ้าแน่ใจแล้วหรอว่าคนของเจ้าเชื่อถือได้น่ะ?” ลู่โจวมองไปที่เจียงอาเฉียน

เจียงอาเฉียนที่ได้ฟังแบบนั้นก็ตกตะลึง โดยปกติแล้วตัวเขาไม่เคยคิดสงสัยใครและไม่คิดที่จะจ้างใครก็ตามที่ตัวเขารู้สึกสงสัย แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครสามารถไว้ใจได้ตลอดไป เจียงอาเฉียนเองก็ยืนยันไม่ได้ว่าคนของเขาจะจงรักภักดีกับตัวเขาตลอดไป

เจียงอาเฉียนมองไปที่ลู่โจวก่อนที่ตัวเขาจะพูดออกมาด้วยความสงสัย “ถ้าหากไม่ใช่สีวู่หยาก็จะต้องเป็นคนอื่นแน่ เฮ่อ…ใครกันที่โง่เขลามากพอที่จะแอบอ้างเป็นข้าแบบนี้ แต่ไม่ว่าจะยังไงท่านก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แล้วท่านจะมาที่หรงเป่ยทำไมกัน?” เจียงอาเฉียนได้พูดต่อไปโดยที่ไม่รอฟังคำตอบ “หรือว่าจะมาพยายามฆ่าม่อหลี่สินะ?”

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองในขณะที่มองไปยังทิวทัศน์ที่อยู่นอกหน้าต่าง “มีคนที่จะฆ่าม่อหลี่อยู่แล้ว”

“ว้าว ถ้าหากเป็นแบบนั้นพวกเราก็จะเข้าไปร่วมเป็นสักขีพยานอย่างงั้นสินะ?” เจียงอาเฉียนได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“พระอัครมเหสีทรงประทับอยู่ที่หมู่บ้านฤดูร้อนแล้ว ส่วนองค์ชายสองและองค์ชายสี่เองก็เดินทางไปยังพื้นที่ล่าสัตว์เช่นกัน…ข้าพนันว่าองค์ชายสองจะต้องเป็นฝ่ายชนะ แล้วท่านผู้อาวุโสละ ท่านคิดว่ายังไง?” เจียงอาเฉียนพูดออกมา

ลู่โจวมองไปยังเจียงอาเฉียน สีหน้าของเขายังดูเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลงไป สายตาของเขาจับจ้องไปที่เจียงอาเฉียน

เจียงอาเฉียนไม่ได้รู้สึกตกใจที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาอันเยือกเย็นนี้ ตัวเขาได้โบกมือก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเร่งรีบ “ข้าก็แค่ล้อเล่น ล้อเล่นเท่านั้น…”

ท้ายที่สุดแล้วองค์ชายทุกคนก็เป็นพี่น้องของเจียงอาเฉียน คนดีๆ ที่ไหนจะเอาพี่ชายน้องชายของตัวเองมาเดิมพันแบบนี้กัน?

“เจ้าพาข้าไปที่นั่นได้ใช่ไหม?” ลู่โจวไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรื่องนี้ แผนเดิมของเขาก็คือการที่อยู่ในโรงเตี๊ยมต่อไป แผนที่ตัวเขาได้วางเอาไว้ก็คือรอฟังรายงานสิ่งที่เล้งลั่วได้ทำ แต่ท้ายที่สุดแล้วเล้งลั่วก็เป็นยอดฝีมือชั้นสูง ถ้าหากเล้งลั่วออกไปอาละวาดจริง เมื่อถึงตอนนั้นคงจะไม่มีใครหยุดเขาได้แน่

“ข้าได้ยินมาว่าที่เมืองหรงเป่ยมีการก่อตัวของพลังเกิดขึ้น แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังแอบเข้าๆ ออกเมืองแห่งนี้ได้ ข้าได้ศึกษากลเม็ดของม่อหลี่มาอย่างละเอียดแล้ว” เจียงอาเฉียนพูดต่อ “ไม่ต้องห่วงไปท่านผู้อาวุโส…มีทางลับมากมายที่เชื่อมต่อกับหมู่บ้านแห่งนั้นอยู่ แม้แต่หลิวหยวนเองก็ยังไม่อาจรู้ได้ ณ ที่แห่งนี้ถ้าหากพวกเราอยากจะหนีก็ย่อมที่จะทำได้ตลอดเวลา แต่เดี๋ยวก่อนนะ…ด้วยพลังวรยุทธที่ท่านผู้อาวุโสมีพวกเราก็คงจะไม่จำเป็นจะต้องหนีอะไรอีก”

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นไม่ได้ขยับไปไหน ตัวเขากำลังคิดถึงคำพูดของฉินจาน คำพูดที่เล่าถึงเรื่องของคนเผาพระราชวังจิงเหอ เห็นได้ชัดว่าเจียงอาเฉียนได้ทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างก็เพื่อที่จะหาทางต่อต้านม่อหลี่ ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฉินจานพูดจะสมเหตุสมผลทุกอย่าง

