แต่เรื่องง่ายดายเช่นนี้ เมื่อมาถึงฉางซินหยวนก็เปลี่ยนเป็นความยากลำบากมาก ความเร็วมือของเขาติดอยู่ที่ค่าสูงสุดของความเร็วมือระดับกลางมาตลอด ควรรู้เอาไว้ว่าขอแค่เพิ่มสูงขึ้นอีกหนึ่งวินาทีก็ถูกตัดสินว่าเลื่อนขั้นเป็นนักรบหุ่นรบชั้นสูงได้แล้ว แต่ก็เป็นหนึ่งวินาทีนี้แหละที่ทำให้ฉางซินหยวนจนปัญญา
เมื่อหลิงหลานรู้ว่าต่อให้ฉางซินหยวนฝึกฝนอีกยังไงก็ไม่สามารถทะลวงขีดจำกัดความเร็วมือหนึ่งวินาทีนั้นไปได้ เธอก็รู้ว่า ฉางซินหยวนเจอจุดคอขวดในพรสวรรค์แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถใช้การฝึกฝนมาแทนที่ได้ อยากทะลวงขีดจำกัดจำเป็นต้องมีโอกาส หลิงหลานไม่รู้เหมือนกันว่าโอกาสนี้อยู่ที่ไหนกันแน่ หลังจากที่ฉางซินหยวนรู้สถานการณ์เรื่องนี้ เขาก็สะเทือนใจมาก เศร้าซึมยกใหญ่ไปชั่วขณะหนึ่ง โชคดีที่คนอื่นๆ ในทีมมักจะไปหาเขาเพื่อให้ทำสิ่งต่างๆ ใช้ความยุ่งในการปรับปรุงแก้ไขมาทำให้ฉางซินหยวนลืมเรื่องสะเทือนใจนี้ไป นี่ถึงช่วยช่างพัฒนาหุ่นรบอัจฉริยะของทีมมาได้
ปัญหาของฉางซินหยวนเป็นเพียงการรอคอยโอกาสเท่านั้น ถึงแม้โอกาสนี้ดูเหมือนจะริบหรี่มาก แต่อย่างน้อยที่สุดคือมีโอกาส
ภายในทีม พรสวรรค์ด้านการควบคุมหุ่นรบของหลี่ซื่ออวี๋ไม่เลวมากๆ อย่างเห็นได้ชัด ทว่าเขาทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่การศึกษาวิจัยยา ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลิงหลานออกคำสั่งอย่างเข้มงวดให้สมาชิกทีมทุกคนฝึกฝนการควบคุมหุ่นรบอย่างน้อยสองชั่วโมงต่อวันละก็ เกรงว่าหลี่ซื่ออวี๋คงไม่ไปฝึกฝนการควบคุมหุ่นรบเลย
ถึงแม้หลิงหลานเสียดายอยู่บ้างที่หลี่ซื่ออวี๋สิ้นเปลืองพรสวรรค์ด้านการควบคุมหุ่นรบของเขา แต่ทุกคนต่างมีเป้าหมายของตัวเอง หลิงหลานเองก็ไม่อาจก้าวก่ายกับการตัดสินใจของหลี่ซื่ออวี๋มากนักเหมือนกัน โชคยังดี เนื่องจากการฝึกฝนสองชั่วโมงต่อวันทำให้การควบคุมหุ่นรบของหลี่ซื่ออวี๋ไม่ได้ถูกสลัดทิ้งห่างไปไกลมากนัก แม้ว่าเขายังคงเป็นนักรบหุ่นรบชั้นสูง แต่เขาก็ยังทะยานจากขั้นต้นมาถึงขั้นกลางแล้ว ขอเพียงหลี่ซื่ออวี๋ไม่ได้เลิกล้มกลางคัน ไม่กี่เดือนเขาก็เข้าสู่ช่วงปลายของนักรบหุ่นรบชั้นสูงได้สบายๆ ทำให้หลิงหลานวางใจไม่น้อย
หลิงหลานที่ผ่านสงครามบุกจู่โจมทางอากาศรู้ดีว่าในสนามรบ พวกคนที่อยู่ต่ำกว่าผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษล้วนเป็นตัวเบี้ยใช้แล้วทิ้ง หากต้องการให้พวกสมาชิกทีมรอดชีวิตต่อไปได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็ต้องทำให้พวกเขาเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษก่อนเรียนจบถึงจะนับว่าปลอดภัย
นอกจากหลิงหลานแล้ว ความสามารถในการควบคุมหุ่นรบของจ้างจวิ้นแข็งแกร่งที่สุดในทีม นอกจากนี้เขาเหมือนกับฉีหลง เป็นพวกบ้าการควบคุมหุ่นรบ มิหนำซ้ำเขาที่เข้าร่วมการประลองหุ่นรบของกลุ่มหุ่นรบอู๋จี๋บ่อยๆ จึงมีประสบการณ์ต่อสู้เหนือกว่าพวกฉีหลงนิดหน่อย นี่ทำให้หลิงหลานวางใจเกี่ยวกับเขามาก เชื่อว่าต่อให้สมาชิกคนอื่นๆ ในทีมตกม้าตายทำพลาดในช่วงเวลาวิกฤติ แต่จ้าวจวิ้นไม่มีทางทำแน่นอน
