ตอนที่ 385 ขี่รถสนุกจัง

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 385 ขี่รถสนุกจัง

เย่ว์เลี่ยงกับผู้อาวุโสทั้งสี่พักอยู่ที่บ้านตระกูลอวิ๋นหนึ่งสัปดาห์ วันเสาร์หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จก็กลับเมืองเย่ว์ตู

คนที่ร่วมเดินทางยังมีปู่ตี้ย่าตี้ เจ้าถุงลมน้อยและหลินเหอเฟิงอาจารย์ของเขา

จากนั้นก็พักอยู่ที่เมืองเย่ว์ตูหนึ่งสัปดาห์ มู่เถาเยากับเย่ว์เลี่ยงและอวิ๋นไป๋ไปส่งทุกคนกลับหมู่บ้านเถาหยวน

ครั้งนี้ลู่จือฉินไม่ได้กลับไปด้วย เพราะต้องใช้ทุกวินาทีไปกับการสอนลู่หันซู ปาอินก็เรียนด้วย

ตี้อู่หลันฉือแอบจินตนาการว่าลู่จือฉินเป็นแม่เลี้ยงของเธอ จึงไม่เกาะติดมู่เถาเยาอีกต่อไป อยู่ต่อตามลู่จือฉิน

ถังถังกลับหมู่บ้านเถาหยวนด้วย เพราะปู่ทวดของเธอแอบหนีกลับหมู่บ้านเถาหยวนคนเดียวตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

ปู่ทวดไม่ให้ใครตามไปด้วยแม้แต่คนเดียว หนีกลับไปเอง พอลงจากเครื่องบินถึงโทรบอกคนในครอบครัว

ตอนนั้นคนในบ้านไปเรียกเขามากินข้าวแต่กลับไม่เจอตัว โทรหาก็ไม่ติด เล่นเอาคนทั้งบ้านตามหากันจ้าละหวั่น เกือบไปแจ้งตำรวจแล้ว

ตอนมู่เถาเยาได้ข่าวก็ไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรดี

ปู่ทวดถังเป็นคนหัวดื้อ ยิ่งแก่ยิ่งแสบ

แต่ด้วยความที่เขาอาวุโสมาก คนตระกูลถังจึงไม่กล้าโกรธเขา ก็มีแค่เหลนอย่างถังถังที่เขาตามใจตั้งแต่เด็กมาจนโตที่พอจะพูดอะไรได้หน่อย

“ปู่ทวดคะ ครั้งหน้าห้ามทำแบบนี้อีกนะคะ! ถ้าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง หนูจะทำยังไงคะ!”

ปู่ทวดถังตบหลังมือเหลนสาวเบาๆ เป็นการปลอบ เอาล่ะๆ ครั้งหน้าปู่ทวดไปไหนจะบอกเราแน่นอน”

“สัญญาแล้วนะคะ! ถ้าครั้งหน้ากล้าแอบหนีมาอีก หนูจะไม่สนใจปู่ทวดแล้ว!”

“เข้าใจแล้ว ปู่จะไม่แอบหนีออกมาอีกแล้ว”

“ค่ะ”

ใบหน้าที่งดงามของถังถังถึงได้มีรอยยิ้ม

มู่เถาเยายิ้มพูด “ปู่ทวดคะ วันหน้าถ้าอยากมาหรืออยากกลับก็บอกหนูนะคะ หนูจะให้พี่เหลียงจีคอยรับส่งค่ะ”

“ไอหยา ครั้งนี้ปู่คงอยู่ถึงตรุษจีนปีหน้าค่อยกลับเลยล่ะ”

ถังถังจับแขนของปู่ทวดส่ายไปมา พูดออดอ้อน “ปู่ทวด พอหนูปิดเทอมหน้าร้อนยังไงก็ต้องกลับบ้าน พอถึงตอนนั้นปู่ทวดกลับเป็นเพื่อนหนูนะคะ หมดปิดเทอมค่อยกลับมาด้วยกัน”

“เอ่อ…ก็ได้” ใครใช้ให้นี่เป็นเหลนสาวที่เขาประคบประหงมตั้งแต่เด็กจนโตล่ะ!

เขาปฏิเสธไม่ลง!

