บทที่ 313 พี่ชายของเธอเก่งนะ (2)

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 313 พี่ชายของเธอเก่งนะ (2)

บทที่ 313 พี่ชายของเธอเก่งนะ (2)

“ไม่ต้องห่วงหรอก เมื่อวานก็มีคนตามไปตั้งเยอะ ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย สองคนนั้นไม่ได้รับผลดีแน่!”

เสี่ยวเถียนมองตู้โดยสารที่ว่างเปล่า ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา

“อยากตามฉันไปดูไหม?” ฮั่วซิวเฉิงพูดด้วยรอยยิ้มจริงใจ

แต่เสี่ยวเถียนไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้มากนัก เธอส่ายหัวอย่างเด็ดขาด “หนูยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย”

ว่าจบ เสี่ยวซื่อก็หยิบไข่ที่เอามาจากบ้านออกมา ตามด้วยแป้งทอด จากนั้นก็แตงกวาอีกหลายลูกที่ล้างสะอาดแล้ว

แป้งทอดค่อนข้างแห้ง เพราะคุณย่าซูใช้เวลาทอดอยู่นาน

ซึ่งมันจะอยู่ได้นานกว่าหมั่นโถวที่ม้วนเป็นเส้น ๆ

ถึงอากาศจะร้อน แต่ก็อยู่ได้สี่ถึงห้าวัน ตอนที่ออกเดินทาง คุณย่าซูทำอาหารหลายอย่างมาให้เป็นอาหารเช้าไม่น้อยเลย

ฮั่วซิวเฉิงไม่ได้กินอาหารเช้า เดิมทีคิดจะไปซื้อที่รถขายอาหาร เลยชวนเสี่ยวเถียนไปด้วยกัน

ไอ้เรื่องดูความตื่นเต้นเนี่ยแค่โกหก แต่ไอ้เรื่องไปซื้อข้าวเช้าคือเรื่องจริง

ผลคือเสี่ยวเถียนปฏิเสธ แล้วหยิบอาหารเช้าออกมา

ตอนเห็นอาหารพวกนั้น ฮั่วซิวเฉิงรู้สึกหิวขึ้นมาทันที

แต่เขาอายเกินกว่าจะขอกินด้วย

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ไปที่รถขายอาหาร

หลังจากนั้นไม่นาน ฮั่วซิวเฉิงก็กลับมา ด้านหลังมีคนกำลังเข็นรถขายอาหารตามมา

“ผู้เฒ่าฉือ สาวน้อยเสี่ยวเถียน เสี่ยวหย่วน เสี่ยวซื่อ ฉันซื้ออาหารเช้ามา มากินด้วยกันเถอะ”

“พวกเรามีแล้วครับ!” ฉืออี้หย่วนพูดเสียงเย็น

ฉือเก๋อจ้องหลานชาย “คุณเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราก็เอาอาหารเช้ามาเหมือนกันนะ”

“พวกคุณกินแป้งทอดแห้งจัง ผมซื้อโจ๊กลูกเดือยมาเยอะเลย อร่อยนะ คุ้มที่จะลองนะ!”

ฮั่วซิวเฉิงเป็นฝ่ายทักก่อน แล้วให้พนักงานรถเสบียงเอาหม้อโจ๊กที่เขาซื้อมาวางไว้บนโต๊ะ

“พวกคุณต้องเอาแป้งทอดมาแน่ๆ เลยใช่ไหม? ไม่ต้องเกรงใจนะ มากินกันเถอะ!”

เสี่ยวเถียนหัวเราะออกมา เธอเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายต้องเอามาเพื่อกินกับของกินเราแน่

แต่พูดแล้วก็แปลก ทำไมถึงจ้องของกินเราขนาดนั้น?

เข้าใจได้ว่าของเมื่อวานมันไส้ผักกับเนื้อ แต่ของวันนี้เป็นแบบธรรมดานะ!

