บทที่ 379 เส้นทางสายไหม
บทที่ 379 เส้นทางสายไหม
เหล่าช่างตีเหล็กยังไม่ปักใจเชื่อ แต่ก็ทำตามอย่างว่าง่าย
ด้านหนานกงฉีอวิ๋นก็อยากรู้ไม่ต่างกันจึงติดตามเข้าไปด้วย แม้รู้ดีว่าข้างในนั้นจะร้อนเพียงใด
เสี่ยวเป่าเองก็…
นางกอดน้ำแข็งก้อนใหญ่เดินตามหลังพี่สามเข้าไปติด ๆ
“ติดไฟแล้ว ถ่านหินนี้เผาไหม้ได้จริงด้วย โอ้… ให้ความร้อนสูงมาก”
เหล่าช่างตีเหล็กล้วนไม่สวมเสื้อ อวดแขนล่ำสันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ต่างตื่นตาตื่นใจที่ถ่านหินเผาไหม้ได้ดี ทว่าก้อนน้ำแข็งที่เรียงรายอยู่ทั่วบริเวณกลับละลายอย่างรวดเร็ว
คนทั้งหลายเหงื่อไหลพราก ทว่าความร้อนก็มิได้มอดไหม้ความกระตือรือร้นของบรรดาช่างตีเหล็กแม้แต่น้อย
เสี่ยวเป่ายืนมองผู้คนที่กำลังตีเหล็กหลอมอย่างขันแข็ง ทว่าในหัวกลับครุ่นคิดเรื่องอื่น
เหล็กเกิดสนิมง่ายจึงสึกหรอเร็ว นางอยากมอบของขวัญที่ดีที่สุดให้พี่รอง
ฉะนั้นต้องหาวัสดุที่ดีที่สุดมาตีดาบ
โรงตีเหล็กร้อนเกินไป เสี่ยวเป่ากับหนานกงฉีอวิ๋นจึงต้องรีบออกมา
หนานกงฉีอวิ๋นยังตื่นตาตื่นใจกับสิ่งใหม่ ตั้งใจว่าจะรีบไปเขียนจดหมายถึงพี่รอง เสี่ยวเป่าก็เช่นกัน นางเขียนจดหมายพร้อมวิธีทำน้ำเชื่อมผลไม้และน้ำแข็ง ก่อนจะมุ่งหน้าไปห้องสมุด
ยามนี้นางจึงกำลังวุ่นวายอยู่กับการอ่านตำรา ทั้งตำราการเกษตร การปศุสัตว์ การหลอมเหล็ก และการทำอาวุธ บนโต๊ะยังมีตำราอีกหลายประเภทวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
หนานกงสือเยวียนที่เดินเข้ามาดูพลันมีสีหน้าจนใจ ทำได้เพียงช่วยแยกประเภทตำราให้นาง ก่อนจะหมุนตัวกลับไปศึกษาเกี่ยวกับการสอบเคอจวี่และตำราการค้าขายต่อ
เสี่ยวเป่าชอบอ่านแต่ไม่ชอบจด ต่างจากผู้เป็นพ่อที่ชอบอ่านไปพลางจดสรุปไปพลาง เพราะมันช่วยประหยัดเวลาได้มาก
ยังมีตำราอีกมากมายที่เขาอยากอ่าน หนานกงสือเยวียนรู้สึกเหมือนตนได้เปิดประตูสู่โลกกว้าง และได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากตำราเหล่านี้
ทว่าแต่ละวันของเขานั้นราชกิจรัดตัวยิ่ง แทบไม่มีเวลาเหลือมาอ่านตำราเหล่านี้ ทำได้เพียงใช้เวลาว่างอันน้อยนิดค่อย ๆ ศึกษาไปทีละน้อย
ประการแรก เขาต้องสรรหาขุนนางผู้มีความสามารถจากการสอบเคอจวี่ เพื่อถ่วงดุลอำนาจของเหล่าขุนนางตระกูลใหญ่
ประการต่อมา เขาจะต้องหารายได้เข้าท้องพระคลัง พักการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ตระเตรียมเสบียงอาหารให้เพียงพอ เตรียมการบุกเป่ยเยว่
อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเป่ยเยว่จะตกอยู่ในความโกลาหล ไม่ใช่แค่ต้าเซี่ยที่หมายตาเป่ยเยว่ แต่พวกซยงหนูก็จับจ้องไม่ต่างกัน คนพวกนั้นจะต้องเตรียมการเข้าไปแทรกแซงราชวงศ์เป่ยเยว่เป็นแน่ หากสบโอกาสก็จะเข้าไปฉกฉวยเนื้อชิ้นใหญ่
หนานกงสือเยวียนจะใช้โอกาสในช่วงสองสามปีนี้พัฒนากองทัพ กักตุนเสบียงอาหาร หญ้า และเงินให้พร้อม
