บทที่ 206 พาเธอเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลเฟิงเลยเหรอ

อ้อนรัก คุณภรรยาคนสวย

“อาฟาน บริษัทของเราเพิ่งจะก้าวหน้า ไม่ได้มีทรัพยากรมากมายจะไปสู้กับคนอื่นหรอก”

เกาเหวินทอดถอนใจอย่างหนักหน่วง เธอข่มอารมณ์โกรธไว้ และพูดชี้แนะออกไปอย่างจริงจัง : “ตอนนี้ฮวนฮวนสิ้นสุดการอยู่ในค่ายแล้ว อีกไม่นานก็จะเข้าสู้ขั้นตอนการบันทึกเทปการแข่งขัน ยังไงก็ต้องยัดเงินค่าซีนกล้องให้กับทีมงานรายการอยู่แล้ว แต่คุณดันเพิ่มซงหลิงเอ่อร์เข้ามา……..ค่าใช้จ่ายก็เลยเกินกว่าที่เราจะคาดคิดไว้!”

“พี่เกาเหวิน พี่ฟานเคยพูดเรื่องนี้กับฉันแล้ว เราไม่เอาค่าโฆษณาของพวกคุณก็ได้ แต่ฉันอยากแย่งซีนในรายการ ด้วยการแทรกรายการคู่รักฉบับมือใหม่ลงไป” ซงหลิงเอ่อร์ม้วนผมเล็กน้อย ก่อนจะเอียงคอมองจางฟาน และพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า : “พี่ฟาน เพราะเห็นแก่หน้าของพี่หรอกนะ จริง ๆ ฉันยังมีบริษัทใหญ่ที่อยากเข้ามาชิงตัวฉันอีกหลายแห่งนะ!”

ที่ซงหลิงเอ่อร์พูดก็ไม่ผิด เธอไม่อยากตามติดจางฟาน จึงไม่จำเป็นต้องใช้บริษัทเล็ก ๆ ที่เพิ่งจะเริ่มก้าวหน้าของจางฟาน

ถึงแม้ว่าจางฟานจะลงทุนกับบริษัทโกโรโกโสนี้ไม่มากนัก แต่ครอบครัวของจางฟานก็มีภูมิหลังที่เก่งกาจมาก อีกทั้งจางฟานเองก็ยังมีเงินส่วนตัวเป็นจำนวนมาก สามารถออกค่าใช้จ่ายให้กับเธอด้วยเงินส่วนตัวของเขาได้โดยไม่มีปัญหา

ส่วนค่าใช้จ่ายของบริษัทโกโรโกโสแห่งนี้ ก็เก็บไว้ให้กับเฉินฮวนฮวนผู้หญิงที่ยากจนและล้าหลังคนนี้เถอะ

เรื่องสำคัญที่สุด เธอรู้สึกไม่เป็นธรรมที่เซ็นสัญญากับบริษัทเล็ก ๆ ของจางฟาน คงจะหวังว่าหลังจากที่ผลักดันจนตัวเองมีชื่อเสียงโด่งดังแล้วก็คงจะเบียดเกาเหวินตกจากตำแหน่งเจ้านายเป็นแน่

“งั้นเธอก็ไปเซ็นสัญญากับบริษัทใหญ่ ๆ สิ!” เกาเหวินตะโกนออกมาทันที เพราะความโกรธ สีหน้าจึงแดงก่ำ

ซงหลิงเอ่อร์ตกใจสุดขีด จึงรีบยกมือขึ้นมาตบหน้าของตัวเองทันที ดวงตาที่ไร้เดียงสาคู่นั้นได้เบิกกว้างอย่างน่าสงสาร และถามขึ้นว่า : “พี่เกาเหวิน ทำไมพี่ถึงชี้แนะฉันหนักหน่วงแบบนี้? ฉันคิดว่าเงื่อนไขก็ไม่เลวเลยนะ ฉันยอมเซ็นสัญญากับบริษัทของพวกพี่ พวกพี่ก็ควรจะดีใจสิถึงจะถูก”

“ซงหลิงเอ่อร์ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่?” เกาเหวินยิ้มเยาะอย่างเย็นชา ก่อนจะชี้หน้าด่าเธอว่า : “เธออยู่ห่าง ๆ จางฟานเลยนะ รีบไสหัวออกไปจากสายตาฉันเดี๋ยวนี้!”