ฉือเก๋อเข้าใจสิ่งที่ฮั่วซิวเฉิงจะสื่อ และไม่เกรงใจอีกต่อไป เขาตักโจ๊กลูกเดือยมาใส่กล่องข้าวครึ่งหนึ่ง แล้วเอาแป้งทอดแช่ไว้ในโจ๊ก

“สหายฮั่ว มากินด้วยกัน ๆ!”

ฉือเก๋อเชิญชายหนุ่ม และอีกฝ่ายก็ไม่สุภาพอีกต่อไป ก่อนเอื้อมมือไปหยิบมาหนึ่งชิ้นแล้วกัดกินคำใหญ่

ทั้งยังเคี้ยวแจ๊บ ๆ ด้วย รสชาติดีจริง ๆ

ฉืออี้หย่วนพูดไม่ออก เขาเจอคนไร้ยางอายแบบนี้ได้อย่างไร?

แต่คุณปู่กลับเชื้อเชิญ ในฐานะที่เป็นหลานจะไปทำอะไรได้

สักพักก็กินกันอิ่ม ทุกคนกินแป้งทอด ทั้งยังดื่มโจ๊กลูกเดือยด้วย แต่ละคนมีแตงกวาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ดูดีกว่าคนอื่น ๆ มาก

“ผู้เฒ่าฉือ พวกคุณมีของกินตลอดทางเลย!”

ฉือเก๋อยิ้ม “ใช่ พวกเราเอามาเยอะน่ะ หนึ่งคือจะได้กินของดี ๆ สักหน่อย สองคือประหยัดเงินด้วย”

บนรถไฟมีหมั่นโถวแป้งหนาไม่ต้องใช้ตั๋ว แต่รสชาติไม่อร่อย แต่ถ้าอยากกินอะไรที่อร่อยขึ้นมาสักหน่อยต้องใช้ตั๋ว

ฉือเก๋อไม่ได้เห็นตั๋วธัญพืชมาหลายปีแล้ว รอบนี้ที่ออกจากบ้านมา คนบ้านซูให้เขามานิดหน่อยแต่เขาค่อนข้างลังเล

“ที่คุณพูดก็ใช่ ตอนนี้เป็นหน้าร้อน เอาอาหารขึ้นรถมาอยู่ได้วันสองวันก็เสียแล้ว!” ฮั่วซิวเฉิงเสียใจ

ตอนที่เขาเอาอาหารขึ้นมาก็อยู่ได้แค่วันเดียว

“แป้งทอดบ้านเราอยู่ได้สามสี่วัน อีกอย่างเราเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาด้วย แค่ใส่น้ำร้อนก็กินได้แล้ว”

ต่อให้ฉือเก๋อไม่พูดตอนนี้ แต่ตอนพวกเรากินข้าวเที่ยง ฮั่วซิวเฉิงก็ต้องเห็นอยู่ดี

“กินหลังจากใส่น้ำร้อนหรือ?” ชายหนุ่มไม่คิดว่าจะมีอาหารแบบนี้ด้วย

“คุณไม่เคยได้ยินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใช่ไหมคะ?” เสี่ยวเถียนถาม

พอฮั่วซิวเฉิงได้ยินคำว่า ‘บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป’ ความสนใจของเขาก็ลดลง

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเขาเคยกินอยู่แล้ว ตอนแรกคิดว่าจะกินลง

แต่พอกินมากกว่าสองครั้ง ไม่ต้องพูดถึงรสชาติ กินอาหารบนรถไฟยังดีกว่าเสียอีก

แน่นอนว่าพวกเสี่ยวเถียนไม่รู้หรอกว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ละคนเก็บถ้วยตะเกียบและล้างทำความสะอาด จากนั้นก็เก็บให้เรียบร้อย

นั่งริมหน้าต่างมองออกไปข้างนอกอยู่สักพักก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาเหมือนกัน

เสี่ยวซื่อปีนขึ้นไปบนเตียงและหยิบหนังสือออกมา ก่อนจะเริ่มอ่านอีกครั้ง

จากนั้นก็ตามด้วยฉืออี้หย่วน ตอนที่ปีนขึ้นเตียงยังไม่ลืมทักทายเสี่ยวเถียนอีกด้วย

อันที่จริงให้นั่งหรือเดินก็น่าจะดี แต่อี้หย่วนคิดว่าฮั่วซิวเฉิงอาจจะคิดหาผลประโยชน์กับเสี่ยวเถียน

เด็กสาวปีนขึ้นบนเตียงชั้นสองตามที่อี้หย่วนคิด

แต่รอบนี้เธอหยิบหนังสือออกมาอ่าน และแสร้งทำเป็นอ่านหนังสือด้วยท่าทางจริงจัง

ฉืออี้หย่วนรู้สึกโล่งใจมาก เขาเองก็หยิบหนังสือออกมาอ่านบ้างเหมือนกัน

ฮั่วซิวเฉิงรู้สึกประหลาดใจที่เห็นเด็กทั้งสามหยิบหนังสือออกมาอ่าน

ถึงแม้พวกหนุ่มสาวจะเริ่มสนใจเรียนมากขึ้นหลังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยกลับมา แต่ก็ไม่มีใครตั้งใจอ่านหนังสือขนาดนี้ แม้กระทั่งตอนอยู่บนรถไฟ

“ผู้เฒ่าฉือ หลาน ๆ ของคุณรักเรียนสินะ!”

พอพูดเรื่องนี้ ฉือเก๋อรู้สึกภาคภูมิใจมาก

แม้ว่าเด็ก ๆ จะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่เขาก็เป็นคนสอนความรู้ให้พวกเขาเป็นการส่วนตัว จึงแทบไม่ได้มองกันและกันเป็นครูกับศิษย์เลย

“ใช่ นี่คือเสี่ยวซื่อน่ะ เขามีพี่ชายสามคน เป็นนักศึกษาที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ตอนสอบรอบนั้น ได้ห้าอันดับแรกด้วย สอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงได้ทั้งนั้น”

“เสี่ยวซื่อก็เก่ง สอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงได้เหมือนกัน กำลังเดินทางไปรายงานตัวน่ะ แล้วก็เสี่ยวอู่ที่สอบได้มหาวิทยาลัยดี ๆ ด้วย”

เสี่ยวเถียนที่กำลังอ่านหนังสือได้ยินฉือเก๋อโอ้อวด เธอก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย

คุณปู่ฉือไม่คิดปิดบังอะไรหน่อยหรือ?

ถ้าอีกฝ่ายมีแรงจูงใจซ่อนเร้นล่ะ?

เธออยากจะเตือน แต่พอเห็นอีกฝ่ายมีความสุขจึงล้มเลิกความคิดนี้

ช่างเถอะ ปล่อยเขาไว้แบบนั้นแหละ

ผู้อาวุโสมักจะอวดว่าหลาน ๆ เก่งแค่ไหน ซึ่งชายชราเองก็ไม่ยกเว้น

ฮั่วซิวเฉิงไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเสี่ยวซื่อเป็นนักศึกษา เพราะอายุดูไม่เยอะเลย

“เสี่ยวซื่ออายุเท่าไรหรือ?”

“สิบแปดน่ะ” ฉือเก๋อตอบ “เสี่ยวอู่อายุน้อยกว่าหน่อย เขาอายุสิบเจ็ดปีน่ะ ไปโรงเรียนทหาร เขาอยากเป็นน่ะ และไม่คิดจะล้มเลิกด้วย!”

“เสี่ยวอู่ไปโรงเรียนทหารหรือ?” ฮั่วซิวเฉิงตื่นเต้น “โรงเรียนไหนล่ะ?”

เสี่ยวซื่อเป็นพี่ชายของเสี่ยวเถียน เสี่ยวอู่ก็ด้วย แต่ไม่รู้ว่าทำไมชายหนุ่มรู้สึกว่าพี่ชายของเสี่ยวเถียนน่าจะเก่ง