บทที่ 378 เช่นนั้นท่านตีก้นข้าดีหรือไม่

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 378 เช่นนั้นท่านตีก้นข้าดีหรือไม่

บทที่ 378 เช่นนั้นท่านตีก้นข้าดีหรือไม่

เพียงไม่นานเสี่ยวเป่าก็เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าท่านพ่อไม่ได้ต้องการจะตีนางแต่อย่างใด เพียงแต่ให้หมอหลวงจางนำถ้วยยาเข้ามา

เพียงได้กลิ่นขมของยาก็สามารถทำให้นางร้องไห้ออกมาได้แล้ว

เสี่ยวเป่าปิดจมูกน้อย ๆ รู้สึกได้ว่าใบหน้าตนเองซีดเซียวลงหลายส่วน

นางต้องการจะวิ่งหนี ทว่ากลับถูกฝูไห่หยุดเอาไว้พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

“องค์หญิง ฝ่าบาทรับสั่งให้กระหม่อมพาท่านไปหา”

ดวงตาของเสี่ยวเป่ากลอกกลิ้งอย่างใช้ความคิด ก่อนจะรีบกุมท้องตนเองร้องอยากไปห้องน้ำด้วยท่าทางน่าสงสาร

ฝูไห่เอ่ยด้วยความรักอย่างสุดหัวใจ “องค์หญิงน้อยผู้น่าสงสาร…”

ยามที่เสี่ยวเป่าคิดว่า ‘แผนการ’ ของตนเองสำเร็จแล้ว ฝูไห่ก็เข้ามาอุ้มนางเพื่อไปส่งให้ถึงเบื้องหน้าท่านพ่อ

เสี่ยวเป่า “…”

เสี่ยวเป่า “!!!”

ฝูไห่กงกง ท่านเปลี่ยนไป ไม่ใช่กงกงที่รักนางสุดหัวใจอีกต่อไป!

หนานกงสือเยวียนอุ้มลูกสาวเอาไว้ จากนั้นก็มองดูยาบนโต๊ะด้วยรอยยิ้ม

รอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจของเสี่ยวเป่าสั่นสะท้าน

“ปวดท้องหรือ”

เสี่ยวเป่าปิดจมูกระหว่างกลืนน้ำลายพลางพยักหน้า

ใช่แล้ว นางปวดท้องต้องการไปห้องน้ำ ท่านพ่อปล่อยนางไปเถิด

“ดื่มยาเสียก่อนค่อยไป”

เสี่ยวเป่าพลันทรุดตัวลงทันใดพร้อมมองท่านพ่อด้วยแววตาน่าสงสาร พยายามทำตัวน่ารักออดอ้อนอย่างยิ่ง

ทว่าลูกไม้นี้กลับใช้ไม่ได้ผลกับฮ่องเต้บางคน “กินยาเสีย”

เสี่ยวเป่าร้องไห้แล้วชูมือเล็ก ๆ ขึ้น “เช่นนั้น เพิ่มน้ำตาลลงไปหน่อยได้หรือไม่”

“เจ้าว่าอย่างไร ต้องดื่มแบบนี้จึงจะรู้จักจดจำได้นาน ๆ ครั้งหน้าหากมีอีกเกรงว่าจะไม่จบแค่เพียงถ้วยเดียว”

เสี่ยวเป่า : …ท่านพ่อใจร้าย!

“เช่นนั้น เช่นนั้นท่านตีก้นข้าดีหรือไม่”

มุมปากของหนานกงสือเยวียนกระตุก เด็กน้อยเต็มใจถูกตีก้นเพื่อให้ไม่ต้องกินยา

การทัดทานอย่างถึงที่สุดไม่สำเร็จ สุดท้ายเสี่ยวเป่าก็ต้องบีบจมูกกลั้นใจดื่มยา

เมื่อดื่มเสร็จแล้วนางก็นอนลงราวกับถูกวางยาพิษที่เหลือชีวิตรอดอีกไม่นาน ท่าทางดูซังกะตายยิ่ง

“พรุ่งนี้ไม่อนุญาตให้กินข้าวเย็น หลังจากนี้เป็นต้นไปสามารถกินปิงจีหลิ่นที่เจ้าทำได้วันละแท่งเท่านั้น”

เสี่ยวเป่า : สภาพเจียนตายก็กระเด้งขึ้นมาทันที!