ครั้งนี้เกาเหวินทนไม่ไหวอีกต่อไป เพราะซงหลิงเอ่อร์เข้ามารังแกเธอถึงที่

“เหวินเหวิน เธอพูดอะไร?” ใบหน้าของจางฟานแสดงออกถึงความไม่พอใจ

ซงหลิงเอ่อร์ถูกเกาเหวินตำหนิ ดวงตาคู่นั้นเริ่มแดงก่ำไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นน้ำตาก็ได้ไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย ดูท่าทางน่าสงสารจับใจ

“พี่เกาเหวิน พี่ชักจะทำเกินไปแล้วนะ ฉันไปล่วงเกินพี่ตรงไหนเหรอ? พี่ถึงได้มาทำแบบนี้กับฉัน?” ซงหลิงเอ่อร์ฟูมฟายไปพลางใช้มือปาดน้ำตาไปพลาง

“หลิงเอ่อร์ คุณหยุดร้องไห้ได้แล้ว ผมขอโทษคุณแทนเกาเหวินด้วยนะครับ” จางฟานทำอะไรไม่ถูก ดูท่าทางคงจะอยากปลอบใจซงหลิงเอ่อร์ แต่ก็เป็นกังวลว่าจะทำให้เกาเหวินโกรธ

“จางฟาน นายเป็นอะไรกับฉัน? นายมีสิทธิ์อะไรมาขอโทษเธอแทนฉัน?” เกาเหวินเขวี้ยงกระเป๋าแอร์เมสลงไปบนพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นก็ถลึงตาที่แดงก่ำไปทางจางฟาน และยิ้มเยาะด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “นายอย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่านายกับซงหลิงเอ่อร์มีความสัมพันธ์อะไรกัน ฉันอดทนมานานแล้ว จางฟาน นายยังจำคำพูดตอนที่นายสารภาพรักกับฉัน ได้ไหม?”

ประโยคสุดท้าย เกาเหวินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อย จางฟานถึงกับอึ้งงันทันที เห็นได้ชัดว่านึกไม่ถึงว่าเขาจะทำให้เกาเหวินโกรธแบบนี้

เกาเหวินหมุนตัว จากนั้นก็ดึงมือของเฉินฮวนฮวนและเดินจากไป แต่จู่ ๆ ก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบหันกลับมาเก็บกระเป๋าที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา

“เหวินเหวิน ฉัน………” จางฟานเห็นการกระทำของเกาเหวิน เขากำลังอ้าปากราวกับอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะพูดออกมายังไง

“เราไปกันเถอะ” เกาเหวินไม่ได้สนใจจางฟานแต่อย่างใด เธอกระชากเฉินฮวนฮวนเดินกลับขึ้นรถไป จากนั้นก็สตาร์ทรถและขับออกไปทันที

ระหว่างที่ขับรถนั้น เธอพบว่าจางฟานไม่ได้ตามเธอมา ดังนั้นจึงได้หักเลี้ยวรถจอดข้างทาง เธอจับพวงมาลัยและกรีดร้องไห้ออกมาเสียงดัง

“พี่เหวิน” เฉินฮวนฮวนมองไปยังเกาเหวินที่กำลังร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เธอเอ่ยเรียกด้วยเสียงทุ้มต่ำ แต่กลับไม่รู้ว่าจะปลอบใจยังไง

เกาเหวินไม่ตอบ ได้แต่ร้องไห้อย่างทุกข์ทรมานต่อไป เฉินฮวนฮวนจึงทำได้เพียงแค่รออยู่เงียบ ๆ

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ราวกับน้ำตาได้ถูกขับออกมาจนแห้งเหือดหายไป และราวกับคิดอะไรบางอย่างได้ เกาเหวินจึงยืดตัวขึ้น จากนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าของตัวเอง และกลับมาอยู่ในโหมดปกติอีกครั้ง

