“รับนี่ไป”
ผมพูดแล้วขว้างสร้อยข้อมือไปทางเรซที่รับมันไว้ได้
เมื่อมองผมอย่างสงสัยแล้ว เขาก็ถามขึ้นมา
“เครื่องตรวจจับเหรอ?”
ซึ่งผมก็พยักหน้า
“ถ้านายถอดมันออก ฉันจะรู้ทันที”
ผมพูดพร้อมโยนสร้อยข้อมืออีกเส้นไปทางเนลซึ่งรับมันไว้เช่นกัน
“นายจะไม่คอยจับตาดูฉันไว้งั้นเหรอ?”
เรซถามด้วยดวงตาที่แคบลงพร้อมกับดวงตาแมวของเขาที่สว่างขึ้นด้วยแสงของลางร้าย
“มีบางอย่างบอกฉันว่าตอนนี้นายเสร็จงานแล้ว”
ผมพูดแล้วหันหลังกลับก่อนจะเริ่มเดินจากไป โดยรู้ดีว่าตอนนี้บทบาทของเรซจบลงแล้ว และในไม่ช้าทุกอย่างก็จะเข้าที่
“นายอาจจะเสียใจก็ได้”
เรซพูดขณะที่ผมเริ่มเดินจากไป น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความขบขัน
“ก็อาจจะบางที แต่ฉันจะทิ้งความเสียใจนั้นไว้ที่ตัวฉันเองในอนาคตเอาหน่ะ”
ผมตอบขณะเดินออกจากเต็นท์
เมื่อออกมาข้างนอกผมก็เห็นว่าทุกคนจากเผ่าของมนุษย์สัตว์ยอมจำนนแล้ว รวมถึงพวกที่มาจากเผ่าเดียวกันที่อยู่นอกกลุ่มของเรซด้วย ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่สามารถสั่งการมนุษย์สัตว์สายพันธุ์อื่นๆ ได้ทั้งหมด ถึงในท้ายที่สุดพวกเขาทั้งหมดจะทำงานร่วมกันก็เถอะ
‘ดูเหมือนหมอนั่นจะสั่งให้พวกเขายอมแพ้แล้ว คงมั่นใจในชัยชนะน่าดู’
ผมคิดกับตัวเอง
เพียงแค่ยืนอยู่ในเมืองผมก็รู้สึกได้ถึงความตึงเครียดรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในสถานที่แห่งนี้แล้ว ความกลัว, ความวิตกกังวลและความโกรธ ทุกอารมณ์ด้านลบมากองรวมกันเพื่อรอเวลาที่จะระเบิดและทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
สายตาของผมหันไปทางฝ่ายของตัวเอง โดยจับจ้องไปที่คลาร่าที่ดูเหมือนจะปรากฏตัวขึ้นในทันที
‘เธอเข้าใจแล้วใช่ไหม?’
ผมถามโดยใช้การเชื่อมต่อกระแสจิตเพื่อถามคลาร่า
“ค่ะ”
เธอตอบกลับ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นผมก็พยักหน้าขณะที่ยืนอยู่ต่อหน้ากลุ่มของตัวเอง ทุกคนต่างมีสีหน้าที่วิตกกังวลยกเว้นพวกสมาชิกหลัก เพื่อนๆ ที่เชื่อมั่นในตัวผมอย่างแท้จริงและเต็มใจที่จะลงนรกร่วมกับผม
“รายงานสถานการณ์”
ผมพูด
“ดูเหมือนว่ามนุษย์สัตว์ทั้งหมดในพื้นที่จะโกรธเคืองและกำลังเคลื่อนทัพมายังที่ตั้งของเรา พวกมันจะมาถึงที่นี่ภายในหนึ่งชั่วโมง”
อเล็กซ์กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อได้ยินดังนั้นก็ถามต่อ
“สถานการณ์ในค่ายเป็นยังไงบ้าง?”