“ท่านพ่อ อากาศร้อนถึงเพียงนี้ เสี่ยวเป่ากำลังจะละลายแล้ว QAQ”

หนานกงสือเยวียน “ห้าวันหลังจากนี้ค่อยไปพระราชวังฤดูร้อน”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เสี่ยวเป่าก็กลับมาสบายดีอีกครั้ง ก่อนจะรับชาที่ชุนสี่ส่งมาให้

นางเม้มริมฝีปากลง ด้วยน้ำชาอุ่น ๆ ทำให้ในที่สุดรสขมในปากก็เลือนหาย

“ท่านพ่อ เมื่อไปพระราชวังฤดูร้อนแล้ว เช่นนั้นจะทำอย่างไรกับการเก็บเกี่ยวยามสารทฤดูเล่า”

พวกเขากลับมาช้าไปหน่อย ความจริงแล้วหากไม่ไปหนานจ้าว พวกเขาก็ควรไปยังพระราชวังฤดูร้อนตั้งแต่สองเดือนก่อน

ถ้าหากพวกเขาไปตอนนี้ ก็จะสามารถอยู่เล่นในพระราชวังฤดูร้อนได้ประมาณหนึ่งเดือน อีกทั้งยังจะพลาดการเก็บเกี่ยวยามสารทฤดู

“ไม่เป็นไร การเก็บเกี่ยวยามสารทฤดูย่อมต้องมีผู้ดูแลนับผลเก็บเกี่ยว”

หลังจากการเก็บเกี่ยวยามสารทฤดูก็จะมีการเก็บภาษีการเกษตร ใช้เวลาไม่น้อยในการส่งผลผลิตจากทั้งอาณาจักรเข้ามา

เสี่ยวเป่าเบิกบานใจเป็นอย่างมาก คิดไปถึงว่าจะเล่นอันใดในพระราชวังฤดูร้อนเสียด้วยซ้ำ

ของเล่นในปัจจุบันน่าเบื่อเกินไป นางจะต้องเข้าไปในห้องสมุดเพื่อดูว่ามีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่

“ฝ่าบาท ถ่านหินสามารถเผาไหม้ได้นานประมาณสองชั่วยาม อีกทั้งยังอุณหภูมิสูงกว่าถ่านไม้เป็นอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนหยิบบันทึกการเผาไหม้ของถ่านหินขึ้นมาดู ด้านบนยังระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าสิ่งนี้มีกลิ่นฉุนยามเผาไหม้ และเปรียบเทียบกับถ่านไม้แล้วเป็นเช่นใด

การเผาถ่านไม้เองก็มีพิษเช่นกัน แม้จะไม่ทราบอย่างชัดเจนแต่ทุกคนต่างก็รู้ว่าไม่อาจปิดหน้าต่างสนิทยามจุดถ่านในฤดูหนาวได้

ถ่านหินมีกลิ่นมากกว่าถ่านไม้ ด้วยข้อเสียเพียงเล็กน้อยนี้ เมื่อเทียบคุณประโยชน์แล้วถ่านหินย่อมดีกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ตามที่เสี่ยวเป่ากล่าว สิ่งนี้เกิดขึ้นจากพื้นดิน นับเป็นผลผลิตด้านแร่

ดังนั้นเขาจึงต้องเขียนจดหมายถึงองค์ชายรองโดยเร็วที่สุด ให้เขาตามหาเหมืองถ่านหินให้พบโดยไว สิ่งนี้มีคุณประโยชน์ต่ออาณาจักรอย่างใหญ่หลวง ทำให้มีคนสามารถอยู่รอดมากขึ้นในฤดูหนาว

ฮ่องเต้ในสมัยโบราณ คนนับว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญสุด

ไม่ว่าจะเป็นการรบหรือเก็บภาษี ยิ่งมีคนมากเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น

เขายังต้องนำถ่านหินที่เหลือไปให้กรมโยธา เพื่อดูว่ามันจะสามารถละลายเหล็กให้เหลวตามที่เสี่ยวเป่าเอ่ยได้หรือไม่

ในวันนั้นหนานกงฉีอวิ๋นถูกเสด็จพ่อเรียกตัว เสด็จพ่อเพียงโยนถุงหินสีดำให้กับเขา เขารู้สึกงงงวยยิ่ง

หนานกงฉีอวิ๋นก้มมอง นี่คือสิ่งใดหรือ

เมื่อลองดูอีกครั้ง หินสีดำขลับเหล่านี้ช่างดูคุ้นตาอยู่บ้าง

ทันใดนั้นเองความคิดหนึ่งพลันแวบขึ้นมาในหัว เขาเบิกตากว้างแล้วเอ่ยถาม “เสด็จพ่อ นี่คือถ่านหินที่เสี่ยวเป่าพูดถึงหรือ”

หนานกงสือเยวียนพยักหน้า “เป็นเรื่องบังเอิญ ในบรรดาสิ่งที่พี่รองของเจ้าส่งมาเป็นของขวัญให้เสี่ยวเป่ามีถ่านหินอยู่ ข้าทดสอบมันแล้ว ถ่านหินนี้สามารถเผาไหม้ได้ประมาณสองชั่วยาม

สองชั่วยาม นานปานนั้น!

