ตอนที่ 322

My Disciples Are All Villains

ตู๊ม!

ดาบพลังงานอันใหญ่ยักษ์ได้ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า

ลู่โจวี่เห็นแบบนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “พวกเราไปดูกันเถอะ”

“หืม?” เจียงอาเฉียนสัมผัสได้ว่ารอบตัวของลู่โจวมีพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวเขารีบเดินนำไปยังตัวหมู่บ้าน เมื่อมาถึงตัวเขาก็พบกับทหารที่เฝ้าหมู่บ้านเอาไว้ซะก่อน เจียงอาเฉียนที่เห็นแบบนั้นรีบหยิบเหรียญตราจักรวรรดิขึ้นมา

“นายท่าน? เอ่อ…ท่าน…” ทหารที่เห็นเหรียญตราต่างก็ตกตะลึง

“ชู่วววว!” เจียงอาเฉียนได้พยายามพูดเสียงเบา “ข้าทำงานให้กับองค์จักรพรรดิอย่างลับๆ มีหน้าที่ก็เพื่อปกป้องพระอัครมเหสีให้ปลอดภัย”

“ครับ…แล้วนายท่าน สองคนที่อยู่ด้านหลังคือใครกัน?”

“หืม? เจ้ากำลังถามถึงใครกัน?”

“ขอโทษด้วยที่ข้าล่วงเกินพวกท่านไป เชิญเข้าด้านใน…”

ทั้งสามสามารถเข้ามายังตัวหมู่บ้านได้สำเร็จ

ลู่โจวเกือบจะลืมเรื่องเกี่ยวกับเหรียญตราจักรวรรดิไปแล้ว ตัวยเขาที่เห็นเจียงอาเฉียนแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วรู้สึกชื่นชมขึ้นมาจากใจ ‘เจียงอาเฉียน เจ้านี่เป็นคนที่หัวดีใช้ได้เลย’

พวกเขาทั้งสามได้เข้ามาใกล้กับที่เกิดเหตุได้ ทุกคนในตอนนี้ไม่มีเวลาแม้แต่จะจ้องมองไปยังจ้าวยู่และอัครมเหสีด้วยซ้ำไป

อาคารที่ถูกโจมตีได้หายไปแล้ว ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุเห็นเพียงพืชพรรณต่างๆ ที่กำลังโอบล้อมอะไรสักอย่างเอาไว้

ในตอนนั้นยอดฝีมือผู้ใช้พลังอวตารดอกบัว 5 กลีบยังไม่ได้เคลื่อนไหว

หมู่บานแห่งนี้ได้กลับมาเงียบสงบลงอีกครั้ง

ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปยังจุดการต่อสู้ ศิษย์คนที่สี่ของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างหมิงซี่หยินจะตายไปแล้วหรือจะมีชีวิตอยู่กันแน่?

ตู๊ม!

พืชพรรณที่อยู่ตรงนั้นระเบิดออกมา ในตอนนั้นเองร่างอวตารที่มีดอกบัวถึง 3 กลีบก็ได้ปรากฏขึ้นมาจากพืชพรรณตรงนั้น

หมิงซี่หยินได้ลอยขึ้นไปบนอากาศพร้อมกับพลังอวตารดอกบัว 3 กลีบที่ตัวเองมี เคียวพื้นพิภพที่อยู่บนมือของเขาเปล่งประกายแสงออกมามากขึ้น ที่ใต้พลังอวตารเองมีดาบพลังงานนับพันเล่มถูกซ่อนเอาไว้ มันได้พุ่งออกมาโจมตีพร้อมๆ กับเคียวพื้นพิภพ

