ตอนที่ 319

My Disciples Are All Villains

“ท่านแม่ทัพ!”

พรึ๊บ!

ฮั่นยูวานได้เอามือตบไปที่ปากของลูกน้องคนนั้น

ลูกน้องคนกระเด็นถอยกลับไปด้วยใบหน้าที่บวมเปล่ง หลังจากนั้นลูกน้องทั้งสองก็ล้มลงไปกับพื้น

“หลีกทางไปซะ” ฮั่นยูวานได้ตะคอกขึ้น

“ข้าน้อยผิดไปแล้ว! ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!”

ฮั่นยูวานไม่ได้พูดกับลูกน้องคนนั้นอีกต่อไป ตัวเขาได้หันไปยิ้มให้กับสีวู่หยาก่อนที่จะพูดออกมา “เขาก็เป็นแบบนั้นแหละ จิตใจของเขาตกอยู่ในความแค้นและความเกลียดชัง แม้ว่าจะมีข้อเสียแต่เขาก็ยังเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ภักดีที่สุดของข้าคนหนึ่ง พวกเราไม่ควรตัดสินหนังสือจากปก แม้ว่าเขาจะดูบุ่มบ่ามและไร้ความอดทน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังทำงานได้อย่างไร้ที่ติ เขาไม่เคยที่จะทำงานพลาดเลย” ในตอนนั้นฮั่นยูวานได้ยกมือขึ้นมาก่อนที่จะใช้พลังลมปราณเคลือบไปที่แขน ตัวเขาได้ถอนหายใจยาวๆ ออกมา ก่อนที่จะลงมือตัดเชือกที่มัดตัวสีวู่หยา

“ข้าประทับใจวิธีที่เจ้าจัดการกับลูกน้องจริงๆ แม่ทัพฮั่น ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่าใครกันแน่ที่อยากได้ตัวข้าถึงเพียงนี้ เจ้าพอจะบอกข้าได้ไหม?”

“จะรู้เรื่องนั้นไปมันก็ไร้ความหมาย…สิ่งที่ข้าพอจะทำให้กับเจ้าได้มีเพียงปกป้องเจ้าไม่ให้ใครได้แตะต้องจนกว่าเจ้าจะตายเท่านั้น” ฮั่นยูวานได้พูดออกมา

“บอกช้าสักหน่อยไม่ได้เลยหรอ?”

“นี่คือสิ่งที่เจ้าอยากจะรู้จริงๆ อย่างงั้นหรอ?”

“น่าสนใจดีนิ” สีวู่หยายิ้มให้

ฮั่นยูวานถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าฆ่าน้องชายที่สิ้นหวังของข้าไป ถ้าหากข้ายังมีนิสัยเดิมอยู่ ข้าก็คงจะสับเจ้าเป็นชิ้นๆ ก่อนที่จะส่งเจ้าไปตามหาน้องชายข้าในทันที แต่ข้าก็ไม่เลือกที่จะทำแบบนั้น ยังไงซะประโยชน์ส่วนรวมย่อมสำคัญกว่าประโยชน์ส่วนตนอยู่แล้ว”

“ฮั่นยูฟางผู้นำของหนูขโมยทั้งห้า ฝีมือการก่อจลาจลที่เมืองทางตอนเหนือเองก็เป็นฝีมือของพวกหนูขโมยเช่นกัน เจ้าเป็นหนึ่งในแม่ทัพใหญ่ของราชองครักษ์ สิ่งที่เจ้าทำกับเพิกเฉยต่อการกระทำน้องเจ้าโดยเห็นแก่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดนี้ เจ้าไม่รู้สึกละอายบ้างเลยหรอ?” สีวู่หยาพูดออกมา ถ้าหากจะแข่งกันถึงเรื่องโต้เถียง สีวู่หยาในตอนนี้ไม่เคยคิดกลัวฮั่นยูวาน ท้ายที่สุดแล้วฮั่นยูวานก็ยังเป็นคนที่มีความสามารถในการต่อสู้ที่มากกว่าการพูดคุยอยู่ดี

ฮั่นยูวานยิ้มให้ก่อนที่จะพูดออกมา “เป็นเพราะข้าได้รับการจ้างวานจากทางพระราชสำนัก เป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องทำงานให้ แต่เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกัน ถ้าหากข้าเป็นคนที่จับฮั่นยูฟางได้ข้าคนนี้ก็จะเป็นคนลงมือประหารเขาด้วยตัวเองอยู่ดี”

สีวู่หยาพยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าน่ะอยากรู้ซะจริง…ด้วยความสามารถที่ฮั่นยูฟางมี การที่เขาจะเดินเตร่ไปทั่วเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? ในตอนแรกข้าก็คิดว่าเจ้านั่นจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการหลบหนีเป็นพิเศษ แต่ถึงแบบนั้นการจะหลบหนีการจับกุมได้ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี แต่ในตอนนี้ข้าก็พบกับสาเหตุนั่นเข้าให้แล้ว”

ตุ๊บ!