ดวงตาของเขาร้อนแรงมากขึ้นยามมองถ่านหิน การผลิตอาวุธนั้นสิ้นเปลืองถ่านไม้เป็นอย่างมาก ไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดอีกแล้ว ถ่านหินสามารถช่วยให้พวกเขาประหยัดทรัพยากรได้เป็นอย่างมาก

“ส่วนที่เหลือให้กรมโยธาของเจ้า เอาไปทดสอบเสียว่าสามารถละลายเหล็กให้เหลวได้จริงหรือไม่”

หนานกงฉีอวิ๋นรับคำ เมื่อเขาออกไปก็พบเข้ากับเจ้าก้อนแป้งที่อยู่ด้านนอก

หนานกงฉีอวิ๋นหัวเราะออกมาเล็กน้อย “เสี่ยวเป่า เจ้ามาทำอันใดที่นี่ เหตุใดจึงไม่เข้าไปหาเสด็จพ่อเล่า”

เสี่ยวเป่าปิดปากแล้วส่ายหัวอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ใช้ขาสั้น ๆ เดินมาหาเขาแล้วเอ่ยด้วยเสียงกระซิบ “พี่สาม เสี่ยวเป่าจะไปกับท่านด้วย”

ตอนนี้นางยังคงหวาดกลัวว่าท่านพ่อจะให้หมอหลวงจางนำยามาให้นางกินอีก นางจึงคิดจะไปหลบภัยกับพี่สามเป็นการชั่วคราว

“เจ้าทำอะไรอีก”

ท่าทางหวาดกลัวเสด็จพ่อเช่นนี้แสดงให้เห็นว่านางมีชนักติดหลัง

เสี่ยวเป่าตอบ “เสี่ยวเป่ากลัวว่าท่านพ่อจะให้กินยาอีก”

“เจ้าไม่สบาย? ปวดหัวหรือปวดท้อง? ตอนนี้เจ้าหายดีแล้วหรือ”

เมื่อได้ยินนางบอกว่ากินยา หนานกงฉีอวิ๋นก็ถามขึ้นมาอย่างเป็นกังวลทันที

“หายดีแล้ว ตอนนี้เสี่ยวเป่าหายดีแล้วจริง ๆ หากท่านไม่เชื่อก็ดูหน้าเสี่ยวเป่าสิ มีสีแดง ทั้งยังมีแรงกระโดด เพียงแค่… เพียงแค่กินของเย็นมากไปจนรู้สึกปวดท้องเล็กน้อย”

หลังจากหนานกงฉีอวิ๋นแน่ใจแล้วว่านางไม่เป็นอันใด ก็ลูบหัวน้อย ๆ ของนางแผ่วเบา

“เด็กตะกละ ครั้งหน้าอย่างได้ทำเช่นนี้อีก อย่าได้กินของเย็นมากเกินไป ไม่เช่นนั้นฟันเจ้าก็จะปวดด้วย”

เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แต่เขาที่รู้จักเด็กน้อยเป็นอย่างดีย่อมไม่เชื่อโดยง่าย

“หากเจ้าทำจนไม่สบายอีก เสด็จพ่อจะต้องสั่งให้หมอหลวงจางทำยาขมกว่าเดิมให้เจ้ากินแน่”

เสี่ยวเป่า : นางจะซื่อสัตย์จริงๆ แล้ว ตอนนี้รสชาติของยาถ้วยนั้นได้สลักลึกลงในใจนางแล้ว

ทว่านางก็ยังคงต้องการตามพี่สามออกจากวัง เหตุผลก็เพราะนางหมายจะเตรียมของขวัญให้กับพี่รอง

วันเกิดของพี่รองใกล้มาถึงแล้ว

ทันทีที่พวกเขาเพิ่งออกจากประตูพระราชวัง หนานกงสือเยวียนก็รู้ข่าว

เขาเอ่ยโดยไม่เงยหน้าขึ้น “ให้คนไปคุ้มครองความปลอดภัยขององค์หญิง”

ตอนนี้เด็กน้อยคงไม่อยากเจอหน้าเขา

ไม่นานก็มาถึงกรมโยธา เสี่ยวเป่าติดตามพี่สามเข้าไปในโรงผลิตอาวุธ หลังจากนั้นหนานกงฉีอวิ๋นก็เรียกช่างตีเหล็กมา แล้วอธิบายสรรพคุณของถ่านหินก่อนเริ่มทำการทดสอบ

“สิ่งนี้สามารถเผาไหม้ได้จริงหรือ”

ช่างตีเหล็กร่างสูงกำยำผู้หนึ่งหยิบถ่านหินขึ้นมามอง “แต่สิ่งนี้เป็นหิน”

“พูดอันใด ฝ่าบาทบอกว่าเผาได้ก็ต้องเผาได้อย่างแน่นอน เหตุใดจึงต้องโกหกพวกเราด้วย”