บทที่ 290 ที่มีปัญหาคือนาย

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

พิชิตปิดประตูห้อง“เมื่อกี๊วารุณีถามฉันหนึ่งคำถาม ถามว่าสุขภาพของเธอมีปัญหาหรือไม่ ฉันบอกว่าไม่ใช่ นั่นเพราะว่าคนที่สุขภาพมีปัญหา คือแก”

สีหน้านัทธีเปลี่ยนไปเล็กน้อย“ฉัน?”

“ถูกต้อง!”พิชิตถอดแว่นออกมาเช็ด“เมื่อกี๊ตอนที่คุณหมอสุรเวชตรวจให้วารุณี พบว่าในร่างกายของเธอยังมีสิ่งของของแกหลงเหลืออยู่ จากของสิ่งนั้นแล้ว พวกเราพบว่า แกในตอนนี้ เป็นหมัน ดังนั้นนี่คือสิ่งที่ฉันบอกว่า ครั้งหน้าพวกแกก็ไม่แน่ว่าจะมีลูกได้”

“เป็นหมัน……”ฝ่ามือทั้งสองข้างของนัทธีกำขึ้นมา รอบๆตัวนั้นดูเยือกเย็น

ไม่มีผู้ชายคนไหน รับได้ว่าตัวเองเป็นโรคบ้านี่ เขาก็เหมือนกัน!

เพราะว่านี่มันเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีและหน้าตาของผู้ชาย!

พิชิตก็รู้ว่านัทธีกำลังคิดอะไรอยู่ จึงเอาแว่นที่เช็ดเสร็จแล้วสวมใหม่อีกครั้ง“เมื่อก่อนฉันทำการตรวจสุขภาพทั้งร่างกายให้แกอยู่หลายครั้ง ผลตรวจออกมาแกไม่มีปัญหาเลยสักนิด ดังนั้นไม่ได้เป็นหมันโรคนี้แล้ว ก็หมายความว่า โรคของแกนี้เพิ่งมาเป็นทีหลัง แกลองคิดดีๆ แกกินอะไรไปหรือเปล่า?”

นัทธีส่ายหน้า“เป็นไปไม่ได้!”

พิชิตถอนหายใจ“ฉันก็รู้ว่านี่เป็นไปไม่ได้ แต่สถานการณ์แบบแก ได้แต่ไปกินอะไรที่ไม่ควรกินเข้า ถึงทำให้แกเกิดปัญหานี้ขึ้นมาได้ แต่ว่าตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ แกต้องเช็ก เช็กสาเหตุให้ละเอียด อาจจะยังมีทางรักษาได้”

“โอเค”นัทธีหลับตาลง แล้วสูดหายใจ

ตอนที่เขาลืมตามาอีกครั้ง สายตาเหลือเพียงแต่ความหดหู่ที่ทำให้ใจสั่น

ทั้งสองออกมาจากห้องทำงาน

วารุณีเห็นพวกเขาออกมา จึงลุกขึ้นถาม“พวกคุณคุยกันเสร็จแล้วเหรอ?”

นัทธีมองเธอ ริมฝีปากบางๆขยับ เหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้าย ก็ได้แต่ตอบว่าอือ

วารุณีรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของเขานั้นผิดปกติ เหมือนว่าไปประสบเรื่องราวไม่ดีมา ลมหายใจรอบๆตัวทำให้คนรู้สึกกลัว อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายและถามไป“นัทธี คุณเป็นอะไร?”

“วางใจเถอะ เขาไม่เป็นไรครับ”พิชิตวางมือบนไหล่นัทธี ช่วยเขาตอบไปด้วยรอยยิ้ม“แค่เขาอารมณ์ไม่ค่อยดี”

ได้ยินคำนี้ วารุณีคิดว่าเป็นตัวเองที่ไม่ได้ตั้งท้อง จึงทำให้นัทธีอารมณ์ไม่ดี เธอละสายตาลง ขอโทษอย่างรู้สึกผิด“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่าฉันไม่ได้ท้อง ฉันคิดว่าฉันท้องจริง……”

“ไม่เกี่ยวกับคุณเลย”นัทธีพูด

วารุณีเงยมองเขา“งั้นคุณ……”

“เรื่องอื่นน่ะ คุณกลับไปที่รถรอผมก่อน ผมยังมีเรื่องต้องจัดการ”นัทธีพูดไป ก็เอากุญแจรถให้เธอ