ฮั่นยูวานได้เอามือทั้งสองข้างทุบลงบนโต๊ะ โต๊ะที่ตั้งอยู่กลางห้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆ “เจ้าสำนักสี เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะไม่กล้าลงมือกับเจ้าเพียงเพราะมีคนต้องการปกป้องเจ้า…ยังไงซะความอดทนของข้าก็ยังมีขีดจำกัดอยู่ดี”

ทันทีที่ฮั่นยูวานพูดจบ ลูกน้องคนหนึ่งของเขาก็ได้เดินเข้ามาภายในห้องก่อนที่จะกระซิบข้างหู เถ้าถ่านแห่งความโกรธแค้นได้หายไปในทันที ในตอนนั้นตัวเขาได้กลับมายิ้มอีกครั้ง

“เจ้าสำนักสี การแสดงจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” ฮั่นยูวานชี้ไปยังหมู่บ้านฤดูร้อน ที่ตรงที่เขาชี้คือฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำในหมู่บ้าน มันเป็นทางเข้าหมู่บ้านนั่นเอง ทุกอย่างสามารถมองเห็นได้ผ่านหน้าต่างจากที่พักแห่งนี้ นี่ถือว่าเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่ดีสำหรับการเฝ้ามองจริงๆ

พรึ๊บ! พรึ๊บ!

พรึ๊บ! พรึ๊บ!

ในท้ายที่สุดก็มีกองทหารขนาดใหญ่เดินเข้าหมู่บ้านมา กองทหารกองนี้ถูกนำโดยรถม้าขนาดใหญ่ที่มีผ้าม่านลายดอกไม้สีแดงปกคลุมอยู่ มันได้กระพือปีกไปตามสายลมอย่างพลิ้วไหว มีหญิงสาวจากพระราชวังเดินอยู่ข้างๆ รถม้าเต็มไปหมด

ผู้ที่เดินนำรถม้าคือยอดฝีมือที่อยู่ข้างกายของอัครมเหสี เขาคนนั้นก็คือหลี่หยุนเฉา ตัวเขาได้มองไปที่ด้านหน้า สายตาของเขาเอาจริงเอาจังและเต็มไปด้วยจิตสังหาร ขบวนรถม้าได้เดินไปด้านหน้าอย่างช้าๆ

นี่คือรถม้าของอัครมเหสีไม่ผิดแน่

“หยุดดดดด” เสียงอันแหลมคมของหลี่หยุนเฉาได้ดังไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ตัวเขาได้กระโดดขึ้นไปบนอากาศเพื่อตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัวก่อนที่จะค่อยๆ ร่อนลงข้างๆ รถม้า หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้พูดกับคนในรถม้า “อัครมเหสี, องค์หญิง พวกเรามาถึงแล้ว”

ในตอนนั้นเองทหารทั้งสองก็ได้โผล่ออกมาจากอีกด้านหนึ่งของหมู่บ้าน หลี่หยุนเฉาดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไร เขารู้ดีว่าทั้งสองคนเป็นใคร

ทหารทั้งสองได้มาหยุดต่อหน้ารถม้า

“เสด็จย่า!”

“เสด็จย่า!”

ในตอนนั้นเองหญิงชราที่ดูสง่างามและดูราวกับเป็นคนชนชั้นสูงก็ได้ปรากฏตัวต่อสายตาทุกคน นางได้เปิดผ้าม่านออกมาก่อนที่จะก้าวออกจากรถม้า ใบหน้าของนางดูซีดเซียวเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นสีหน้าของนางก็ไม่มีความเหนื่อยล้าเหลืออยู่เลย

จ้าวยู่รีบออกจากรถม้าก่อนที่จะพยุงนาง “ท่านย่า”

อัครมเหสีได้หันมาก่อนที่จะให้จ้าวยู่ช่วยพยุง “หลานรักของข้า”

จ้าวยู่ในตอนนี้แต่งกายตามชุดของหญิงสาวจากพระราชวังเช่นกัน ถ้าหากไม่ได้รู้จักนางเป็นการส่วนตัวมาก่อน คงจะไม่มีใครคาดคิดเลยว่าจ้าวยู่จะเป็นหนึ่งในจอมวายร้ายแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า

ภายในศาลาที่สีวู่หยาอยู่ ตัวเขารู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นจ้าวยู่ แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าจ้าวยู่เป็นลูกหลานของราชวงศ์ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังจะอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจอยู่ดีเมื่อเห็นนางอยู่กับอัครมเหสีแบบนี้

ฮั่นยูวานได้ยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “จ้าวยู่ศิษย์คนที่ห้าของศาลาปีศาจลอยฟ้า และนางยังเป็นลูกขององค์หญิงหยุนจ้าวอีกด้วย อัครมเหสีได้สั่งให้มีการแต่งตั้งให้จ้าวยู่กลายเป็นองค์หญิงจ้าวยู่ไปแล้ว น่าเสียดายจริงๆ นางจะเป็นองค์หญิงได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น”