บางครั้ง ความเชื่อใจไม่ต้องการการบ่มเพาะเป็นเวลานาน อุปนิสัยของจ้าวจวิ้นทำให้หลิงหลานยอมรับเขาเร็วมาก ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การที่จ้าวจวิ้นเป็นเพื่อนของหลี่หลานเฟิงก็คือสาเหตุสำคัญเช่นกัน สรุปแล้ว จ้าวจวิ้นถูกหลิงหลานคิดว่าเป็นคนที่สามารถไว้ใจได้ แน่นอนว่า หากต้องการหลอมรวมเข้าไปในหน่วยรบหลิงเทียนอย่างแท้จริง จ้าวจวิ้นยังต้องพยายามต่อไป
คนที่ทำให้หลิงหลานเป็นห่วงอย่างแท้จริงคือชีตาห์หลี่หลานเฟิง ปัญหาเรื่องสุขภาพร่างกายของหลี่หลานเฟิงซุกซ่อนไว้ลึกมากจริงๆ นอกจากหลิงหลานแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ในทีมไม่รู้เรื่องนี้เลย ต่อให้เป็นจ้าวจวิ้นเพื่อนสนิทของเขาก็แค่รู้สึกได้รางๆ เท่านั้น ไม่ได้รู้แน่ชัดเลย
ในเมื่อหลิงหลานตัดสินใจก่อตั้งหน่วยรบ เธอไม่อนุญาตให้ปรากฏจุดอ่อนในหน่วยรบเป็นอันขาด เธอหาโอกาสนัดหลี่หลานเฟิงมาพูดคุยกันอย่างละเอียดสักครั้ง บางทีหลี่หลานเฟิงอาจจะไว้ใจหลิงหลานอย่างไม่ลืมหูลืมตา เมื่อหลิงหลานสอบถามเรื่องสภาพร่างกายของเขา หลี่หลานเฟิงก็ไม่ได้ปกปิดเลย บอกสภาพที่แท้จริงของเขาให้หลิงหลานอย่างตรงไปตรงมา
ความจริงก็เหมือนอย่างที่หลิงหลานคาดการณ์ไว้ เนื่องจากพลังจิตแข็งแกร่งมากเกินไป ร่างกายของหลี่หลานเฟิงเลยไม่อาจทนรับไหวจนทิ้งผลสืบเนื่องมาในภายหลังจริงๆ ก็เหมือนกับหลิงหลานในชาติก่อน โชคดีที่โลกนี้มียายีน แถมยังมีทักษะด้านกายภาพต่างๆ ที่พัฒนาสุขภาพร่างกายดีขึ้น ทำให้หลี่หลานเฟิงไม่ต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเหมือนกับหลิงหลานในชาติที่แล้ว ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ร่างกายของเขายังคงไม่ดีขึ้นอย่างแท้จริง และอยู่ในสภาพอ่อนแอสุดขีดไปเรื่อยๆ
ว่าตามเหตุผลแล้ว ร่างกายของหลี่หลานเฟิงไม่อนุญาตให้เขาเดินไปบนเส้นทางของการเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบนี้เลย เมื่อหลิงหลานถามหลี่หลานเฟิงว่าทำไมถึงเลือกกระทำสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าเป็นการฆ่าตัวตายแบบนี้ หลี่หลานเฟิงก็เงียบไม่กล่าวอะไรไปชั่วขณะ ราวกับว่ามีเรื่องในใจที่ยากจะกล่าวออกมา ท้ายที่สุดเขาเอ่ยเพียงคำพูดประโยคเดียวด้วยความขมขื่นว่า เขาอยากกลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง สามารถควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองได้อย่างแท้จริง
ตอนที่หลี่หลานเฟิงเอ่ยคำพูดนี้ แววตามีร่องรอยความลังเลอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่มากกว่านั้นกลับเป็นความแน่วแน่ บางทีเขาอาจตัดสินใจเดินไปบนเส้นทางนี้โดยที่ไม่มีความมั่นใจอะไรเลย แค่ไม่อยากยอมศิโรราบต่อชะตาชีวิตเท่านั้น ต่อให้ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิต เขาก็จะเดิมพันสักครั้ง
เมื่อเห็นหลี่หลานเฟิงที่เป็นแบบนี้ หลิงหลานก็อดนึกถึงตัวเองไม่ได้ ถึงแม้ตอนนั้นเธอถูกบังคับให้ปลอมตัวเป็นผู้ชายอย่างไม่มีทางเลือก ทว่าการกระทำทุกอย่างของเธอ ความพยายามของเธอในเวลาต่อมา ไม่ใช่ว่าเป็นการทำเพื่ออยากควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองอย่างแท้จริงเหมือนกันเหรอ?