วารุณีรับมา ที่จริงยังอยากถามเขาว่าเรื่องอะไร แต่เห็นความที่ไม่อนุญาตให้แทรกเขาพูดจากในแววตาของเขาแล้ว สุดท้ายก็หุบปากลง พยักหน้า แล้วพูดแทนไปว่า:“ฉันเข้าใจแล้ว”

“ไปเถอะ”นัทธีหันไปพูดกับพิชิต

พิชิตโบกมือให้วารุณี ถือว่าบอกลา จากนั้นเดินไปกับนัทธีอีกทาง

วารุณีมองแผ่นหลังของทั้งสอง จนหายไปไม่เห็นอีก จึงหันกลับออกไป

กลับไปที่รถ เธอปิดประตูรถเสร็จ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา

ที่ทารมาคือวรยา

เธอหมุนหน้าต่างรถ แล้วจึงเอาโทรศัพท์วางไว้ข้างหู กดรับไป“แม่”

“ลูกรัก พรุ่งนี้แม่กลับประเทศนะ”วรยาพูดอยู่ที่ปลายสาย

วารุณียืดหลังตรง“พรุ่งนี้เหรอ?”

“ทำไมล่ะ?”วรยาหรี่ตา“ฟังจากน้ำเสียงลูกแล้ว เหมือนไม่ค่อยอยากให้แม่กลับเลยนะ”

“ที่ไหนล่ะ แม่ก็พูดตลกแล้ว”สายตาวารุณีเป็นสั่นคลอน หัวเราะอย่างติดๆขัดๆ

วรยาเบะปาก“โอเค แม่ไม่แหย่แกละ สุภัทรไอ้แก่นั่นส่งหมายศาลไปต่างประเทศแล้ว ดังนั้นตอนนี้แม่ต้องกลับประเทศไปสู้คดีกับเขา”

“งั้นวันพิจารณาคดีวันไหน?”วารุณีมองไปนอกกระจกรถแล้วถาม

“มะรืนเป็นวันพิจารณาคดีครั้งแรกในศาล”สีหน้าวรยาหม่นลงไป“ตอนนี้ไอ้แก่สุภัทรมีแค่ลูกกับน้องชายลูกสองคนลูกชายลูกสาวแล้ว จะต้องอยากได้คนหนึ่งให้กลับไปเลี้ยงเขาตอนแก่แน่ และแม่จะไม่ให้เขาทำสำเร็จ ดังนั้นสถานการณ์ของพวกเราแบบนี้ จะต้องสู้คดีกันหลายครั้งแน่”

“ฉันก็คิดอย่างนั้น”วารุณีพยักหน้า

วรยาหัวเราะอย่างเย็นชา“หึ แต่แบบนี้ก็ดี ถ้าเขาขึ้นศาล แม่ก็จะไปกับเขาให้ถึงที่สุด แม้แต่ค่าชุดชั้นในก็ให้เขาชดเชยไปด้วย!”

“แม่ ฉันสนับสนุนแม่นะ”วารุณีทำท่าสู้ๆ

วรยาเก็บรอยยิ้มอันเยือกเย็นที่ใบหน้า“โอเค พรุ่งนี้แม่บินตอนสิบโมงเช้า ถึงในประเทศก็น่าจะประมาณหกโมงเย็น ลูกรัก ลูกอย่าลืมมารับแม่ที่สนามบินนะ”

วารุณีปิดหน้าหัวเราะอย่างขมขื่น“ค่ะ ฉันจำได้”

จบแล้ว แม่กลับมา จะต้องรู้เรื่องที่เธอกับนัทธีคบกันแน่

หวังว่าถึงตอนนั้น แม่จะไม่โวยวายจนดูน่ากลัวนะ

โทรศัพท์เสร็จ วารุณีส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง วางโทรศัพท์ลง จากนั้นก็ได้ยินเสียงเตือนของมารุตตรงที่นั่งคนขับ“คุณวารุณี ประธานมาแล้วครับ”

พอได้ยิน วารุณีก็มองไปตรงหน้าทันที ก็เห็นนัทธีออกมา เดินมาทางนี้

นัทธีเดินมาตรงหน้ารถ เปิดประตูรถตรงที่นั่งด้านหลังแล้วขึ้นรถมา นั่งอยู่ข้างเธอ ลมหายใจรอบๆก็ยังคงคุกรุ่น