“ฮวนฮวน เธอคงจะหัวเราะเยาะฉันอยู่ล่ะสิท่า” เกาเหวินยิ้มเรียบ ๆ แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูฝืนเต็มทน

เธอรักษาภาพลักษณ์ภายนอกที่ดีอยู่เสมอมา ไม่เคยเสียสติแบบนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ บางทีอาจจะเพราะเธอไม่แคร์ว่าเฉินฮวนฮวนนั่งอยู่ตรงนี้ หรือบางทีอาจเป็นเพราะสายสัมพันธ์ที่ผูกมัดได้ขาดสะบัดแล้ว เธอจึงไม่สามารถอดกลั้นมันได้อีกต่อไป

เดิมที เธออยากจะเซ็นสัญญากับเฉินฮวนฮวน แล้วไล่ซงหลิงเอ่อร์ออกด้วยซ้ำ แบบนี้ ศิลปินในบริษัทอย่างเฉินฮวนฮวนก็จะกลายเป็นคนของตัวเอง ส่วนซงหลิงเอ่อร์ก็จะได้ไม่มีเวลามาเจอกับจางฟานอีก

เธออยากทำแบบนี้ จะได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจางฟานและซงหลิงเอ่อร์มันลดลงบ้าง แต่นึกไม่ถึงว่า ตอนนี้จางฟานจะกล้าพาซงหลิงเอ่อร์เข้ามาในบริษัท

“พี่เหวิน ฉันไม่มีทางหัวเราะเยาะพี่หรอก แค่เหตุการณ์ในวันนี้ เด็กฝึกผู้หญิงคนนั้น……..” ผู้เฝ้าดูเหตุการณ์อย่างเฉินฮวนฮวนย่อมมองออก เห็นได้ชัดว่าซงหลิงเอ่อร์และจางฟานมีอะไรกันอย่างแน่นอน

ไม่อย่างนั้น เกาเหวินไม่มีทางเสียสติขนาดนี้ ไม่เพียงแค่เพราะเซ็นสัญญากับซงหลิงเอ่อร์เท่านั้น น่าจะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงด้วย

“ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว เราไปกินข้าวเที่ยงกันดีกว่า” เกาเหวินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็สตาร์ทรถออกไป

ทั้งสองคนหาร้านหม้อไฟที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง กินไปพลางเม้าท์มอยอย่างสนุกสนานไปพลาง เฉินฮวนฮวนได้รายงานสถานการณ์ในค่ายฝึกให้เกาเหวินฟัง

“เธอหมายความว่า……เธอไม่ได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาเหรอ?” เกาเหวินนึกไม่ถึงว่าเฉินฮวนฮวนจะยั้งมือเอาไว้

“พี่เหวิน ฉันคิดว่าในเมื่อมันคือการแข่งขัน ฉันกับเด็กฝึกทุกคน คือศัตรูกันนะ อยากจะชนะศัตรู ฉันเลยคิดว่าจะปิดศักยภาพของตัวเองเอาไว้ก่อน” เฉินฮวนฮวนพูดอย่างจริงจัง

เกาเหวินอึ้งงันไปทันที จากนั้นก็โพล่งออกไปว่า : “ฮวนฮวน เธอเคยเรียนทหารยุทธศาสตร์มาใช่ไหม?”

“ไม่นี่คะ” เฉินฮวนฮวนแสดงท่าทางงุนงง จากนั้นก็ส่ายหน้าทันที

“เธอ…..ฉลาดเกินไปแล้ว” เกาเหวินชูนิ้วโป้งขึ้นมาชื่นชมทันที

เฉินฮวนฮวนยิ้มด้วยความลำบากใจ จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาเกาศีรษะเล็กน้อย

“ฮวนฮวน จู่ ๆ ฉันก็คิดได้ว่าการมีศิลปินที่เฉลียวฉลาดอย่างเธอ ฉันคงได้ทำงานคนเดียวแล้วใช่ไหม?” จู่ ๆ เกาเหวินก็หัวเราะอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“พี่เหวิน พี่พูดอะไรคะ?” เฉินฮวนฮวนเริ่มไม่เข้าใจ

แต่เมื่อผ่านไปไม่กี่วินาที เธอก็ได้สติกลับมาทันที ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง และถามกลับไปว่า : “พี่หมายความว่า พี่จะถอนตัวออกจากบริษัทในตอนนี้ พี่จะเลิกกับแฟนของพี่เหรอคะ?”