ในส่วนของพืชพันธุ์ธัญญาหารนั้นไม่น่าห่วง เพราะมีเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูงจากเสี่ยวเป่า ทั้งยังมีนโยบายลดภาษีการเกษตรและพื้นที่ทำกิน ขอเพียงไม่เกิดภัยพิบัติใหญ่หลวง ย่อมได้ผลผลิตเป็นที่น่าพึงพอใจ
แต่เงินนั้น…
หนานกงสือเยวียนไล่นิ้วเรียวตามตัวอักษร แววตาลุ่มลึกเกินจะคาดเดาจดจ้องตำราในมือ
“เส้นทางสายไหม…”
นั่นเป็นสิ่งที่เขาค้นพบจากตำราประวัติศาสตร์ นับว่าเป็นหนทางหาเงินที่ดีอีกหนึ่งวิธี
ทว่ามีปัญหาอยู่สองประการ
หนึ่งคือเส้นทางสายไหมมีสองเส้นทาง เส้นทางแรกคือทางบก อีกเส้นทางคือทางทะเล
หากจะต้องการสัญจรไปตามเส้นทางสายไหมนั้นจำเป็นต้องเดินทางผ่านชนเผ่าทุ่งหญ้า
ทว่าเผ่าทุ่งหญ้านั้นมีความซับซ้อนยิ่ง กษัตริย์ซยงหนูจ้องจะเล่นงานต้าเซี่ยเป็นทุนเดิม หากคาราวานพ่อค้าของต้าเซี่ยต้องเดินทางผ่านใต้จมูกคนพวกนั้น นอกจากจะไม่ปลอดภัยต่อชีวิตแล้ว ทรัพย์สินยังจะถูกปล้นไปได้ง่าย ๆ หากเป็นเช่นนั้น นี่ก็นับว่าเป็นหนทางที่อันตรายและยากลำบากยิ่ง ทั้งยังจะเพิ่มความขัดแย้งให้ทั้งสองฝ่าย
ฉะนั้นแล้วเพื่อความรุ่งเรืองของต้าเซี่ย เขาจำเป็นต้องกำจัดชนเผ่าทุ่งหญ้าอย่างชาวซยงหนู รวมถึงพวกที่จ้องจะรุกรานแผ่นดินต้าเซี่ยให้สิ้นซาก!
หนานกงสือเยวียนครุ่นคิดด้วยจิตใจอันแน่วแน่ ดวงตาทอประกายจิตวิญญาณอันแรงกล้า
เส้นทางสายไหมทางทะเลนั้นเดินทางได้ง่ายกว่า ทว่าติดที่ต้าเซี่ยยังไม่มีเรือเดินสมุทร
นับเป็นปัญหาด้านสิ่งประดิษฐ์ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดแคลนทุนทรัพย์
เนื่องจากการต่อเรือและสร้างท่าเรือต้องใช้เงินจำนวนมาก
แม้ก่อนหน้านี้ท้องพระคลังจะมั่งคั่งเพราะขนแกะหนานจ้าว แต่พอคำนวณอย่างถ้วนถี่แล้ว หากจะต่อเรือจริง เงินที่มีในคลังตอนนี้ก็ยังไม่เพียงพอ
แต่หนานกงสือเยวียนคำนึงถึงผลประโยชน์ระยะยาว อย่างไรเสียก็ต้องสร้างท่าเรือ เพื่อสัญจรผ่านเส้นทางสายไหมทางทะเลให้ได้
ถึงอย่างไรก็มีสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรเพื่อนบ้านที่เรือต้องแล่นผ่านอยู่แล้ว หนทางสร้างรายได้ดี ๆ เช่นนี้ หากไม่คว้าเอาไว้ เขาคงผิดหวังในตัวเองอย่างยิ่ง
“แผนที่โลกา”
เสี่ยวเป่าที่นั่งสัปหงกได้ยินท่านพ่อพึมพำถึงแผนที่โลกาจึงเอ่ยเสียงงัวเงีย
“อยู่ในตำราภูมิศาสตร์ ชั้นสอง แถวสาม นับจากทางซ้ายเพคะ”
พูดจบก็ฟุบหน้าลงบนโต๊ะ แก้มอ้วนข้างหนึ่งแนบลงบนแขนจนปากเล็ก ๆ เผยอออก น้ำลายไหลย้อย
หนานกงสือเยวียนที่กำลังจดจ่ออยู่กับแผนที่โลกายุคแรกในตำราประวัติศาสตร์ “…”
โชคดีที่ข้างในห้องสมุดเงียบสงบ อากาศไม่ได้หนาวเย็นเท่าใดนัก
ผู้คนที่อยู่ข้างในนี้จึงเกิดสมาธิ จดจ่อกับตำราได้อย่างเต็มที่
เขาหยัดกายขึ้นเพื่อเดินไปหาตำราภูมิศาสตร์ตามที่เสี่ยวเป่ากล่าวถึง ทันทีที่เปิดตำราเล่มนั้นก็พบว่าหน้าแรกเป็นแผนที่โลกาที่ถูกพับเอาไว้