เมื่อหลี่หยุนเฉาเห็นแบบนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง “เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ ศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้าคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ขเสามารถใช้ดาบพลังงานพร้อมกับพลังอวตารได้ หนำซ้ำเขายังสามารถใช้มันโจมตีควบคู่กับอาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้อีก ความแข็งแกร่งระดับนี้…ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!” แม้ว่าจะชมการต่อสู้อยู่แต่หลี่หยุนเฉาก็ยังทำหน้าที่คุ้มกันอัครมเหสีเป็นอย่างดี ตัวเขาได้โบกแขนของตัวเองขึ้นมาเพื่อสร้างม่านพลังป้องกันเอาไว้ แม้ว่าจะกลัวโดนลูกหลงแต่ถึงแบบนั้นความกังวลที่หลี่หยุนเฉามีกลับไม่มีค่าใดๆ

การโจมตีของหมิงซี่หยินล้วนแต่พุ่งตรงไปหายอดฝีมือผู้ที่เป็นศัตรู ไม่มีการโจมตีไหนเลยที่พุ่งใส่เหล่าผู้ชมที่อยู่เบื้องล่าง

คู่ต่อสู้ของหมิงซี่หยินรีบกระโจนถอยกลับไป ทันทีที่ตัวเขาได้เคลื่อนไหว พลังอวตารของเขาก็ได้เคลื่อนไหวตามไปด้วย ในตอนนั้นเองดาบพลังงานทั้ง 1,000 เล่มก็ได้มาบรรจบกัน เคียวพื้นพิภพของหมิงซี่หยินได้พุ่งตรงไปหาร่างอวตารของคู่ต่อสู้เช่นกัน

ชิ๊ง!

เคียวพื้นพิภพได้ลอยกลับมายังมือของหมิงซี่หยินอีกครั้ง

พรึ๊บ!

ก่อนที่ทุกคนจะได้ตอบสนองอะไร ยอดฝีมือผู้ใช้พลังอวตารดอกบัว 5 กลีบก็ล้มลงไปกับพื้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา

เมื่อลู่โจวเห็นแบบนั้นตัวเขาก็ได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

หยวนเอ๋อตื่นเต้นมากจนเกือบที่จะกระโดดไปหาผู้เป็นศิษย์พี่

ลู่โจวที่ยืนอยู่ด้วยคว้าตัวนางได้ทันซะก่อน เจียงอาเฉียนได้กล่าวชมเชยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลขึ้นมา “ท่านผู้อาวุโส ศิษย์ของท่าน…ช่างเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัว 3 กลีบสามารถจัดการผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัว 5 กลีบได้แบบนี้…นี่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ชัดๆ” ในฐานะที่เจียงอาเฉียนเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ ตัวเขารู้ดีว่าความแตกต่างระหว่างดอกบัว 1 กลีบของผู้ที่มีพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์มันต่างกันมากแค่ไหน

แม้แต่ลู่โจวเองก็ยังไม่คาดคิดเช่นกัน ตัวเขาจำได้ว่าหมิงซี่หยินฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแค่ 2 กลีบเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามดูเหมือนว่าลูกศิษย์คนนี้จะฝึกฝนตัวเองจนไปได้ไกลกว่าเดิมแล้ว

การโจมตีของหมิงซี่หยินได้ปิดฉากคู่ต่อสู้ไปในการโจมตีเดียว หมิงซี่หยินรีบเช็ดเลือดออกจากริมฝีปากก่อนที่จะบินจากไปอย่างรวดเร็ว “ถ้าคิดจะตามข้ามา…พวกเจ้าก็คงจะรู้สินะว่าต้องพบกับอะไร!”

ม่อหลี่ที่เห็นแบบนั้นจึงรีบสั่งการขึ้นมา “เปิดใช้พลังการก่อตัวซะ!”

ผู้ฝึกยุทธที่อยู่รอบๆ ต่างก็เริ่มเคลื่อนไหว

‘เปิดใช้พลังการก่อตัวอย่างงั้นหรอ?’ เจียงอาเฉียนได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ม่อหลี่นับว่าเป็นผู้ใช้พลังเวทมนตร์คาถา เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว”

แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีสิ่งที่น่าแปลกอยู่ ม่อหลี่ไม่ได้ส่งคนไล่ตามหมิงซี่หยินไปเลยแม้แต่คนเดียว

ลู่โจวได้จ้องไปทางซ้ายและขวา ตัวเขากำลังหาที่ที่เล้งลั่วจะอาศัยอยู่ แต่น่าเสียดาย ตัวเขาไม่พบใครที่มีท่าทีที่คล้ายกับเล้งลั่วอยู่เลย ตัวเขาได้ลูบเคราในขณะที่รอพลังที่เกิดจากการก่อตัวแสดงพลังออกมา ‘เปิดใช้พลังทั้งหมดที่เตรียมการเอาไว้ซะ…เวทมนตร์คาถายังไงก็ใช้กับฉันไม่ได้ผลอยู่แล้ว’

“ศิษย์ของท่านช่างเป็นคนที่เจ้าเล่ห์จริงๆ ข้าคิดว่าเขาจะต้องเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบนี้ได้แน่…” เจียงอาเฉียนได้กล่าวชมเชยออกมาอีกครั้ง

บนชั้นสองของศาลาทางเหนือ ในตอนนั้นฮั่นยูวานกำลังจับจ้องหมิงซี่หยินที่กำลังหนีไป “เจ้าสำนักสี ศิษย์พี่ของท่านดูเหมือนจะเจ้าเล่ห์กว่าท่านมาก เขาฉลาดมากพอที่จะออมแรงเอาไว้เพื่อการนี้ แต่น่าเสียดายเขาคงจะหนีไม่รอดแน่ เจ้าเชื่อสิ่งที่ข้าพูดไหม?”

สีวู่หยาส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “แต่ข้าไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ เจ้าน่ะยังรู้จักศิษย์พี่สี่ของข้าไม่ดีพอ”

“อย่างงั้นเองหรอ?”

“แม้ว่าเครือข่ายของสำนักแห่งความมืดจะกว้างขวางขนาดไหน แต่ถึงแบบนั้นศิษย์พี่สี่ของข้าคนนี้ก็ยังรอดพ้นการติดตามมาได้ตลอด ข้าไม่คิดหรอกนะว่าจะมีใครจับเขาได้” สีวู่หยาได้ตอบกลับมาอย่างตรงไปตรงมา

“ฮาฮ่า! แม้แต่เจ้าสำนักแห่งความมืดผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังมีช่วงเวลาที่ต้องพ่ายแพ้เหมือนกันหรอเนี่ย…แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เจ้าได้ทำก็เท่านั้น…ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเข้าใจพลังที่เหล่าราชวงศ์มีได้หรอก ในตอนนี้เมืองหรงเป่ยนะถูกล้อมไว้หมดแล้ว”

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกัน?”

“เจ้าก็ลองมองดูเองสิ…ศิษย์พี่ของเจ้าจะหนีไปได้ยังไงในเมื่อเมืองหรงเป่ยกว้างซะขนาดนั้น”

หึ่งงงง!

เสียงพลังงานอันแปลกประหลาดได้ดังขึ้นมา

แม้ว่าจะอยู่บนศาลา แต่ถึงแบบนั้นทุกคนก็ยังสัมผัสได้อยู่ดีว่าที่เมืองหรงเป่ยมีพลังกระเพื่อมขึ้นมา ท้องฟ้าเหนือเมืองหรงเป่ยเปลี่ยนสีไป ในตอนนั้นเองก็มีลมกระโชกแรงพัดผ่านเมืองหรงเป่ยแห่งนี้

ชาวเมืองต่างก็จ้องมองเหตุการณ์ที่แสนประหลาดอย่างแปลกใจ ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนตนได้แต่สงสัยว่าที่เมืองหรงเป่ยกำลังจะเจอพายุซัดเข้าใส่

ในทางกลับกันผู้ฝึกยุทธทั้งหลายต่างก็รู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดี

“ข้าไม่สามารถเดินพลังลมปราณได้!”

“เกิดอะไรขึ้นกัน?”

เหล่าผู้ฝึกยุทธสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีอยู่บนร่างกายของตนได้อย่างกะทันหัน พวกเขาที่เห็นแบบนั้นก็ได้เหลือบมองขึ้นไปบนฟ้า ทุกๆ คนที่อยู่ในเมืองไม่สามารถที่จะเดินพลังลมปราณได้อีกต่อไป…

มีม่านพลังปรากฏขึ้นมาล้อมรอบหมู่บ้านฤดูร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็ถอยหนีอย่างเร่งรีบเมื่อได้เห็นแบบนั้น

ที่แห่งนี้ได้กลายเป็นเขตแดนของเหล่าราชวงศ์ไปเป็นที่เรียบร้อย ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ที่แห่งนี้อีก นอกจากนี้ยังมีทหารจำนวนมากกำลังยืนเฝ้าอยู่โดยรอบ

ด้านในหมู่บ้านฤดูร้อน

ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปบนฟ้าเช่นกัน

เจียงอาเฉียน, หยวนเอ๋อ และลู่โจวต่างก็สัมผัสถึงสิ่งที่ผิดปกติได้จากในอากาศ

เจียงอาเฉียนได้พูดออกมาอย่างเขินอาย “นี่มันแย่แล้ว…มันไม่ใช่เวทมนตร์คาถา…เหมือนว่านี่จะเป็นการก่อพลังทั้งสิบ”

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดข้น “การก่อพลังทั้งสิบถือได้เป็นเขตแดนอันยิ่งใหญ่ที่จะอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เหตุใดกันทำไมมันถึงปรากฏอยู่ที่นี่ได้?”

“นี้ถือว่าเป็นการจำลองเท่านั้น…แม้ว่าจะเป็นการจำลองแต่มันก็ยังเลียนแบบจุดแข็งที่การก่อพลังทั้งสิบมีอยู่ดี” เจียงอาเฉียนตอบกลับไป

“ท่านอาจารย์…ดูเหมือนว่าศิษย์จะเดินพลังลมปราณไม่ได้อีกแล้ว…” หยวนเอ๋อได้พูดพึมพำออกมา

“เลิกพยายามเดินพลังลมปราณซะเถอะ นี้ถือเป็นจุดแข็งที่สุดที่การก่อพลังทั้งสิบมี…”

ลู่โจวดูไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเลย แม้ว่าจะเป็นแบบนั้นตัวเขาก็พยายามที่จะเดินพลังลมปราณของตัวเองในแบบลับๆ เป็นไปตามที่คาดไว้ ทุกอย่างล้วนว่างเปล่า ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ตัวเขาสงสัยเกี่ยวกับพลังพิเศษที่มีด้วยเช่นกัน ในตอนที่ตัดสินใจจะทดสอบ ตัวเขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นที่ไหลผ่านร่างกายไป

ด้วยพลังที่ว่าในตอนนี้หมู่บ้านแห่งนี้จึงถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปแล้ว ทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านล้วนแต่เป็นคนธรรมดาทั่วๆ ไป แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เคยฝึกยุทธมาก่อนจะมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไปก็ตาม

“ดูเหมือนจะต้องให้เล้งลั่วเป็นคนจัดการซะแล้วล่ะ” ลู่โจวได้แต่พึมพำออกมา ตัวเขาอยากที่จะให้เจียงอาเฉียนพาตัวเองออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ไป

“ข้าบอกว่า…ข้าเป็นศิษย์พี่ขององค์หญิงจ้าวยู่ยังไงกัน หยุดเสียมารยาทกับข้าได้แล้ว เจ้าพวกหยาบคายปล่อยข้าซะ!”

ทหารร่างกายกำยำทั้งสองได้เข้าจับกลุมตัวของหมิงซี่หยินเอาไว้ ตัวเขาไม่สามารถที่จะหลบหนีต่อไปได้อีก

หมิงซี่หยินถูกทหารทั้งสองโยนกลับมา

ในตอนนั้นใบหน้าของม่อหลี่ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แสนสดใส “นี่คือการก่อพลังทั้งสิบยังไงล่ะ…ไม่ได้เป็นไปตามคาดเลยสินะ?”

หลี่หยุนเฉาได้ตกตะลึงเล็กน้อย ตัวเขาเองได้แต่ขมวดคิ้ว

ทหารและแม่ทัพคนอื่นๆ ไม่ได้ตกใจหรือรู้สึกแปลกใจเลย เห็นได้ชัดว่าทุกคนล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการในครั้งนี้

จ้าวยู่เองก็มีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

“ภายในม่านพลังแห่งนี้ทุกคนต่างก็มีชีวิตที่เท่าเทียมกัน”

สิ่งที่ม่อหลี่เพิ่งจะพูดออกมานั้นหมายความว่าทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนแต่เป็นคนธรรมดา

องค์ชายสี่หลิวปิงได้ปรบมือก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าประทับใจจริงๆ …เป็นไปตามที่คาดไว้ ท่านพี่ ท่านช่างอ่านเกมขาดจริงๆ”

หลังจากที่ใช้เวลาอยู่ในสนามรบมากว่าหลายปี ตัวของหลิวปิงก็รู้ดีว่าการก่อพลังมันน่ากลัวมากขนาดไหน ถ้าหากไม่ใช่เพราะเมืองแต่ละเมืองที่มีม่านพลังปกป้องอยู่ การต่อสู้ระหว่างเมืองก็คงจะเป็นเพียงแค่การต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธเพียงแค่กลุ่มเดียวเท่านั้น คงไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องใช้ทหารมากมายหลายคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญในการฝึกยุทธ ในการต่อสู้ครั้งนี้ผู้ที่จะตัดสินผลแพ้ชนะได้ก็คือคนธรรมดาทั้งหลาย

“ฝ่าบาท ข้าได้จับตัวหมิงซี่หยินได้แล้ว ได้โปรดตัดสินด้วย”

“เยี่ยมมาก” องค์ชายสองหลิวหยวนได้ลุกขึ้นยืนก่อนที่ขะสะบัดแขนอย่างไม่ไยดี “ตัดหัวของเขาซะ”

ทหารที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ชักดาบออกมาในทันที

ชิ๊ง!

“ช้าก่อน” จ้าวยู่ก้าวไปด้านหน้า

คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นต่างก็ได้มองด้วยความสับสน

จ้าวยู่ขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าจะฆ่าทุกคนที่กล้าแตะต้องศิษย์พี่สี่ของข้า!”

เมื่อได้ยินแบบนั้นอัครมเหสีก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่จ้าวยู่ นางได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะมองไปยังองค์ชายสอง นางได้ชี้ไปยังองค์ชายก่อนที่จะพูดออกมา “ถ้าหากเป็นแบบนี้แล้วข้าก็จะสนับสนุนจ้าวยู่อีกแรงเอง ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้แตะต้องเส้นผมของชายคนนั้นได้แม้แต่เส้นเดียว…”

ม่อหลี่ได้หันไปรอบๆ อย่างช้าๆ ดวงตาของนางได้จับจ้องไปที่อัครมเหสี “ฝ่าบาททรงตรัสแล้วไม่ใช่หรอ จะรอช้าอยู่ไย?”

หลิวหยวนได้คำนับอัครมเหสีก่อนที่จะพูดออกมา “เสด็จย่าได้โปรดกลับไปยังที่พักเพื่อพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้กับองค์จักรพรรดิให้ฟังในภายหลังเอง”

ในตอนนั้นเองก็มีกลิ่นจางๆ ลอยมาตามอากาศ

“นี่มันพิษ”

ผู้ฝึกยุทธที่ได้รับกลิ่นนี้จะไม่ตกอยู่ในอันตราย

อัครมเหสีที่สูดพิษเข้าไปได้ล้มลงในทันที

หลี่หยุนเฉาได้คว้าอัครมเหสีเอาไว้ได้ทัน ตัวเขาได้ชี้ไปยังม่อหลี่ก่อนที่จะพูดออกมา “ชั่วช้า! เจ้ากล้าดียังไงทำกับอัครมเหสีแบบนี้?! ข้าจะเป็นคนจัดการเจ้าเอง!” หลี่หยุนเฉาได้วางอัครมเหสีเอาไว้ที่ด้านหลังก่อนที่จะกระโจนเข้าใส่ม่อหลี่

ม่อหลี่ได้ถอยไปโดยที่ไม่ได้ใช้ความพยายามอะไร หลี่หยุนเฉาที่กระโจนไปแทบที่จะควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เขาเดินโซเซไปมา การเคลื่อนที่ที่ไร้ซึ่งพลังลมปราณเข้าช่วยช่างเป็นเรื่องที่ผู้ฝึกยุทธอย่างเขารู้สึกไม่คุ้นชินเลย

ชิ๊ง!

ทหารทั้งสองได้ชักดาบขึ้นมาก่อนที่จะตรงไปหาหลี่หยุนเฉา

“ขันทีหลี่ ท่านควรจะเก็บแรงเอาไว้จะดีกว่า” หลิวหยวนได้พูดออกมาอย่างเย็นชาก่อนที่จะเอามือไขว้หลัง

“ฝ่าบาท!”

ในตอนนั้นเองหลิวหยวนก็ได้หันกลับมา

ตู๊ม!

มีเสียงดังกึกก้องดังขึ้น ในตอนนั้นเองหลี่หุยนเฉาก็ถูกหลิวหยวนเตะเข้ากล้าที่หน้าอก “เจ้าเป็นแค่ทาสต้อยต่ำเท่านั้น…ถ้าหากไม่มีเสด็จย่า ข้าจะไม่ยอมทำให้หูของข้าต้องแปดเปื้อนไปด้วยเสียงอันสกปรกของเจ้าได้หรอก!”

“ขันทีหลี่!” สีหน้าของจ้าวยู่เปลี่ยนไป

“ข้าไม่เป็นไร…ข้าเคยสัญญากับใครบางคนแล้วว่าจะปกป้องท่านตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ องค์หญิงจ้าวยู่ นี่ถือว่าเป็นป้ายหยกของอัครมเหสี ท่ารับสิ่งนี้ไปเถอะ…

หลี่หยุนเฉาได้หยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าที่ตัวเขามี

ม่อหลี่ได้พูดออกมาอย่างเย็นชา “อย่าได้เปลืองแรงไปอีกเลย…แม้ว่าองค์จักรพรรดิที่อยู่บนสวรรค์จะอยู่ที่นี่ด้วย แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครช่วยให้นางหนีรอดจากที่นี่ไปได้หรอก

ม่อหลี่ได้โบกมือของตัวเอง ในตอนนั้นเองทหารทั้งสองก็ได้ก้าวไปด้านหน้าเพื่อจับตัวของจ้าวยู่…

จ้าวยู่ได้ต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่ถึงแบบนั้นก็น่าเสียดาย นางที่เป็นหญิงสาวผู้ซึ่งไร้พลังลมปราณไม่อาจจะต้านทานแรงของชายหนุ่มทั้งสองได้เลย ในที่สุดนางก็ถูกจับเอาไว้ได้ “คนพวกนี้ต่างก็เป็นองครักษ์ของราชวงศ์…เจ้ากล้าที่จะขัดขืนอย่างงั้นหรอ?”

เนื่องจากการก่อพลังทั้งสิบเป็นของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเหล่าทหารองครักษ์จึงต้องมีวิธีรับมือกับพลังที่ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ในขณะที่ผู้ฝึกยุทธผู้ใช้พลังลมปราณจะเป็นผู้คอยควบคุมการก่อพลัง ผู้คนที่ไม่ได้พึ่งพาพลังลมปราณก็จะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติการภายในเมือง

จ้าวยู่ถูกลากตัวมาข้างๆ กับหมิงซี่หยิน

ม่อหลี่ที่เห็นจอมวายร้ายทั้งสองถูกจับมาได้รู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

ในตอนนั้นเองหลิวปิงก็ได้พูดออกมา “ท่านพี่ นี่ออกจะไม่เกินเลยไปหน่อยหรอ?”

“น้องสี่ เจ้ามีปัญหาอย่างงั้นหรอ?”

“สิ่งที่ท่านพี่ทำทั้งหมดก็เพื่อจับจอมวายร้ายทั้งสองสินะ? ถ้าหากอาการของเสด็จย่าทรุดหนักลง ท่านจะรับผลที่จะตามมาได้ยังไงกัน?” หลิวปิงได้ถามขึ้น

หลิวหยวนได้หัวเราะออกมาก่อนที่จะโบกมือให้กับทหารทั้งหลายไป ทหารทั้งหมดได้ชักดาบเข้าใส่หลิวปิง

หลิวหยวนได้พูดขึ้น “นี่เป็นเหตุผล…ที่ข้าจะต้องทำให้เจ้าเดือดร้อนด้วยแล้วล่ะน้องสี่”

“นี่มันหมายความว่าอะไรกัน” หลิวปิงถามกลับมา

“น้องสี่…ไม่ต้องห่วง ข้าจะทำเป็นเรื่องในครั้งนี้เป็นเหมือนกับอุบัติเหตุเอง…หลังจากที่เจ้าตายไปข้าจะไว้อาลัยให้เจ้าสักสามวันก็แล้วกัน!” หลิวหยวนได้พูดขึ้น

หลิวปิงได้ปรบมือก่อนที่จะตอบกลับไป “ท่านคิดว่าข้าจะมาที่นี่โดยที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรอย่างงั้นหรอ? ถ้าหากท่านกล้าโจมตีข้า พวกอัศวินดำทั้งหมดที่อยู่นอกหมู่บ้านและคนของข้าผู้ซึ่งเชี่ยวชาญในการต่อสู้ในสนามรบจะต้องเข้ามาที่นี่แน่!”

“เจ้ากำลังขู่ข้าอย่างงั้นหรอ?” หลิวหยวนได้จ้องมองไปที่ผู้ที่เป็นน้องชาย

หลิวปิงได้จ้องมองหลิวหยวนอย่างไม่ละสายตา “ท่านพี่บีบบังคับข้าเองต่างหาก!”

ตั้งแต่ในอดีตอันโบราณกาล มีผู้คนจำนวนมากที่ยอมเข่นฆ่าพี่น้องของตัวเองก็เพื่อที่จะไต่เต้าขึ้นไปสู่สถานะที่สูงส่งกว่า ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้ได้

ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ตัวเขาได้ตะโกนขึ้นมา “หุบปากซะ! เจียงอาเฉียน เจ้ากำลังรออะไรอยู่อีก? จะช่วยพวกข้าในวันพรุ่งนี้รึไงกัน?”

“เจียงอาเฉียนอย่างงั้นหรอ?”

หมู่บ้านได้เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยอีกครั้ง

ทหารกว่าหลายร้อยคนได้รุมเข้ามาใกล้หมิงซี่หยินมากขึ้น พวกเขากำลังกลัวว่าหมิงซี่หยินกำลังคิดหลบหนีไป

“ข้าไม่ได้กลัวอะไรหรอกนะ ข้าอยู่ที่นี่พร้อมกับเหรียญตราจักรวรรดิแล้ว!” เจียงอาเฉียนได้ชูเหรียญตราจักรวรรดิขึ้นสูง ถ้าหากไม่ลงมือในตอนนี้ก็คงจะสายเกินแก้แน่

ทหารทั้งหลายต่างก็แยกย้ายกันไป

ทุกคนต่างก็จับจ้องเหรียญตราจักรวรรดิที่อยู่ในมือของเจียงอาเฉียน

‘เจียงอาเฉียนเสียสติไปแล้วอย่างงั้นหรอ?’

‘เจ้าหมอนี่อวดดีเกินไปแล้ว’

‘หลิวหยวนตั้งใจฝ่าฝืนอัครมเหสีและยังคิดที่จะสังหารผู้ที่เป็นน้องชายร่วมสายเลือดของตัวเองอีกด้วย เขาจะไปสนใจอะไรเหรียญตราจักรวรรดินั่นกัน?’