“ฉัน……ยังไม่แน่ใจ ฉันอยากจะพยายามอีกสักตั้ง” เกาเหวินทิ้งจางฟานไม่ได้จริง ๆ

หลายปีมานี้ เธอได้รับความไม่เป็นธรรมไม่น้อย พยายามอดทนมาโดยตลอด แต่วันนี้ซงหลิงเอ่อร์คนนี้เบ่งอำนาจเกินไป เนื่องจากเกาเหวินเป็นคนที่เคารพตัวเองมาก จึงทนการยั่วยุของซงหลิงเอ่อร์ไม่ไหว ดังนั้นจึงได้คลุ้มคลั่งออกมา

ทันทีที่ได้ยินคำตอบของเกาเหวิน เฉินฮวนฮวนก็รู้ทันที จริง ๆ แล้วเกาเหวินตั้งใจจะให้อภัยจางฟานอยู่เงียบ ๆ ในใจ ต่อให้จางฟานจะมีอะไรกับซงหลิงเอ่อร์จริง ๆ ก็ตาม

“พี่เหวิน พี่เก่งและมีความสามารถมากขนาดนี้ ทำไมถึงต้องทนรับความไม่เป็นธรรมแบบนี้ด้วย? ให้โอกาสได้นะ แต่อีกฝ่ายต้องคว้าโอกาสนั้นไว้ด้วย แบบนั้นถึงจะให้อภัยกันได้ ถ้าไม่คว้าโอกาสนั้นเอาไว้ ก็ไม่ควรจะให้อภัยนะคะ” เฉินฮวนฮวนพูดโดยไม่ลงรายละเอียด เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์แทรกแซงความรักของเกาเหวินและจางฟาน

แต่เธอจะไม่พูดก็ไม่ได้ ดังนั้นจึงอดพูดออกไปสักสองสามประโยคไม่ได้

เกาเหวินได้ยินเฉินฮวนฮวนพูดมีเหตุผลแบบนี้ครั้งแรก ในความประทับใจของเธอ เฉินฮวนฮวนน่าจะเป็นเด็กฝึกผู้หญิงผู้น่าสงสารที่ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

“ฉันจำแฟนคนแรกของเธอได้ เขานอกใจเธอไปยุ่งกับพี่สาวบุญธรรมของเธอ ตอนนั้นเธอให้อภัยเขาได้ไหมล่ะ?” เกาเหวินอดถามขึ้นไม่ได้

เธอรู้ว่าเฉินฮวนฮวนเคยผ่านเรื่องราวแบบนี้มาเหมือนกัน แต่เหตุการณ์ที่เป็นรูปธรรมเป็นยังไงนั้นเธอไม่รู้

“ไม่ค่ะ” เฉินฮวนฮวนส่ายหน้า จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา : “และแน่นอนว่าเขาไม่ตามมาให้ฉันยกโทษให้เขาด้วย”

“พอแล้ว” เกาเหวินรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรพูดเรื่องนี้ จึงพูดออกไปว่า : “ขอโทษนะที่ทำให้เธอคิดถึงเรื่องที่เสียใจ”

“ไม่เสียใจเลยค่ะ ฉันไม่มีความรู้สึกนั้นนานแล้ว…….ถ้าจะรู้สึก ก็คงจะรู้สึกรังเกียจ โกรธ แต่ไม่ได้เสียใจ บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมรักครั้งแรกที่ควรจะสวยงามกลับต้องมาตกอยู่ในน้ำมือของผู้ชายแบบนี้ด้วย” เฉินฮวนฮวนตอบกลับตามความจริง

ไม่มีอะไรแอบแฝง

แม้กระทั่งเรื่องที่คิดวนเวียนอยู่ในหัวสมองตอนนี้ ถ้ามอบรักครั้งแรกที่สวยงามให้กับเฟิงหานชวน คงจะเป็นเรื่องที่โรแมนติกมากแน่ ๆ?