วารุณีมองเขา และจึงกังวลหน่อยๆ“นัทธี คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ไม่เป็นไร”นัทธีบีบคิ้ว เสียงนั้นแหบหน่อยๆ เหมือนว่าอ่อนล้าเป็นอย่างมาก

วารุณีไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรกันแน่ อยากช่วยเขาก็ช่วยไม่ได้ ถามเขาก็ไม่แน่ว่าเขาจะบอกจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจลึกๆ

“ขับรถ!”นัทธีกำชับกับมารุต

“ประธาน กลับคฤหาสน์หรือว่าบริษัท?”มารุตถาม

นัทธีมองไปที่วารุณี ชัดเจนว่าถามเธออีกครั้งว่าจะไปไหน

วารุณีลูบแหวนด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น“ไปส่งฉันที่บริษัทก่อนละกัน ยังไงก็ไม่ได้ท้อง และก็ไม่ต้องพัก”

“อะไรนะ?ไม่ได้ท้อง?”มารุตได้ยินเธอพูด ก็ตะลึงไปหมด รีบหันไปมอง

วารุณีตอบอือ“ไม่ได้ท้อง แค่ท้องลม”

เมื่อกี๊ตอนที่เธอออกมาจากโรงพยาบาล ค้นดูในเน็ตแล้ว มีผู้หญิงส่วนหนึ่งจริงๆ ที่จะเกิดสถานการณ์แบบนี้

คิดไม่ถึงว่า เธอจะเป็นหนึ่งในนั้น

มารุตมองนัทธีอีกครั้ง รู้สึกว่าน่าเสียดายมาก

ตอนนั้นประธานดีใจมาก คิดไม่ถึงว่าจะดีใจไปฟรีๆ

มารุตถอนหายใจในใจออกมา หันหน้ากลับไป แล้วสตาร์ทรถ

วารุณีถอนแหวนที่นิ้วมือออกมา ยื่นให้นัทธี“อันนี้คืนคุณค่ะ”

“คืนผม?”นัทธีหรี่ตาลง ไม่ได้มองแหวน แต่มองเธออย่างเย็นชา“คุณหมายความว่าไง?”

วารุณีละสายตาลงอย่างหลบๆ“ฉันไม่ได้ท้อง ดังนั้นเรื่องแต่งงาน……”

“คุณคิดว่าผมอยากแต่งงานกับคุณ เพราะว่าคุณท้องเหรอ?”นัทธีกำฝ่ามือ เสียงนั้นดูโกรธจัดอย่างไม่ปกปิด

เธอมองเขาอย่างนี้นี่เอง!

วารุณีอ้าปาก“แน่นอนว่าไม่ใช่ ก็แค่……”

“คุณไม่เอาก็ทิ้งไปเถอะ!”นัทธีตัดบทของเธอไปโดยตรง จากนั้นหลับตาลง เอนไปที่เบาะนั่ง ไม่มองเธออีก เหมือนว่าเหนื่อยทั้งกายทั้งใจอย่างมาก

เขาทำแบบนี้ กลับทำให้ในใจของวารุณีกลัวและกังวลขึ้นมา คิดว่าตัวเองทำแบบนี้ ทำผิดไปหรือไม่

เธอยอมให้เขาระบายอารมณ์ใส่เธอ แต่ไม่อยาก ให้เขาเย็นชาใส่เธอ

เพราะความเย็นชา มักน่ากลัวยิ่งกว่าระบายอารมณ์ออกมาเสมอ ระบายอารมณ์ออกมาแสดงว่าในใจเขายังมีเธอ แต่ความเย็นชา แสดงว่าเขาผิดหวังในตัวเธอ และจะยอมปล่อยเธอ

คิดแบบนี้ วารุณีก็รีบใส่แหวนกลับไปที่นิ้ว จากนั้นดึงแขนเสื้อของนัทธีอย่างระมัดระวัง“นัทธี ขอโทษนะ เมื่อกี๊ฉันบุ่มบ่ามไปหน่อย คุณอย่าโกรธเลยโอเคไหม?ฉันใส่แหวนคืนกลับไปแล้ว ไม่เชื่อคุณดูสิ!”

พูดไป เธอก็อ้ามือออก วางไว้ตรงหน้าเขา