ลู่โจวเคยสงสัยอะไรบางอย่างก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ที่เจียงอาเฉียนออกมาจากพระราชวัง ทำไมเขาถึงยังต้องสนใจเรื่องในพระราชวังอยู่อีกกัน? ดูเหมือนว่าเจียงอาเฉียนตั้งใจที่จะล้างแค้นให้กับชีวิตนับพันที่ต้องสูญเสียไปในคืนวันนั้น

ลู่โจวมองไปที่เจียงอาเฉียนอย่างระมัดระวัง ที่สหายคนนี้มักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอๆ ใครจะไปรู้กันว่าเขาจะมีอดีตอันเลวร้ายถึงเพียงนี้? ถ้าหากเจียงอาเฉียนไม่ได้เกิดมาเป็นองค์ชาย ตัวเขาก็คงไม่ต้องพบกันเหตุการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วลู่โจวก็พูดออกมาอย่างไม่แยแส “นำทางไป”

ในช่วงบ่าย ที่ทางเข้าเมืองหรงเป่ย

ทหารสองนายได้เดินเข้ามาภายในเมืองด้วยท่าทีที่สง่าผ่าเผย

ประชาชนต่างก็หลีกทางให้กับพวกเขา

หลิวหยวนองค์ชายสองที่กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “น้องสี่ ข้าคิดว่าเจ้าน่ะใช้เวลาอยู่ในพระราชวังมากเกินไปแล้ว ที่นั่นน่ะไม่เหมาะสำหรับทหารผ่านศึกอย่างเจ้าหรอกนะ”

“ท่านพูดเกินไปแล้วท่านพี่ สิ่งที่ข้าได้เจอเป็นเพียงแค่การต่อสู้ธรรมดาทั่วไป…ข้าก็แค่จัดการกับพวกสัตว์ร้ายไปก็เท่านั้น” หลิวปิงองค์ชายสี่ได้ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม

ในอีกความหมายหนึ่งตัวเขาได้เปรียบเปรยสนามรบที่ได้เจอว่าดูดุร้ายและบ้าคลั่งยิ่งไปกว่าสัตว์ร้ายซะอีก

หลิวหยวนพยักหน้า “เจ้าพูดถูกแล้วล่ะน้องสี่ พวกเรามาหาความสนุกใส่ตัวกันเถอะ เสด็จย่าจะพักอยู่ที่หมู่บ้านฤดูร้อนอีกกว่าหลายวันด้วยกัน นี่คงจะเป็นทางเดียวที่ชายหนุ่มของพวกเราจะพอสนุกเพลิดเพลินขึ้นมาได้”

“ใช่แล้วท่านพี่ อย่ามัวแต่คิดถึงอดีตเลย…ท่านพี่ข้าได้ยินมาว่าท่านกำลังเตรียมการอะไรบางอย่างให้กับเสด็จย่า?”

“ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อนไปน้องสี่ เมื่อเจ้าไปถึงหมู่บ้านเจ้าก็จะรู้เอง”

“ได้เลย!”

สองพี่น้องเริ่มเร่งฝีเท้าม้าก่อนที่จะเดินทางไปยังหมู่บ้านฤดูร้อนด้วยกัน

ที่ชั้นสองของบ้านหลังหนึ่งภายในหมู่บ้านฤดูร้อน

“เจ้าสำนักสี เมื่อคืนเจ้าได้พักผ่อนเต็มที่หรือไม่?” ฮั่นยูวานได้พูดออกมาด้วยสีหน้าเฉยเมย

สีวู่หยามองออกไปยังหมู่บ้านที่แสนจะเงียบสงบผ่านหน้าต่างก่อนที่จะพูดออกมา “มันก็ไม่ใช่คืนที่เลวร้ายอะไรหรอก…ข้าแค่อยากรู้ว่าโชว์ของเจ้าจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่กัน?”

“เจ้ารู้สึกกังวลสินะ? ฮั่นยูวานพูดติดตลกออกมา

“บางทีข้าอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้…” สีวู่หยาที่พูดจบหันกลับมาก่อนที่จะชี้นิ้วไปยังฮั่นยูวาน “แม่ทัพฮั่นผู้ใจกว้าง ข้ามั่นใจมากว่าท่านจะต้องยอมปลดพันธนาการของข้าให้แน่”

เมื่อได้ยินแบบนั้นลูกน้องทั้งสองที่อยู่ข้างๆ จึงตะคอกกลับมา “ไม่มีทาง เจ้าอย่าพูดเพ้อเจ้อไร้สาระอีกเลย…คำพูดของเจ้ามันโน้มน้าวกับพวกเราไม่ได้ผลหรอก ยังไงซะพวกเราก็จะจบชีวิตอันน่าสมเพชของเจ้าอยู่ดี!”

ฮั่นยูวานมองไปที่ลูกน้องคนนั้น “รักษามารยาทด้วย!” หลังจากพูดจบรอยยิ้มอันเบิกบานก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ในตอนนั้นฮั่นยูวานก็ได้พูดออกมาด้วยสีหน้าอันมืดมน “แก้มัดให้เขาซะ”