เทียบกับแผนที่โลกายุคแรกแล้ว แผนที่นี้มีรายละเอียดชัดเจนกว่ามาก หนานกงสือเยวียนถึงกับตกตะลึกกับภาพตรงหน้าอยู่พักหนึ่ง
นัยน์ตาเบิกกว้างจดจ้องภาพตรงหน้าไม่พูดไม่จา เสียงเดียวยังได้ยินก็คือเสียงกรนเล็ก ๆ ของเสี่ยวเป่า
ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง และแล้วเขาก็ค้นพบดินแดนที่พอจะคาดเดาได้ว่าเป็นดินแดนที่พวกเขาครอบครองอยู่ในเวลานี้
“ที่แท้… ผืนดินเล็กขนาดนี้เชียวหรือ”
กาลเวลาผันผ่าน ผืนดินก็ยิ่งเล็กลง
ชายผู้หนึ่งทอดสายตาลุ่มลึกมองผืนสมุทรกว้างใหญ่บนแผนที่
หนานกงสือเยวียนไม่เคยเห็นทะเลมาก่อน ทว่าบัดนี้เขารู้แล้วว่าผืนสมุทรนั้นกว้างใหญ่กว่าผืนดินยิ่งนัก นับเป็นอีกเรื่องน่าทึ่งที่พึ่งได้เรียนรู้
ก่อนจะหลุดหัวเราะเสียงแผ่ว “หากไม่มีเสี่ยวเป่า ข้าคงเป็นได้เพียงกบในกะลา”
ผืนดินที่ตนยืนอยู่ในยามนี้นั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ผ่านมาเขาเข้าใจว่านี่คือใต้หล้าทั้งหมดแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าใต้หล้านี้กว้างใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการ
หนานกงสือเยวียนตัดสินใจด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่เป็นไร จากนี้ไปทั้งหมดจะต้องตกเป็นของเขา
หนานกงสือเยวียนพินิจพิเคราะห์แผนที่โลกาอย่างถี่ถ้วนพร้อมวางแผนในใจ
หากต้องการขยายดินแดนจะต้องทำให้อาณาจักรมั่นคงเสียก่อน ประการแรกต้องใช้คนที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยบริหารบ้านเมือง ประการที่สองต้องทำให้ราษฎรเป็นหนึ่ง ตระหนักว่าทุกคนเป็นเจ้าของอาณาจักร จำต้องช่วยกันดูแล และประการที่สามท้องพระคลังต้องมีทุนทรัพย์เพียงพอ
ฉะนั้นแล้ว… เขาจะต้องทำเป้าหมายทั้งสามให้สำเร็จเสียก่อน
……
วันที่ต้องเดินทางไปพระราชวังฤดูร้อนใกล้เข้ามาถึง เสี่ยวเป่าจึงมอบข้อมูลเกี่ยวกับการตีเหล็กที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ให้พี่สามกับช่างตีเหล็ก พร้อมอธิบายรายละเอียดของอาวุธที่นางต้องการ
จากนั้นก็หมดหน้าที่ของนาง งานฝีมือต้องอาศัยทักษะและความชำนาญ นางมีเพียงความรู้จากในตำรา ฉะนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของช่างผู้เชี่ยวชาญดีกว่า
แต่หากถ่านหินใกล้หมด ก็จะมีการขนส่งถ่านหินชุดใหม่ส่งตรงมาจากทางเหนือ
บัดนี้เสี่ยวเป่ากับคนอื่น ๆ จึงอยู่ที่พระราชวังฤดูร้อนกันพร้อมหน้า
“เยว่หลีช่วยส่งเหล้าตรงนั้นให้ข้าที”
เสี่ยวเป่าผู้ว่างจนต้องหาอะไรทำ จึงพาเยว่หลีและเหล่าพี่ชายสรรหาอะไรทำไปเรื่อย
ในขณะที่ท่านพ่อ พี่ใหญ่ และพี่สามงานยุ่งจนไม่มีเวลาดูแลพวกเขา เยว่หลีจึงหลุดพ้นจากเงื้อมมือพี่ใหญ่ ดีใจกับเขาจริง ๆ
เยว่หลีไปอยู่ที่จวนของพี่ใหญ่เพียงไม่กี่วันพลันดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ดูเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อย