“เกาจิ้นอวิ๋น นายคิดว่าไง?” ท่ามกลางความเงียบงันหนาวเหน็บ ในที่สุดหลิงหลานก็เอ่ยปากขึ้น ทว่าเธอกลับขานชื่อเกาจิ้นอวิ๋นอย่างไม่คาดฝัน
นี่ทำให้อู่จย่งที่นั่งอยู่ข้างกายหลิงหลานเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ หลี่อิงเจี๋ยมึนงงก่อนสักพัก จากนั้นก็ใช้สายตาใคร่รู้มองไปที่เกาจิ้นอวิ๋น อยากรู้ว่าหมอนี่ใช้อะไรมาได้รับการเห็นคุณค่าจากลูกพี่หลาน
การเรียกชื่อของหลิงหลานทำให้เกาจิ้นอวิ๋นนิ่งงันไปทันใด ก่อนจะยินดีเป็นบ้าเป็นหลังขึ้นมา เทียบกับหัวหน้าทีมคนอื่นๆ ที่ไม่รู้ความสามารถของลูกพี่หลานอย่างแน่ชัดแล้ว เขาที่เคยถูกหลิงหลานช่วยชีวิตไว้ย่อมรู้ดีว่าลูกพี่หลานมีความสามารถถึงขั้นไหน ทุกคนล้วนคิดว่ากลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน แต่เขากลับคิดว่า เหลยถิงที่ไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของลูกพี่หลานย่อมต้องพ่ายแพ้ให้กับกลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนอีกครั้ง…
และตอนนี้การที่หลิงหลานเรียกชื่อสอบถามความคิดเห็นของเขาด้วยตัวเอง หมายความว่าเขาเข้าสู่สายตาของลูกพี่หลานได้สำเร็จแล้วใช่หรือเปล่า? ความคิดนี้ทำให้เกาจิ้นอวิ๋นตื่นเต้นขึ้นมา แต่ในใจเขารู้ดีว่า ถ้าเกิดเขาไม่อาจบอกความเห็นได้ละก็ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะพลาดโอกาสครั้งนี้ไป
ดังนั้น เกาจิ้นอวิ๋นจึงฝืนข่มกลั้นความตื่นเต้น ตรึกตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนสักพัก แล้วค่อยเอ่ยปากกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “หัวหน้ากลุ่มหลิง ในเมื่อคุณให้ฉันพูดความเห็นของตัวเอง งั้นฉันก็ขอพูดหน่อยละกัน ถ้ามีอะไรไม่ถูกต้อง รบกวนหัวหน้ากลุ่มทุกท่านกับพวกหัวหน้าทีมให้อภัยด้วย”
ท่าทีของเกาจิ้นอวิ๋นแสดงออกมาอย่างถ่อมตัวมาก นี่ทำให้บรรดาหัวหน้าทีมในที่แห่งนี้ประทับใจเขามากขึ้น กำจัดความแสลงใจที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะความอิจฉาริษยา อู่จย่งได้ยินคำกล่าว แววตาก็วาวโรจน์อย่างรวดเร็ว ไม่นึกเลยว่า ท่ามกลางหมู่คนที่ไม่ได้มาจากสถาบันเดียวกันกับพวกเขา ยังซ่อนหัวหน้าทีมที่มีความสามารถขนาดนี้ไว้ในกลุ่มหุ่นรบด้วย และเขาดันมองข้ามไปเสียแล้ว
หลังจากที่เกาจิ้นอวิ๋นกล่าวอารัมภบทจบแล้ว เขาก็ค่อยพูดความคิดเห็นของตัวเองออกมา “อันที่จริง กลุ่มหุ่นรบเหลยถิงแข็งแกร่งมากจริงๆ หัวหน้ากลุ่มราชันสายฟ้าเฉียวถิงของพวกเขาก็เป็นผู้ควบคุมไพ่ราชาเพียงหนึ่งเดียวในโรงเรียนที่ทุกคนรู้ตอนนี้…” เกาจิ้นอวิ๋นกล่าวถึงตรงนี้ก็เผลอมองไปที่ลูกพี่หลาน เขาเก็บสายตากลับมารวดเร็วมาก เอ่ยต่อว่า “แต่ฉันไม่คิดว่ากลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนของพวกเราจะไม่มีโอกาสชนะเลยสักนิดเดียว”
มุมปากของหลิงหลานโค้งขึ้น เกาจิ้นอวิ๋นคนนี้น่าสนใจมาก เนื่องจากเธอไม่ได้ป่าวประกาศต่อคนภายนอกว่าเป็นผู้ควบคุมไพ่ราชา เขาก็ใช้คำพูดที่ชาญฉลาดแบบนี้ คนที่รู้อย่างถ่องแท้ย่อมเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเกาจิ้นอวิ๋นดี
อย่างที่คิดไว้เลย สมาชิกทีมหลิงหลานได้ยินคำพูดของเกาจิ้นอวิ๋นก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ดูท่าพวกเขาเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเกาจิ้นอวิ๋นกันหมด
ถึงแม้คนอื่นๆ ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงในคำพูดของเกาจิ้นอวิ๋น แต่พอได้ยินว่ากลุ่มหุ่นรบของตนไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสชนะเลย พวกเขาก็ตื่นตัวขึ้นมาโดยพลัน หลี่อิงเจี๋ยร้อนใจยิ่งกว่า เอ่ยปากถามทันทีว่า “นี่หมายความว่ายังไง?”
“ช่วงเวลาที่ผ่านมา ฉันตั้งใจศึกษาการประลองหุ่นรบระหว่างกลุ่มหุ่นรบด้วยกัน ถึงแม้ว่าหัวหน้าทีมไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในการนำทีม แต่ว่าจำนวนรวมถึงระดับของสมาชิกที่ออกรบกลับมีข้อจำกัดอยู่บ้าง โดยเฉพาะในการท้าประลองระหว่างชั้นปีสูงกับชั้นปีต่ำยิ่งมีข้อจำกัดเยอะมาก”
การเตือนสติของเกาจิ้นอวิ๋นทำให้อู่จย่งพลันนึกอะไรบางอย่างได้ ทันใดนั้นก็ตระหนักได้แล้ว เขาผงกศีรษะติดต่อกัน เอ่ยเสริมต่อว่า “เกาจิ้นอวิ๋นพูดมาไม่ผิด ฉันลืมไปเลยว่าการท้าประลองต่อสู้มีกฎนี้อยู่” อู่จย่งตบหัวอย่างหงุดหงิด เอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “เพื่อกำจัดการแข่งขันที่เหี้ยมโหดระหว่างกลุ่มหุ่นรบ โดยเฉพาะการประลองหุ่นรบของชั้นปีสูงปะทะกับชั้นปีต่ำ ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักเลยตั้งกฎคุ้มครองกลุ่มหุ่นรบของชั้นปีต่ำไว้ เมื่อพบว่าความสามารถในการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันมากเกินไป ไม่เท่าเทียมกันมากๆ ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักก็จะตัดสินว่าเป็นการแข่งขันทีเหี้ยมโหด และประกาศว่าการท้าประลองเป็นโมฆะ แน่นอนว่า ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักมีกฎคุ้มครองกลุ่มอำนาจเกิดใหม่ของชั้นปีต่ำแค่สามครั้งเท่านั้น ถูกปฏิเสธหนึ่งครั้งก็ต้องเว้นระยะห่างไปสามเดือนถึงจะสามารถท้าประลองต่อได้ ถ้าเกิดความสามารถของหน่วยรบที่กลุ่มหุ่นรบเหลยถิงส่งมาเหนือกว่าพวกเรามากเกินไป ก็จะได้รับกฎคุ้มครองจากออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก พวกเรายังมีเวลาเติบโตอีกประมาณหนึ่งปี เราสามารถใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ให้ดีได้…”
พวกหัวหน้าทีมที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่เคยสัมผัสการประลองระหว่างกลุ่มหุ่นรบมาก่อน ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ดีนัก จึงพากันเอ่ยปากขอให้หัวหน้ากลุ่มอู่จย่งอธิบายอย่างละเอียดว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถทำให้ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักตัดสินว่าเป็นการแข่งขันที่โหดเหี้ยม
อู่จย่งอธิบายกฎด้านในอย่างละเอียด ที่แท้เมื่อชั้นปีสูงปะทะกับชั้นปีต่ำ นอกจากระดับของหัวหน้าที่นำพาทีมไม่ได้ถูกจำกัดแล้ว ความสามารถโดยรวมของสมาชิกทีมคนอื่นจะเหนือกว่าความสามารถโดยรวมของชั้นปีต่ำที่ท้าประลองมากเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกตัดสินว่าเป็นการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรมและยกเลิกการท้าประลอง แน่นอนว่าเหนือกว่าต่ำกว่ามากเท่าไหร่ถึงจะนับว่าเป็นการแข่งขันที่โหดเหี้ยมนั้น อู่จย่งที่ไม่เคยสัมผัสการแข่งขันท้าประลองหุ่นรบก็ไม่รู้แน่ชัดมากเหมือนกัน เนื่องจากมันไม่ได้กำหนดกฎไว้อย่างชัดเจน ท้ายที่สุดยังต้องดูรายชื่อที่ทั้งสองฝ่ายส่งมาในตอนสุดท้ายอยู่ดี
ขณะที่ทุกคนกำลังหารือกันว่าจะใช้ประโยชน์จากกฎคุ้มครองของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักอย่างไร เกาจิ้นอวิ๋นพลันกระแอมไอ เรียกความสนใจของทุกคน ก่อนจะเอ่ยเสียงดังว่า “ฉันยังอยากพูดเสริมอีกหน่อย การประลองหุ่นรบมีทั้งหมดสามระดับ มีการต่อสู้ 12 คน 24 คน และการต่อสู้แบบกลุ่ม 50 คน ลูกพี่หลาน ดูเหมือนการกำหนดว่าเป็นระดับไหน จะให้ฝ่ายผู้ท้าชิงเลือก ใช่หรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินเกาจิ้นอวิ๋นสอบถาม หลิงหลานก็พยักหน้าบ่งบอกว่าถูกต้อง
คิ้วของเกาจิ้นอวิ๋นขมวดเข้าหากัน ถอนหายใจกล่าวว่า “แบบนี้พวกเราก็เสียเปรียบนิดหน่อยแล้ว สิทธิ์ในการเป็นฝ่ายนำอยู่ในมือของฝั่งตรงข้าม ถ้าเกิดให้พวกเราเลือก โอกาสชนะก็คงเพิ่มมากขึ้นแล้ว”
“โอ๊ะ? อย่าเพิ่งสนว่าอีกฝ่ายจะเลือกอะไร นายบอกความคิดของนายออกมาเถอะ” หลิงหลานเลิกคิ้ว เธอคิดมาตลอดว่า หลี่หลานเฟิงกับหานจี้จวินในทีมเธอคือเสนาธิการที่มีความสามารถด้านการต่อสู้ที่หาได้ยากยิ่ง ไม่คาดคิดว่า หัวหน้าทีมที่ไม่ได้ออกมาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือคนนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาทั้งสองคนในด้านกลยุทธ์เลย นี่ทำให้หลิงหลานสนใจมาก อยากดูว่าเกาจิ้นอวิ๋นสามารถไปถึงขั้นใดกันแน่
หลิงหลานไม่เพียงฝึกฝนหน่วยรบของตัวเอง ในเวลาเดียวกันเธอก็ฝึกฝนพันธมิตรร่วมรบบางส่วนด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่ในรัฐบาลกองทัพ หรือว่าบนสนามรบ มีการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมรบบางส่วนที่ไว้ใจได้ เธอก็สามารถเดินไปได้อย่างมั่นคงราบรื่นมากยิ่งขึ้น ดังนั้น เธอจึงมองกลุ่มของอู่จย่งไว้สูง และใช้พระเดชและพระคุณกับหลี่อิงเจี๋ย ในเมื่อพวกเขาล้วนมาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ หลิงหลานไม่อยากให้หลี่อิงเจี๋ยถ่วงแข้งถ่วงขาของทุกคน
อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดเกาจิ้นอวิ๋นมีค่าพอให้ฝึกฝนด้วยเหมือนกัน หลิงหลานก็ไม่หวงแหนความเชื่อใจของเธอ เมื่อเทียบกับพวกอู่จย่งที่มีการเล่นพรรคเล่นพวกแล้ว หลิงหลานไม่มีแบ่งสายตรงสายรองอะไรทั้งนั้น ขอแค่มีความสามารถ นิสัยผ่าน หลิงหลานไม่มีทางปฏิบัติอย่างเลือกที่รักมักที่ชังเพราะปัญหาเรื่องภูมิหลังอย่างแน่นอน
เมื่อคำพูดประโยคนี้ของหลิงหลานหลุดออกมาก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงไม่หยุด เกาจิ้นอวิ๋นมองไปที่หลิงหลานด้วยความประหลาดใจระคนยินดีมากยิ่งขึ้น ถึงแม้สายตาของหลิงหลานยังคงเรียบเฉย ทว่ามันปกปิดการให้กำลังใจนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้เกาจิ้นอวิ๋นตื่นเต้นไม่หยุด ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างคุมไว้ไม่อยู่
มีหัวหน้าทีมหลายคนมองมาที่เกาจิ้นอวิ๋นด้วยสายตาอิจฉา คำพูดประโยคนี้ของลูกพี่หลานแทบจะยืนยันได้ว่า เกาจิ้นอวิ๋นเข้าไปอยู่ในสายตาของลูกพี่หลานแล้ว ขอเพียงเกาจิ้นอวิ๋นไม่ทำผิดพลาด กลุ่มของเขาย่อมต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเน้นหนักจากลูกพี่หลาน สามารถมองเห็นล่วงหน้าได้เลยว่า นอกจากหน่วยรบของหัวหน้ากลุ่มแต่ละคนแล้ว อนาคตของทีมเกาจิ้นอวิ๋นจะต้องกลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน
เกาจิ้นอวิ๋นกำหมัดตัวเองแน่นๆ เพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง ยิ่งเป็นแบบนี้ เขายิ่งทำพลาดไม่ได้ เขาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งทำให้อารมณ์ของตัวเองสงบลง แล้วค่อยเอ่ยว่า “หัวหน้ากลุ่ม ฉันคิดแบบนี้ ถ้าเกิดให้พวกเราเลือก เราต้องเลือกการประลองแข่งขัน 12 คน ถึงแม้ความสามารถโดยรวมของพวกเราเทียบเหลยถิงไมได้ แต่ว่าในเรื่องหัวกะทิแล้ว ความจริงพวกเราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเหลยถิงเท่าไหร่เลย”
เดิมทีนึกว่าเกาจิ้นอวิ๋นจะมีคำพูดน่าตกตะลึงอะไร ไม่นึกเลยว่าสิ่งที่พูดมากลับเป็นเรื่องนี้ ต่อให้ทุกคนมีความมั่นใจในตัวเอง แต่เทียบกับหน่วยรบหัวกะทิของกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงแล้ว ทุกคนยังคงคิดว่าห่างชั้นอยู่บ้าง หัวหน้าทีมหนึ่งในนั้นเอ่ยปากประท้วงว่า “หัวหน้าทีมเกา จากที่ฉันรู้มา เหลยถิงมีผู้ควบคุมระดับพิเศษอย่างน้อยที่สุดสิบห้าคนนะ ถึงแม้เรามั่นใจว่าสองสามปีให้หลัง เราก็สามารถไปถึงระดับนั้นได้เหมือนกัน แต่ตอนนี้พวกเราส่วนใหญ่เป็นนักรบหุ่นรบชั้นสูงทั้งนั้น เทียบกับความสามารถผู้ควบคุมระดับพิเศษของเหลยถิงไม่ได้เลย”
เกาจิ้นอวิ๋นเจอการซักไซ้ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าลนลาน ตรงกันข้ามเขากลับเอ่ยด้วยใบหน้าเด็ดเดี่ยวว่า “ฉันรู้ แต่ฉันก็รู้ว่า ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถส่งผู้ควบคุมระดับพิเศษเข้าสู่สนามแข่งได้ทั้งหมด ไม่อย่างนั้นการท้าประลองแข่งขันรอบนี้ก็จะไม่ได้รับการอนุมัติจากออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก”
หลิงหลานได้ยินคำกล่าว มุมปากก็โค้งขึ้นอีกครั้ง อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด เกาจิ้นอวิ๋นมองเห็นข้อนี้เหมือนกัน เขาเป็นเมล็ดพันธุ์ที่สามารถฝึกฝนได้
คำพูดเฉียบขาดของเกาจิ้นอวิ๋นทำให้แววตาทุกคนเปล่งประกาย ใช่แล้ว ถ้าเกิดคนที่เข้าสู่สนามแข่งเป็นผู้ควบคุมระดับพิเศษทั้งหมด บวกกับผู้ควบคุมไพ่ราชาเป็นคนนำทีม การท้าประลองแข่งขันครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องสู้แล้ว ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักจะต้องปฏิเสธการท้าประลองแข่งขันนี้เพื่อปกป้องกลุ่มอำนาจใหม่ ทุกคนเข้าใจดีว่าหัวกะทิที่เกาจิ้นอวิ๋นเรียกหมายความว่ายังไง ถ้าเกิดอีกฝ่ายลดเงื่อนไขลง เลือกนักรบหุ่นรบระดับสูง เช่นนั้นไม่ใช่ว่าพวกเราไม่มีกำลังรบที่สู้ได้
“สิ่งสำคัญที่สุดของพวกเราในตอนนี้คือ ทำยังไงถึงจะไม่ให้อีกฝ่ายล่วงรู้ความสามารถของเรา ถ้าเกิดให้เหลยถิงรู้ความสามารถของพวกเรา และจัดขบวนทัพต่อกรกับพวกเราที่ดีที่สุดออกมาละก็…” เกาจิ้นอวิ๋นกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา “สถานการณ์คงไม่มีหวังมากๆ มีเพียงตอนที่เหลยถิงไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของเราเท่านั้น พวกเราถึงจะมีโอกาสชนะ”
คำกล่าวของเกาจิ้นอวิ๋นทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้ใจเย็นลงทันที หัวหน้าทีมบางส่วนคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างได้ ใบหน้าเผยร่องรอยความหงุดหงิดออกมา ดูเหมือนว่าล่าสุดความสามารถของพวกเขาน่าจะถูกคนของเหลยถิงล่วงรู้แล้ว
สีหน้าของหลี่อิงเจี๋ยย่ำแย่มากเช่นกัน เขานึกถึงฉากตอนที่ถูกคนยั่วโมโหในโลกหุ่นรบ ตอนนั้นเขาข่มกลั้นโทสะตัวเองไม่อยู่ ทำการประลองบนสังเวียนกับอีกฝ่ายหลายครั้ง ถึงแม้จะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้หลายรอบ คว้ารางวัลจากชัยชนะมาได้ไม่น้อย ตอนนี้คิดดูแล้ว กลับมีลับลมคมในมากเกินไป ดูท่าเขาตกหลุมพรางของเหลยถิงเสียแล้ว
หลิงหลานกวาดตามองสีหน้าของทุกคนในห้องโถงอย่างรวดเร็ว รู้คร่าวๆ แล้วว่าคนไหนบ้างที่เคยถูกหยั่งเชิงตรวจสอบ เธอเอ่ยปากพูดว่า “ดูเหมือน พวกนายบางคนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติแล้วสินะ แต่ว่าต่อให้ถูกเหลยถิงรู้ความสามารถที่แท้จริงของพวกนายไป ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการประลองมากนักเหมือนกัน พวกนายไม่ต้องโมโหมากเกินไป”
ถึงแม้น้ำเสียงของหลิงหลานจะเย็นเยียบ แต่คำพูดนี้ของเธอก็ยืนยันว่าเธอไม่ได้ขุ่นเคืองเลย นี่ทำให้หัวหน้าทีมที่ลอบโมโหตัวเองพวกนั้นรวมถึงหลี่อิงเจี๋ยโล่งอก โดนศัตรูหยั่งเชิงความสามารถทำให้พวกเขาโกรธจริงๆ แต่พวกเขากลัวโทสะของลูกพี่หลานมากกว่า