มู่เถาเยากลั้นขำ

สงสัยว่าในใจของปู่ทวดถัง ถังถังแค่คนเดียวก็สำคัญกว่าทุกคนรวมกัน

“คุยกันไปนะคะ หนูขอไปดูศูนย์วิจัยก่อน”

สองปู่เหลนพยักหน้า

ตี้อู๋เปียนรีบคว้าโอกาส “ซาลาเปาน้อยฉันไปด้วย”

“ได้”

ทั้งสองคนบอกพวกหยวนเหยี่ยแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าไปศูนย์วิจัย

ตี้อู๋เปียนนั่งด้านหลัง สองมือกอดเอวบางของมู่เถาเยาไว้ รู้สึกสบายจนต้องขอเอ่ยปาก “ลมเดือนมีนานี่มันเย็นสบายจริงๆ”

“นั่นเป็นเพราะเมื่อก่อนคุณสุขภาพไม่ดี เลยไม่เคยได้นั่งรถแบบนี้”

“สบายกว่านั่งรถยนต์อีก”

“ถ้าฝนตกหรือแดดร้อนจัดคุณคงไม่มีทางรู้สึกแบบนี้”

“อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้สึกดีมาก ซาลาเปาน้อย ขอขี่บ้างได้ไหม” ตี้อู๋เปียนนึกสนุก

“ขี่เป็นเหรอ”

“ไม่เป็นหรอก สอนฉันหน่อยสิ ฉันหัวไวเดี๋ยวก็ขี่เป็น”

“ก็ได้ ยังไงมันก็ง่ายๆ ขี่รถเป็นต่อไปจะไปไหนก็สะดวก ไม่ต้องให้คนไปส่ง” มู่เถาเยาจอดรถข้างทาง

รถคันนี้เล็กมาก ด้านหลังคนขับนั่งได้แค่คนเดียว

ถึงแม้ตี้อู๋เปียนจะรูปร่างผอม แต่เขาตัวสูงขายาว นั่งด้านหลังต้องงอขาเก้งก้าง แสดงให้เห็นว่ารถคันนี้เล็กน่ารักขนาดไหน

“ตี้อู๋เปียน สองอันนี้ไว้เบรกรถ…อันนี้เป็นไฟเลี้ยว นี่เป็นไฟหน้า กดแบบนี้ก็สว่างแล้ว…”

มู่เถาเยาสอนขั้นพื้นฐานเสร็จก็ขยับไปนั่งด้านหลัง

พอเห็นเธอไม่ยอมจับเอว ตี้อู๋เปียนจึงพูดขึ้น “ซาลาเปาน้อย กอดให้แน่นๆ สิ เดี๋ยวร่วงนะ”

“…ได้ สองขาของคุณยันพื้นไว้ก่อน มือขวาค่อยๆ บิดคันเร่ง พยายามเบาหน่อย ค่อยๆ ขับทำความคุ้นเคยกับความเร็วรถ…ไม่ต้องเกร็ง สบายๆ”

มู่เถาเยารู้สึกได้ว่าร่างกายของตี้อู๋เปียนดูเกร็ง จึงตบแขนของเขาเบาๆ

“ผ่อนมือสบายๆ ไม่งั้นเดี๋ยวจะปวดเอานะ”

“อืม”

ตี้อู๋เปียนเริ่มบิด รถพุ่งไปไกลมากจนเขาเองก็ตกใจ

มู่เถาเยารีบยื่นมือไปช่วยเขาลดความเร็วแล้วหยุดลง

ตี้อู๋เปียนพูดด้วยความเขินอาย “ฉันบิดเบาๆ เองนะ แต่มันพุ่งไปไกลมากเลย…”

“งั้นก็เบาลงอีกหน่อย”

“อืม”

ตี้อู๋เปียนลองอีกครั้ง

ครั้งนี้เริ่มกะน้ำหนักได้แล้ว

ลองทำซ้ำๆ ก็ควบคุมความเร็วตอนเริ่มได้แล้ว

“คุณลองเอาเท้าขึ้นข้างนึงก่อน ค่อยๆ หาสมดุล”

“ได้”

“…อืม ใช้ได้ รักษาความเร็วไว้…ค่อยๆ เบรก…”

ตี้อู๋เปียนทำตาม จอดรถได้ดีมาก

“ด้านหน้ามีทางโค้ง ระวังหน่อย อย่ารีบหักเลี้ยว ตีโค้งกว้างหน่อย เผื่อโค้งมันแคบจะเลี้ยวไม่ได้ หรืออาจล้มได้ถ้าโค้งแคบเกินไป…ตอนลงเนินก็ช้าๆ ระวังการเบรกกระชั้นจะเกิดอุบัติเหตุได้…”

“อืมๆ”

ตี้อู๋เปียนเริ่มจับทางได้แล้ว

เมื่อไปถึงศูนย์วิจัย เขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแข็งแล้ว

“ซาลาเปาน้อย ขี่รถสนุกจัง!”