“นางคือคนที่เจ้าอยากที่จะฆ่าอย่างงั้นสินะ?” สีวู่หยาได้ถามออกมา

“นางไม่ใช่แค่คนเดียวหรอกนะ…เจ้าเองก็ด้วย” ฮั่นยูวานได้มองไปที่สีวู่หยาด้วยรอยยิ้ม ตัวเขารู้สึกชื่นชอบความรู้สึกที่ได้ตัดสินชะตาชีวิตของใครบางคนแบบนี้จริงๆ มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้ตัวเขาอยู่เหนือผู้อื่น มันเป็นความรู้สึกที่น่ายินดียิ่งกว่าตอนที่ตัวเขาได้เหยียบย่ำศัตรูในสนามรบซะอีก

อัครมเหสีได้เหลือบมองไปที่องค์ชายสองและองค์ชายสี่ก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆ “เจ้าสองคนลุกขึ้นเถอะ ที่นี่ไม่ใช่พระราชวัง”

“เสด็จย่า ข้ารู้ดีที่ท่านมาที่นี่ก็เพื่อที่จะต้องการพักฟื้น เพราะแบบนั้นพวกเราก็เลยอยากที่จะมาพบท่าน นอกจากนี้พวกเรายังจ้างพ่อครัวที่เก่งที่สุดในเมืองหรงเป่ยเอาไว้แล้วด้วย” หลิวหยวนได้พูดขึ้น

เป็นธรรมดาที่หลิวปิงจะไม่ยอมปล่อยให้ผู้เป็นพี่ชายได้หน้าได้ตาไปคนเดียว ตัวเขาได้พูดต่อ “เสด็จย่า ข้าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของท่านจริงๆ … มันคงจะดีกว่าถ้าหากพวกเราปิดหมู่บ้านแห่งนี้ไว้ไม่ให้คนนอกได้ย่างกายเข้ามา”

“ขันทีหลี่อยู่ที่นี่ ยังไงซะเขาก็เป็นคนที่ข้าไว้วางใจได้ เพราะแบบนั้นพวกเจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ”

หลี่หยุนเฉาขมวดคิ้ว ‘ท่านเลือกที่จะเชื่อใจพวกเขา แต่สำหรับข้าไม่ได้คิดแบบนั้นเลย’

อัครมเหสีได้โบกมือของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “ในที่สุดข้าก็มีโอกาสที่จะออกมาสูดอากาศอันบริสุทธิ์ที่นอกพระราชวังสักที หยุดทะเลาะกันได้แล้ว”

“พวกเราเข้าใจแล้ว”

ทุกๆ คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็โค้งคำนับให้

จ้าวยู่ได้ประคองอัครมเหสีให้เดินออกจากรถม้าก่อนที่จะเดินเข้าไปในหมู่บ้าน

ที่หมู่บ้านแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยผู้คุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่มีใครที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้อีกต่อไป

ในขณะเดียวกันรถม้ากว่าหลายคันได้แล่นไปใกล้ๆ กับหมู่บ้านฤดูร้อนอย่างช้าๆ

ภายในรถม้ามีลู่โจวและหยวนเอ๋อที่กำลังมองเจียงอาเฉียนอยู่ ในตอนนี้เจียงอาเฉียนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่แสนจะดูแปลกประหลาด

เจียงอาเฉียนที่ถูกจ้องมองได้พูดออกมาอย่างเชื่องช้า “ท่านทั้งสองหยุดมองข้าได้แล้ว…ข้าก็แค่เตรียมตัวมาให้พร้อมก็เท่านั้น…”

“นี่ก็เพื่อย่าของเจ้าอย่างงั้นหรอ?” ถ้าหากลู่โจวไม่ทันได้สังเกต ประสบการณ์ที่ตัวเขามีมากว่าพันปีก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับตัวเขา “ข้าก็แค่ตอบแทนในสิ่งที่ได้หยิบยืมมาก็เท่านั้น…” เจียงอาเฉียนได้พูดขึ้นพลางเกาหัวอย่างเชื่องช้า เป็นเวลานานแล้วที่ตัวเขาไม่ได้เห็นย่าของตัวเองแบบนี้ แม้ว่าเจียงอาเฉียนจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับทุกคน แต่คนเหล่านั้นไม่ได้รวมย่าของตัวเขาไว้ด้วย

“ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ” ลู่โจวได้พูดขึ้นพร้อมกับลูบเคราของตัวเองไปด้วย

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นท่านผู้อาวุโส…ข้ายังอยู่อีกไกลกับลูกศิษย์คนที่เจ็ดของท่าน…ท่านอาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้ก็ได้ ในตอนที่ลูกศิษย์ท่านต้องการกำจัดสำนักแห่งความบริสุทธิ์ ในตอนนั้นเขาก็ได้ปลุกปั่นคนกว่า 200 คนให้เข้าโจมตีสำนักแห่งความบริสุทธิ์ เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ข้ารู้สึกประทับใจจริงๆ …” เจียงอาเฉียนพูดขึ้น

“แล้วเจ้ามีคนอยู่รอบตัวองค์ชายสองหลิวหยวนอยู่กี่คนกัน?” ลู่โจวถามกลับ