เพียงแต่ว่าสมมติฐานนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพราะรักครั้งแรกของเธอคือเยี่ยจิ่งเฉิน นี่เป็นความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

“ที่แท้ก็ไม่ได้รักผู้ชายแค่คนเดียวแล้ว นอกจากความเกลียดและความโกรธ ก็คงจะไม่มีความรู้สึกอื่นอีกแล้ว” เกาเหวินดื่มน้ำไปหนึ่งอึก จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างเงียบ ๆ

“พี่เหวิน กินเนื้อด้วยสิ” เฉินฮวนฮวนใช้ตะเกียบคีบเนื้อวัวหมาล่าให้กับเกาเหวิน

เธอดูออก เกาเหวินแคร์จางฟานมาก เลยตั้งใจจะเบี่ยงหัวข้อนี้

“อื้อ กินหม้อไฟต่อเถอะ ไม่พูดแล้ว” เกาเหวินพยักหน้าเล็กน้อย

……

หลังจากที่อิ่มหนำสำราญแล้ว เกาเหวินเสนอจะขับรถไปส่งเฉินฮวนฮวน ซึ่งเฉินฮวนฮวนก็ตอบรับ

“ไปส่งที่ย่านคฤหาสน์ในครั้งที่แล้วใช่ไหม?”

“อื้อ ใช่ค่ะ”

ผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า เกาเหวินก็ขับรถมาถึงหน้าประตูใหญ่ของย่านคฤหาสน์ เธอเตรียมจะขับรถเข้าไปข้างใน แต่กลับถูกปิดกั้น รถของเธอไม่สามารถขับเข้าไปในย่านคฤหาสน์ได้

“พี่เหวิน ฉันลงตรงนี้ก็ได้ค่ะ พี่ไม่ต้องขับไปส่งข้างในหรอก” เฉินฮวนฮวนปลดเข็มขัดนิรภัยออก

เกาเหวินจึงรีบพูดว่า : “เธอมีกระเป๋าเดินทางด้วยนะ ฉันจะให้เธอเดินกลับเข้าไปคนเดียวได้ยังไง? เฟิงหานชวนไม่ได้ให้คีย์การ์ดกับเธอเหรอ?”

“ฉันไม่มีคีย์การ์ด แต่ประตูบานนี้สแกนใบหน้าได้” เฉินฮวนฮวนเองก็ไม่อยากขัดเจตนาที่ดีของเกาเหวิน จึงได้ลงจากรถไปสแกนใบหน้า

เกาเหวินขับรถเข้าไปในย่านคฤหาสน์ ตามทิศทางของเฉินฮวนฮวน ในที่สุดเธอก็ขับรถมาจอดหน้าประตูบ้านสไตล์จีนอันหรูหราหลังหนึ่ง

“พี่เหวิน ถึงแล้วล่ะ ขอบ…..” ยังไม่ทันที่เฉินฮวนฮวนจะพูดขอบคุณและกล่าวลาจบลง เกาเหวินก็เปิดประตูลงจากรถไปแล้ว

เฉินฮวนฮวนจึงรีบเปิดประตูลงจากรถเช่นกัน

ในเวลานี้ เกาเหวินได้เดินนำเธอไปก่อน หยิบกระเป๋าเดินทางของเธอออกมาจากหลังรถ ช่วยเธอเข็นกระเป๋าเดินทางไปยังประตูบ้านตระกูลเฟิง

เกาเหวินมองไปยังออดหน้าประตูและเครื่องใส่รหัสผ่าน จากนั้นก็มองเลยไปยังตัวอักษรเลื่อมทองสามมิติขนาดใหญ่ข้างเครื่องใส่รหัสนั้น —— บ้านตระกูลเฟิง

เฉินฮวนฮวนเตรียมยื่นมือออกไปใส่รหัสฝ่านหน้าประตู แต่จู่ ๆ กลับถูกเกาเหวินขัดจังหวะเสียก่อน

“ฮวนฮวน เฟิงหานชวนพาเธอเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลเฟิงเลยเหรอ?” ใบหน้าของเกาเหวินแสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด