หวังโหยวเกินคิด ความอิจฉาสายหนึ่งแล่นผ่านดวงตาปราด พลันเอ่ยอย่างไม่ได้ตั้งใจ “กุ้ยหลาน เจ้าเผาถ่านได้เงินเท่าไรเนี่ย?”
“ท่านอา เผาถ่านก็ได้แค่เงินพอกิน พอให้บ้านแม่ข้ากับบ้านลุงใหญ่ชีวิตที่ได้กินอิ่มท้องบ้าง” โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว พลันตอบ
เรื่องเผาถ่านนี่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนจริงๆ หลายวันนี้หวังโหยวเกินก็ถามนางหลายครั้งแล้ว
“กุ้ยหลาน พวกเราหมู่บ้านเดียวกัน ถ้ามีช่องทางทำมาหากิน เจ้าก็พาพวกลูกชายข้าไปด้วยสิ พวกเขามีแรง ช่วยฉางหลินได้”
หวังโหยวเกินเก็บผ้าขาว เอ่ยกับโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานเหยียดยิ้ม “ท่านอา พวกเขาไม่ยินดีช่วยข้าสร้างบ้านที่นี่หรือ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” หวังโหยวเกินรีบเอ่ย
จะไม่ยินดีได้อย่างไร? วันละสิบอีแปะ มีคนมากมายเท่าไรที่อิจฉา!
“อย่างนั้นก็ช่วยข้าสร้างบ้านที่นี่ดีๆ เถอะ” โจวกุ้ยหลานยิ้มตอบ
“กุ้ยหลาน เจ้ารีบมาดูเร็ว!”
เสียงเหล่าไท่ไท่ดังมาจากที่ไกลๆ
โจวกุ้ยหลานขานรับ “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
นางหันกลับมามองหวังโหยวเกิน “ท่านอา ข้าไปดูแม่ข้าก่อนนะว่ามีอะไร ท่านค่อยๆ ดื่มน้ำชาไป เรื่องคนนี่ท่านก็ดูแล้วตามมามากหน่อยแล้วกัน ร้อยคนก็ได้ ข้าอยากสร้างบ้านให้เสร็จก่อนปีใหม่!”
ครั้นกล่าวจบ ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบนางก็สาวเท้าวิ่งไปทางเหล่าไท่ไท่
หวังโหยวเกินทางนี้ยังอยากกล่าวอะไร แต่เห็นโจวกุ้ยหลานวิ่งไปแล้ว จึงกลืนคำพูดกลับลงไปอีก
สุดท้ายจึงวางแก้วที่ทำจากไม้ไผ่วางลงบนโต๊ะที่อยู่ด้านข้างด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะหยิบของขึ้นทำงาน
โจวกุ้ยหลานเดินกลับมา ยืนอยู่ข้างเหล่าไท่ไท่
“เขาให้เจ้าพาลูกพวกชายเขาไปเผ่าถ่านอีกแล้วหรือ?” เหล่าไท่ไท่ถามโจวกุ้ยหลาน
“ก็ใช่นะสิ น่ากลัวว่าครอบครัวพวกเราจะล่วงเกินเขาแล้ว” โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว
“ล่วงกงล่วงเกินอะไร เจ้าให้ตระกูลไป๋สอนทุกคนทำเต้าหู้บ้านเขาสิ ดูสิว่าเขาจะยินดีหรือไม่?” เหล่าไท่ไท่เอ่ย
พอเห็นท่าทางหวังโหยวเกินเมื่อครู่ นางก็รู้ว่าบุตรสาวตัวเองถูกเขาวอแวถามเรื่องนี้อีกแล้ว ดังนั้นจึงหาเรื่องให้บุตรสาวตนปลีกตัวออกมา
“ยังเป็นบนเขาที่สบายใจ เรื่องพวกนี้น่ารำคาญจริง!” โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว
เหล่าไท่ไท่เขกหัวนาง “เอาแต่พูดโง่ๆ คราวก่อนที่พวกคนหมู่บ้านหลิวมา ถ้าไม่ได้คนในหมู่บ้าน เจ้ายังจะรอดหรือ? ในหมู่บ้านให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันในสังคม ถึงได้ปกป้องพวกเรา”
ครั้นกล่าวถึงเรื่องนี้ โจวกุ้ยหลานก็เงียบ
ก็จริง แม้ยามที่คนในหมู่บ้านทะเลาะกันเองจะน่ารำคาญมาก แต่พอมีคนอื่นมาตีถึงประตู ปฏิกิริยาแรกของคนในหมู่บ้านก็คือช่วยพวกเขา
“แต่เรื่องเผาถ่านนี่น่ารำคาญใจจริง พวกเราสามบ้านก็ได้ไม่เท่าไร แค่พอกินอิ่ม ถ้าบอกพวกเขา พวกเราก็ไม่ต้องกินกันแล้ว”
ครั้นคิดถึงเรื่องนี้ โจวกุ้ยหลานก็ยิ่งหงุดหงิด
หากเอ่ยถึงคนในหมู่บ้าน นางไม่มีความผูกพันอะไรด้วย แต่พวกเขาช่วยนางหลายต่อหลายครั้ง นางก็ใช่จะไม่มีมโนธรรม หากสามารถดึงคนในหมู่บ้านทำการค้าได้นางก็ยินดี แต่นางไม่มีความสามารถนั้นนี่นา!
ดูท่ายังต้องรีบพัฒนาธุรกิจครอบครัวให้รุ่งเรือง!
“ขอเพียงพวกเราไม่พูด อย่างนั้นก็จะล่วงเกินไปหมด แต่ถ้าไม่ล่วงเกินใคร เราก็จะอยู่สุขสบาย” เหล่าไท่ไท่ปลอบโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานพยักหน้า ก็คงได้แต่ทำอย่างนี้แล้ว
ยังเป็นเหล่าไท่ไท่ที่เก่งในเรื่องการอยู่ร่วมในสังคม
แม้ทั้งสองจะสนทนากัน แต่ก็ไม่ได้หยุดมือ นี่เข้าฤดูหนาวแล้ว ข้างนอกมีหิมะตกเป็นระยะ พวกนางต้องต้มน้ำชาจำพวกที่เสริมความอบอุ่นให้คนเหล่านี้ดื่มทุกวัน
ตอนนี้เองโจวกุ้ยหลานถึงพบว่าอากาศหนาวเช่นนี้ ขณะที่นางมีเสื้อผ้าใส่ คนที่มาทำงานจำนวนมากกลับยังใส่เสื้อชั้นเดียวอยู่ แม้แต่เสื้อนวมก็ไม่มี เสื้อนวมของคนส่วนมากยังปุๆ ปะๆ อัตคัดจริงๆ
พวกนางหาหญ้าที่สามารถขับความหนาวจำนวนหนึ่ง ต้มเป็นน้ำชาให้พวกเขาดื่ม ให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นหน่อย
พอถึงตอนกลางวัน พวกเขาต่างคนต่างลงเขาไปกินอาหาร พวกโจวกุ้ยหลานก็ลงเขาเช่นกัน ขณะกลับถึงบ้านตระกูลโจว จางเสี่ยวจุ๋ยก็ทำอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว วางอุ่นอยู่ในเตา
ไม่นาน พวกสวีฉางหลินก็กลับมาด้วย พวกเขานำอาหารวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็นั่งลงกินด้วยกัน
เหล่าไท่ไท่คว้ามือของจางเสี่ยวจุ๋ย เอ่ยด้วยความซาบซึ้ง “ดีที่มีเจ้า น้องสะใภ้ ไม่อย่างนั้นพวกเรากลับมายังไม่มีข้าวกินเลย”
จางเสี่ยวจุ๋ยยังคงเอ่ยเสียงเบา “พี่สะใภ้รอง ท่านเกรงใจอะไรข้า? กุ้ยหลานสร้างบ้าน ข้าที่เป็นอาสะใภ้สามก็ต้องมาช่วยอยู่แล้ว”
แม้บอกว่าไม่ค่อยได้คบค้าสมาคมกับจางเสี่ยวจุ๋ย แต่นางก็มาช่วย โจวกุ้ยหลานย่อมรู้สึกขอบคุณนางอยู่แล้ว
“ที่ข้ากินดื่มอยู่ก็เป็นของพวกเจ้า ช่วยพวกเจ้าก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว” จางเสี่ยวจุ๋ยตอบ
เดือนที่แล้ว ไม่รู้ว่าจางเสี่ยวจุ๋ยรู้มาจากไหนว่าพวกเขากำลังสร้างบ้าน จึงวิ่งมาช่วยงานพวกเขา โจวกุ้ยหลานเห็นรูปร่างนางแล้ว กลัวจริงๆ ว่านางจะเหนื่อยจนเป็นลมเป็นแล้งจึงไม่รับปาก แต่จางเสี่ยวจุ๋ยจะอยู่ต่อให้ได้ สุดท้ายหลังจากปรึกษาหารือ ให้จางเสี่ยวจุ๋ยช่วยดูแลอยู่ในบ้านแทน