หลิงหลานเข้าอกเข้าใจ เธอนึกถึงฐานะของหลี่หลานเฟิง เขาย่ำแย่ยิ่งกว่าเธอเสียอีก เป็นแค่ลูกหลานสายรองคนหนึ่งของตระกูลหลี่เท่านั้น ถึงแม้ไม่รู้แน่ชัดว่าตระกูลหลี่เป็นตระกูลแบบไหนกันแน่ แต่เธอที่อ่านนิยายประเภทต่างๆ มากมายในชาติก่อนสามารถจินตนาการออกว่า ลูกหลานสายรองคนหนึ่งอยากมีสิทธิ์มีเสียงอย่างแท้จริง เป็นคนที่มีอิสระ เขาจำเป็นต้องมีความสามารถที่ตระกูลไม่อาจควบคุมได้ ไม่เช่นนั้น พวกเขาได้แต่กลายเป็นเครื่องมือในการหาผลประโยชน์ของตระกูลเท่านั้น ถึงขนาดที่อาจกลายเป็นเครื่องสังเวยของตระกูลในช่วงเวลาที่จำเป็นด้วย
หลิงหลานที่รู้แจ้งแก่ใจดีจึงตัดสินใจไม่ถามหลี่หลานเฟิงอีก อย่างไรเสียนั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของหลี่หลานเฟิง หลิงหลานไม่อยากแตะบาดแผลของอีกฝ่าย ทว่าเรื่องความกล้าหาญของหลี่หลานเฟิงที่ต่อให้ต้องตายก็อยากกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งเพื่อมาตัดสินชะตาชีวิตของตัวเองแบบนี้ ทำให้หลิงหลานชื่นชมมาก อย่างที่คิดไว้เลยคนที่เธอยอมรับไม่ใช่คนที่ขี้ขลาดจริงๆ ด้วย!
ในเมื่อหลี่หลานเฟิงมีความกล้าหาญแบบนี้ หลิงหลานย่อมช่วยเหลือเพื่อนที่ดีของเธออย่างสุดความสามารถ เธอตั้งอกตั้งใจทำแผนการฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งด้านร่างกายชุดหนึ่งให้แก่หลี่หลานเฟิง และสอนเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายให้หลี่หลานเฟิงโดยไม่หวงเลยสักนิดเดียว ทว่าประสิทธิผลนั้นไม่ได้สวยงามเหมือนอย่างที่หลิงหลานจินตนาการไว้ขนาดนั้น เนื่องจากเทียบกับหลิงหลานที่ฝึกปรือตั้งแต่ในครรภ์มารดาแล้ว หลี่หลานเฟิงที่อายุยี่สิบแล้วฝึกฝนขึ้นมาแทบจะมองไม่ออกเลยว่ามีประสิทธิภาพอะไร
อย่างไรก็ตาม หลี่หลานเฟิงโชคดีมากอีกแล้ว เนื่องจากมียายีนดัดแปลงที่หลี่ซื่ออวี๋จัดหามาให้ซึ่งผ่านการปรับปรุงใหม่ของเสี่ยวซื่อ ทำให้เพิ่มค่าความบริสุทธิ์ของยาจนถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้ร่างกายที่อ่อนแอของหลี่หลานสามารถดูดซับได้จนหมด ร่างกายของหลี่หลานเฟิงเลยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดีขึ้น และเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายที่คอยฝึกปรืออย่างแข็งขันก็เริ่มแสดงผลของมันออกมา สุขภาพร่างกายได้รับการปรับให้ดีขึ้นช้าๆ ผลลัพธ์นี้ทำให้หลี่หลานเฟิงดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง โรคเรื้อรังที่รังควานเขามานานยี่สิบปี ในที่สุดก็มองเห็นความหวังที่จะรักษาหายแล้ว
หลังจากผ่านความอุตสาหะมาหนึ่งปี ถึงแม้สุขภาพร่างกายของหลี่หลานเฟิงยังไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับผู้ควบคุมหุ่นรบที่มีร่างกายแข็งแกร่งกำยำได้ แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนขี้โรคที่ควบคุมหุ่นรบอย่างเอาจริงเอาจังได้แค่สิบนาทีโดยประมาณอย่างในตอนแรกอีกแล้ว ระยะเวลาที่หลี่หลานเฟิงควบคุมหุ่นรบทำการต่อสู้อย่างดุเดือดเพิ่มขึ้นจากแต่เดิมสิบนาทีมาเป็นยี่สิบนาทีแล้ว ถ้าเกิดสภาพดีหน่อยก็คงระยะเวลาได้นานมากขึ้น และเวลาพวกนี้สามารถประคับประคองเขาให้ทำการประลองหุ่นรบขนาดย่อมได้แล้ว
นี่ก็หมายความชัดเจนแล้วว่า ตอนนี้หลี่หลานเฟิงไม่มีทางกลายเป็นจุดอ่อนของหน่วยรบในการประลองหุ่นรบต่างๆ นานาอีกต่อไปแล้ว ซึ่งหลิงหลานพอใจกับเรื่องนี้มาก
ถึงแม้หน่วยรบหลิงเทียนเกิดปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สำหรับโดยรวมแล้ว สภาพของหน่วยรบยังคงพัฒนาไปในทางที่ดี ส่วนกลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนก็ค่อยๆ ก้าวเข้าสู่ลู่ทางที่ถูกต้องเช่นกันภายใต้ความอุตสาหะของหัวหน้าทีมต่างๆ ทว่าในตอนนี้เอง จดหมายท้าประลองฉบับหนึ่งพลันตกลงมาบนหัวของกลุ่มหุ่นรบหลิงเทียน ทำลายความสงบสุขของทั้งโรงเรียนทหาร
……
ภายในบ้านพักของหลิงหลาน หัวหน้ากลุ่มทั้งหมดของกลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนรวมถึงบรรดาหัวหน้าทีมต่างมารวมตัวกัน พวกเขาต่างมาเพื่อเรื่องนี้ นั่นก็คือจะจัดการกับจดหมายท้าประลองที่มาจากกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงอย่างไร
ใช่แล้ว จดหมายท้าประลองฉบับนี้มาจากกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดของโรงเรียนทหาร กลุ่มหุ่นรบเหลยถิง!
จดหมายท้าประลองที่ถูกทุกคนอ่านและเวียนส่งต่อทำมาจากกระดาษ แน่นอนว่า จดหมายท้าประลองตัวจริง กลุ่มหุ่นรบเหลยถิงยื่นคำขอไปให้ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของโรงเรียนทหารแล้ว ในฐานะที่หลิงหลานเป็นหัวหน้ากลุ่มของกลุ่มหุ่นรบหลิงเทียน เธอได้รับข้อความแจ้งเตือนจากออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักทันที แต่ราชันสายฟ้าโอ้อวดตนมาก ทำจดหมายท้าประลองจากกระดาษแบบนี้เพิ่มออกมาเป็นพิเศษ และส่งคนให้มาที่ตึกเรียนของชั้นปีสองด้วยตัวเอง ก่อนจะมอบมันให้กับหัวหน้ากลุ่มอู่จย่งอย่างโจ่งแจ้ง
อู่จย่งรู้เป้าหมายที่อีกฝ่ายกระทำแบบนี้ดี เขาอยากประกาศต่อทั้งโรงเรียนว่า ครั้งนี้พวกเขาเหลยถิงตัดสินใจอยากล้างแค้นให้กับความพ่ายแพ้ในการประลองบนสังเวียนเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้ว
อู่จย่งเข้าใจดีว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน แต่จำเป็นต้องกัดฟันรับเอาไว้ กลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนเพิ่งก่อตั้งขึ้น ถ้าเกิดครั้งนี้หลีกเลี่ยงการประลอง กลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนจะต้องกลายเป็นที่น่าขบขันของทั้งโรงเรียนอย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการผงาดขึ้นตั้งแต่นี้ไปเลย
เมื่อหัวหน้าทีมทั้งหมดอ่านจดหมายท้าประลองแล้วรอบหนึ่ง จดหมายท้าประลองก็กลับมาสู่มือของอู่จย่งอีกครั้ง