มู่เถาเยาพยักหน้า “เวลาอากาศดีๆ ขี่รถสนุกกว่านั่งรถยนต์ โดยเฉพาะเมื่อสองข้างทางวิวสวย”

“อืม”

ตี้อู๋เปียนจอดรถให้ดี เดินเข้าศูนย์วิจัยหกชั้นพร้อมมู่เถาเยา

อาคารแห่งนี้ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านเถาหยวนนอกจากโรงงาน สีขาวทั้งตึก ดูสะอาดตา

นักวิจัยของที่นี่มาจากการที่เย่ว์จือกวง ปาเฝ่ย ตี้อู๋เปียนและมู่เถาเยารวบรวมมาจากทุกมุมโลก เลือกมาสักคนก็ล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง

มู่เถาเยาย่อมให้ข้อเสนอแก่พวกเขาแบบที่สมน้ำสมเนื้อ

ไป๋เฮ่าอวี๋อาศัยใบบุญของตี้อู๋เปียนถึงเข้าไปได้ แต่ความสามารถของเขาก็ไม่แพ้ใคร

เดินวนศูนย์วิจัยหนึ่งรอบแล้วออกมา ตี้อู๋เปียนเสนอให้ไปห้องสมุดต่อ

มู่เถาเยาย่อมตกปากรับคำ

ตี้อู๋เปียนเป็นคนขี่ตลอดทาง

พอลงจากรถเขาก็พูดอย่างอารมณ์ดี “ซาลาเปาน้อย ฉันคนเดียวก็ขี่ได้แล้วนะ”

“อืม ระวังหน่อยก็พอ อันที่จริงมันก็ง่ายเหมือนขี่จักรยานนั่นแหละ ขอแค่ไม่ซิ่งมันก็ไม่มีทางเกิดเรื่อง”

“ใช่แล้ว ซาลาเปาน้อย ฉันเติมหนังสือเต็มห้องสมุดแล้ว เธอลองดูนะว่าขาดอะไรไหม ฉันจะหามาเพิ่ม”

“ฉันเชื่อในการทำงานของคุณ”

มู่เถาเยายืนอยู่หน้าห้องสมุด ดื่มด่ำกับการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์

พ่อของเธอให้สถาปนิกที่โด่งดังที่สุดในเผ่าเป็นคนออกแบบ เธอชอบมาก

เป็นการผสมผสานระหว่างความคร่ำครึของการเรียนกับความสบายๆ ไม่เคร่งเครียด เมื่อเทียบกับห้องสมุดแบบเดิมๆ ที่จืดชืด ที่นี่เหมือนคาเฟ่ห้องสมุดมากกว่า หรือไม่ก็พวกศูนย์การเรียนรู้

อาคารเล็กสามชั้น ตรงกลางเว้นโล่ง ผนังกระจก พื้นสีขาว โต๊ะเก้าอี้และชั้นหนังสือทำจากไม้ โดยรวมให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

มู่เถาเยายิ้มกว้างเดินเข้าไป

เนื่องจากเป็นสุดสัปดาห์ ด้านในจึงมีชาวหมู่บบ้านมาอ่านหนังสือมากมาย

พอเห็นพวกเขาเข้ามาก็พากันทักทายเสียงเบา

ทั้งสองคนทักทายกลับด้วยรอยยิ้ม

เดินทั่วทั้งสามชั้นเสร็จก็ออก

มู่เถาเยาหันกลับตอนอยู่ตรงทางเข้า มองเข้าไปด้านใน ยิ้มดวงตาโค้งมน “ฉันมีความสุขมาก”

มีความสุขที่ชาวบ้านรักการอ่าน อยากพยายามไปพร้อมกับเธอ ไม่ใช่เธอพยายามอยู่แค่คนเดียว

ใบหน้างดงามดุจเทพบุตรของตี้อู๋เปียนก็มีรอยยิ้ม “แค่เธอมีความสุขก็พอ”

เธอสุขเขาสุขยิ่งกว่า