จากนั้นก็อยู่จนถึงตอนนี้
ทุกคนกินอาหาร หลิวเซียงกับเหล่าไท่ไท่ไปเก็บถ้วยกับตะเกียบ โจวกุ้ยหลานพาเจ้าก้อนน้อยกับสวีฉางหลินกลับห้องของตัวเองด้วยกัน
เวลานี้ของทุกวัน เป็นช่วงที่ทุกคนจะอยู่พร้อมหน้า
เจ้าก้อนน้อยก็ดีใจ สวีฉางหลินเขียนตัวอักษรบนพื้นให้เขาเรียนรู้ เจ้าก้อนน้อยเขียนตาม โจวกุ้ยหลานก็ฉวยโอกาสเรียนด้วย
หลังจากเล่นสนุกกันพักหนึ่ง โจวกุ้ยหลานก็หยิบเงินตำลึงก้อนหนึ่งร้อยตำลึงออกมามอบให้สวีฉางหลิน “ไว้เจ้าไปขายถ่านก็เอาเงินนี่ไปแลกเป็นเงินอีแปะที่ร้านแลกเงินด้วยนะ”
สวีฉางหลินรับมา เก็บไว้ในอกของตัวเอง รับคำ
โจวกุ้ยหลานคิดๆ แล้วยังกำชับอีก “อย่าให้คนอื่นเห็นล่ะ”
คราวที่แล้วสวีฉางหลินบรรจุเงินอีแปะเหล่านั้นไว้ในถุงผ้าใบใหญ่ แล้วแบกกลับมาทั้งอย่างนั้น ทำเอาโจวกุ้ยหลานตกใจ
นี่หากให้คนมีใจเห็นเข้า มิต้องมุ่งเข้าบ้านพวกเราหรือ?
ทางที่ดีที่สุด ก็อย่าให้คนอื่นเห็นเงินนี่เลยจะดีกว่า
สวีฉางหลินรับคำ จากนั้นก็เก็บเงินเข้าไปในกระเป๋า
พวกเขาเล่นอยู่ด้วยกันพักหนึ่ง จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำงาน สำหรับเจ้าก้อนน้อย โจวกุ้ยหลานย่อมพาขึ้นเขาไปด้วย
เช้าวันถัดมา สวีฉางหลินเข้าตำบลไปพร้อมกับโจวต้าไห่ เอ้อร์เฉียง ซานเฉียงไปตัดต้นไม้ คนที่มาสร้างบ้านเหล่านั้นมีมากขึ้นไม่น้อย โจวกุ้ยหลานนับจำนวนโดยคร่าว น่ากลัวว่าจะเจ็ดสิบกว่าคนแล้ว
หวังโหยวเกินก็เก่งจริง ถึงกับเรียกคนมามากมายได้ง่ายขนาดนี้
แต่พอมีคนมาก ก็ย่อมมีเรื่องมากเช่นกัน
พริบตาเดียวก็เป็นวันก่อนวันส่งท้ายปี วันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบสอง
บ้านหลังนี้สร้างจนจวนจะเสร็จแล้ว โจวกุ้ยหลานโบกมือใหญ่ กลางวันให้พวกเขาแยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วนพวกเขาก็กลับบ้านเช่นกัน
วันสำคัญนี้ หลังจากโจวกุ้ยหลานกลับไป ภาระหนักในการทำกับข้าวจึงย่อมตกเป็นของนาง