“พูดว่าเลวร้ายยังถือว่าน้อยไป ความไม่เชื่อใจ, ความตื่นตระหนกและความเกลียดชังกำลังก่อตัวขึ้น เหมือนมีคนราดน้ำมันลงบนกองไฟที่นี่”
อเล็กซ์ตอบ
เมื่อยินดังนั้นผมก็หันไปมองสมาชิกของตัวเอง ในการรับสมัครสมาชิกของผม ผมไม่ได้มุ่งเน้นไปที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น ทำให้ขอบเขตกลุ่มของผมแตกต่างกันไป แน่นอนว่าบางคนก็เป็นสายลับจากกลุ่มอื่น แต่สหายที่ผมไว้ใจได้จัดการกับเรื่องนั้นหมดแล้ว
“เป็นห่วงพี่ชายเหรอ?”
ผมถามเมื่อเห็นว่าเอ็มม่าดูเครียด
เธอส่ายหัวกับคำถามของผมก่อนจะตอบกลับ
“หนูรู้ว่าเขาจะปลอดภัยค่ะ หนูรู้ว่าคุณจะปกป้องพวกเราให้ปลอดภัยเสมอ หนูแค่ไม่อยากให้ครอบครัวใหม่ของหนูพบกับสงครามหน่ะค่ะ”
ขณะที่พูดเสียงของเธอก็เบาลงเล็กน้อยทำให้ผมยิ้มได้ เธออาจจะไร้เดียงสาและเป็นเด็กๆ ซึ่งทำให้เธอดูเหมือนคนที่ไม่รู้จักโลก แต่ไม่มีใครที่หนีจากความจริงได้ เธอรู้ถึงความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดที่ดี ดังนั้นเธอจึงหวังเพียงว่าจะไม่มีใครต้องพบเจอกับมัน การแสดงสีหน้ามีความสุขของเธอเพื่อให้คนอื่นได้มีวันที่มีความสุขกับเธอ
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของผมขณะที่ผมเดินไปข้างหน้าเพื่อลูบหัวเธอ ดวงตาของผมจ้องไปที่เธอก่อนจะพูดขึ้นมา
“ถ้าเธอไม่ต้องการเข้าร่วมในครั้งนี้ก็ไม่เป็นไร เธอจะเอาแต่ใจบ้างก็ได้ในบางครั้ง”
เมื่อได้ยินคำพูดของผม เอ็มม่าก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมา
“ค่ะ หนูจะจำเอาไว้”
เมื่อเห็นแบบนี้ผมก็ขยี้ผมของเธอเล็กน้อยซึ่งทำให้ได้รับหน้ามุ่ยจากเธอ ผมหัวเราะเบาๆ และหันไปหาเพื่อนๆ และกลุ่มของผมทุกคน
“ในเมื่อทุกคนตัดสินใจที่จะติดตามฉันแล้วก็จงตามฉันให้ถึงที่สุด ส่วนฉันก็ขอให้คำสัญญาว่าทุกคนจะปลอดภัยไปแล้วไม่ใช่งั้นเหรอ?”
ผมพูด
“ถูกตัอง!”
เจค็อบพูดพร้อมกับตบมือของเขา
“ฉันชอบสงครามจัง”
รินะพูดด้วยรอยยิ้มกระหายเลือด
“อือ”
มิกะตอบด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม
“หนูจะต่อสู้กับทุกที่ที่คุณต้องการค่ะ”
ซานะพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ
“ฉันสงสัยว่ามนุษย์สัตว์พวกนั้นจะมองเห็นในความมืดกันได้รึเปล่าจังค่ะ?”
คลาร่าถามด้วยรอยยิ้มอันละเอียดอ่อน
“ฉันจะปกป้องทุกคนเองค่ะ”
ริกะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่ใช่ว่าสงครามมันน่าสนุกเหรอ?”
อเล็กซ์พูดด้วยเสียงหัวเราะ
“ฉันมียาพอสำหรับทุกคน!”
โซร่าพูดพร้อมกับโชว์คอลเลกชั่นยาหลายรายการของเธอ ในฐานะผู้ไม่สู้รบ นั่นคือทั้งหมดที่เธอสามารถทำได้ที่นี่
หลังจากที่เหล่าสหายของผมพูดจบ บรรยากาศรอบๆ คนของผมก็ดีขึ้นมาก จากรายงานของอเล็กซ์ กลุ่มของผมมีสมาชิกประมาณ 120 คน
“แล้วพวกนายพร้อมที่จะต่อสู้กันหรือยัง?”
ผมถามขึ้นมา
“ครับ/ค่ะ!”
พวกเขาทั้งหมดกรีดร้องพร้อมกันทำให้ผมยิ้ม
“คุณมีคนที่เชื่อใจได้แล้วสินะคะ”
เสียงที่คุ้นเคยพูดทำให้ผมหันหลังกลับไปพบกับซาบริน่าที่ยืนอยู่โดยมีสมาชิกกลุ่มของเธอที่ยืนอยู่ข้างหลัง ซึ่งดวงตาของเอมิลี่ก็จับจ้องมาที่ผม
“เจ้าชายถูกคุมตัวอยู่หรือเปล่าคะ?”
ซาบริน่าถามขึ้นมา
“เขาจะไม่สร้างปัญหาอะไรหรอก”
ผมตอบ และซาบริน่าก็พยักหน้า
“เราจำเป็นต้องรวมกลุ่มของเราและต่อสู้ด้วยกันค่ะ”
ซาบริน่ากล่าวพร้อมกับหรี่ตาลง
“แต่เธอไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะตัวตนของเธอ เจ้าชายหรือเจ้าหญิงผู้มีอำนาจไม่สามารถอยู่ภายใต้กลุ่มอื่นได้เพราะมันจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจและจุดยืน”
ผมอธิบาย และซาบริน่าก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ทุกอย่างผิดปกติไปหมด”
เธอพูดแล้วทำให้ผมยิ้ม
“เดาว่าฉันคงต้องจัดการเองสินะ”
ผมพูดและเริ่มเดินไปที่ด้านบนสุดของประตู ที่ซึ่งกลุ่มที่เหลือกำลังรวมตัวกันอยู่
ภายในไม่กี่วินาทีผมก็ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดและยืนเคียงข้างกับซาบริน่า ซึ่งเหล่าผู้นำต่างก็รวมตัวกันด้วยสีหน้าจริงจัง
“ชักไม่ดีแล้วสิ”
แองเจลิน่าพูด ขณะที่เราทุกคนเห็นกองทัพมอนสเตอร์ที่เดินเข้ามาหาพวกเราจากทุกทิศทุกทาง
“มันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน? พวกมันรวมตัวกันโดยที่เราไม่รู้ตัวได้ยังไง?”
คาร์เมลถามอย่างจริงจัง
“ศัตรูของเราเตรียมพร้อมมาอย่างดี”
ผมพูดเรียกความสนใจ
“มันไม่สำคัญหรอกว่าพวกมันทำได้ยังไงหรือทำไปเพื่ออะไร สุดท้ายพวกเราก็ต้องจัดการกับสถานการณ์ในตอนนี้ ด้วยกำลังที่น้อยกว่าและศัตรูที่อาจรอเราอยู่ข้างใน”
คำพูดของผมทำให้สถานการณ์แย่ลง และทุกคนก็แสดงสีหน้ารุนแรง
“นายมีอะไรจะเสนอหล่ะ?”
อิซาเบลล่าเป็นผู้นำอย่างน่าประหลาดใจและถามผมขึ้นมา
“ถ้าซาบริน่าเชื่อใจนายมากขนาดนี้ นายคงมีแผนอยู่สินะ?”
เธอกล่าวเสริมทำให้ทุกคนประหลาดใจ
“ง่ายมาก ฉันจะเป็นผู้นำเอง”
ผมพูดและมองดูทุกคนที่มารวมตัวกันที่
“โอลิเวีย, คาร์เมล, มาร์ลีน, ซาบริน่า, อิซาเบลล่า, แองเจลิน่า, รอนและเบล ฉันจะพาพวกเราผ่านพ้นเรื่องนี้ไปเอง
-Donate-
True Money Wallet ID : mraxzy
ไทยพาณิชย์ : 4051572923 //ชาคริต