อู่จย่งมองลายเซ็นขนาดใหญ่ที่อยู่ท้ายสุดของจดหมายท้าประลองอีกครั้ง ในใจข่มกลั้นโทสะไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ก่อนจะกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เดิมทีคิดว่ากลุ่มอำนาจใหญ่สี่กลุ่มผ่านสงครามจู่โจมทางอากาศเมื่อปีก่อนมาจะสูญเสียหนักมาก ต้องทำการฟื้นตัว ไม่มีเวลามาสนใจพวกเราแน่ๆ ดังนั้นฉันถึงอยากฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่ได้เตรียมตัว ก่อตั้งกลุ่มหุ่นรบไวๆ ใช้ช่วงเวลานี้มาพัฒนากลุ่มอำนาจของพวกเรา ไม่นึกเลยว่าเฉียวถิงคนนี้จะมองแผนการของเราออก ฉวยโอกาสตอนที่เรายังยืนไม่มั่นคง ส่งจดหมายท้าประลองฉบับนี้มาทันที…เห็นชัดๆ ว่าเขาอยากทำลายพวกเราในครั้งเดียว สลายกลุ่มของเราให้หมด ชั่วช้าจริงๆ!” พูดแล้ว เขาที่สะกดกลั้นโทสะไม่ไหวก็อดฟาดมือขวาไปยังที่วางแขนของเก้าอี้ตัวเองอย่างเดือดดาลไม่ได้ เรี่ยวแรงนั้นซัดใส่ที่วางแขนจนแตกร้าวออกเป็นหลายรอยทันที
หลินจงชิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังหลิงหลานเห็นแบบนั้น ดวงหน้าก็อดกระตุกไม่ได้ คำนวณด้วยความเจ็บปวดใจว่า ‘แม่งเอ๊ย สามพันเครดิตหายไปแบบนี้เลย…’
คำพูดของอู่จย่งกระตุ้นโทสะของหลี่อิงเจี๋ยขึ้นมา เดิมทีเขาก็เป็นคนที่จองหองอวดดี ไม่ได้เป็นกังวลอย่างอู่จย่ง เขาเอ่ยปากด่าตรงๆ ว่า “ไอ้ระยำเฉียวถิงนั่นรู้ว่าพวกเราไม่มีผู้ควบคุมไพ่ราชา เลยออกหน้าท้าประลองเองตามอำเภอใจ เพื่อชัยชนะแล้ว เขาไม่สนหน้าตาเลย”
ฉีหลงที่นั่งตรงข้ามหลี่อิงเจี๋ยได้ยินเสียงด่าทอของหลี่อิงเจี๋ย ดวงหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมาเหมือนเห็นด้วยกับคำพูดของหลี่อิงเจี๋ยมาก แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่า เขาแค่ขำเฉียวถิงที่ฉลาดจนเสียรู้ คิดว่าตัวเองกุมชัยชนะไว้ แต่ไม่รู้ว่า คู่ต่อสู้ที่เขาต้องต่อกรด้วย ลูกพี่ของพวกเขาเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชามาตั้งนานแล้ว ถ้าเกิดเป็นปีที่แล้วอีกฝ่ายอาจจะยังมีโอกาสชนะเล็กน้อย ทว่าตอนนี้เขาไม่คิดว่าเฉียวถิงมีโอกาสสักนิดแล้ว
คำพูดของหลี่อิงเจี๋ยได้รับการเห็นพ้องจากทุกคน หัวหน้าทีมคนอื่นๆ อีกหลายคนทยอยกันด่าทอขึ้นมา พวกเขาต่างด่าว่าเฉียวถิงหน้าไม่อายเกินไปแล้ว
มีเพียงเกาจิ้นอวิ๋นที่นั่งอยู่วงนอกที่ไม่ได้เข้าร่วมการด่าทอในครั้งนี้ หากแต่ใคร่ครวญด้วยสีหน้าเคร่งขรึม…เวลานี้เอง หลิงหลานที่เดิมทีหลับตาพลันลืมตาขึ้นมา กวาดมองรอบหนึ่งอย่างเย็นชา สายตาที่เย็นชาอำมหิตบีบคั้นผู้คนทำให้เสียงก่นด่าในห้องโถงหยุดชะงักไปทันที
เหงื่อเย็นๆ หลั่งออกมาจากศีรษะของทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ นับวันพลังของลูกพี่หลานยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ตอนนี้แค่ทอดมองเพียงแวบเดียวก็สามารถทำให้พวกเขารู้สึกถึงอันตรายแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น อุณหภูมิรอบด้านเหมือนกับถูกแช่แข็งก็ไม่ปาน