ตอนที่ 323

My Disciples Are All Villains

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองในขณะที่จับมือของหยวนเอ๋อด้วยมืออีกข้าง ตัวเขาไม่คิดว่าเจียงอาเฉียนจะสามารถพึ่งพาได้ในเวลานี้ มีเพียงแค่ตัวเองเท่านั้นที่พอจะพึ่งพาได้มากที่สุดแล้ว ในตอนนี้ของอย่างเหรียญตราจักรวรรดิคงจะไม่มีค่าอะไรอีก ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือการที่ทุกคนไม่สามารถใช้พลังลมปราณได้เพราะพลังจากเขตแดนพลังทั้งสิบ เจียงอาเฉียนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? ทำไมเขาถึงต้องการเข้ามายุ่งกับเรื่องในครั้งนี้

“ท่านอาจารย์?” หยวนเอ๋อกำลังรู้สึกสับสนที่ผู้เป็นอาจารย์จับมือของนางเอาไว้

ลู่โจวหันไปจ้องหยวนเอ๋อชั่วขณะ เขากำลังส่งสัญญาณให้สาวน้อยเงียบนั่นเอง ในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะตัวของเขาก็จะใช้พลังวิเศษขึ้นมาก่อนที่จะใช้วิซซาร์ดหนีไปในทันที แต่ถึงแบบนั้นนั่นก็เป็นแค่แผนการตื้นๆ เท่านั้น ในตอนนี้ยังมีสิ่งอื่นที่จะต้องทำ… ‘ยังเหลือศิษย์อีก 2 คนด้วยอย่างงั้นสินะ? อืม ถ้าเป็นแบบนี้เห็นทีจะต้องรอต่อไปเท่านั้น’

ในขณะเดียวกันนั้นเจียงอาเฉียนก็ได้เดินเข้าไปท่ามกลางความขัดแย้งอันรุนแรง ตัวเขาได้ชูเหรียญตราจักรวรรดิอยู่เหนือหัวของตัวเองในขณะที่เดิน

องค์ชายทั้งสองที่อยู่ด้วยไม่ได้ตาบอด ส่วนทหารที่อยู่รอบตัวเองก็จำสัญลักษณ์นั้นได้ดี พวกเขารู้ว่าเหรียญตราชิ้นนั้นมีไว้เพื่อออกคำสั่งกับทหารองครักษ์อย่างพวกเขา

‘นี่มันแปลกมาก เหรียญตราจักรวรรดิไม่ใช่ว่าหายไปนานแล้วอย่างงั้นหรอ? เหตุใดทำไมของสิ่งนี้ถึงอยู่ในนักเดินได้กัน?’

“ได้เห็นเหรียญตรานี่ก็เท่ากับเห็นองค์จักรพรรดิ! คุกเข่าลงซะ!” เจียงอาเฉียนได้ตะโกนออกมา

พรึ๊บ!

ทหารทุกคนล้วนแต่ทำตามที่เจียงอาเฉียนบอก แม้ว่าจะคุกเข่าลงไปแล้วแต่ไม่นานมากนักพวกเขาก็ตระหนักในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ มีอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดกำลังเกิดขึ้น

องค์ชายสองและม่อหลี่ไม่ได้คุกเข่าลงไปด้วย

หลิวหยวนได้ยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “นั่นมันก็แค่เหรียญปลอม จับมันไปตัดหัวด้วยซะ”

เจียงอาเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก ‘บัดซบ! ก็รู้อยู่แล้วแหละว่ามันจะไม่ได้ผล!’

หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป ตัวเขาได้พูดขึ้น “เจ้าโกหกไม่เนียนเลยนะ”

ผั๊วะ!

จู่ๆ หนึ่งในทหารคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมาก่อนที่จะเตะบั้นท้ายของเจียงอาเฉียนไป เจียงอาเฉียนในตอนนั้นล้มลงไปข้างหน้าก่อนที่จะกลิ้งไปกลิ้งมาหลายตลบ เจียงอาเฉียนที่ถูกเตะได้กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

ทหารคนนั้นยังพูดต่อ “พวกเจ้าจะรออะไรอยู่กัน? พาเจ้านั่นออกไปได้แล้ว!”

เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ ทหารที่อยู่ด้านหลังของหลิวหยวนได้ชักดาบขึ้นมาก่อนที่จะเข้าโจมตีหลิวหยวนและม่อหลี่

ม่อาหลี่และองค์ชายได้ชักดาบออกมาจากเหล่าคนรับใช้ก่อนที่จะปัดป้องการโจมตีเอาไว้

แคล๊ง! แคล๊ง! แคล๊ง!

ลู่โจวสังเกตการณ์รอบตัวก่อนที่จะใช้ความคิดอยู่ภายในใจ ‘เจียงอาเฉียนเองก็ยังมีดีอยู่ เขาได้วางแผนให้คนเหล่านั้นอยู่ข้างกายองค์ชายและม่อหลี่เอาไว้ก่อนอย่างงั้นสินะ?’

สีหน้าของหลิวหยวนเปลี่ยนไปเป็นตกใจก่อนที่จะถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งคู่กำลังรับมือกับผู้คนทั้งหลายที่เข้ามาโจมตี เมื่อมาถึงตอนนี้ทหารองครักษ์รวมไปถึงทหารที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็เห็นผู้เป็นเจ้านายของพวกเขากำลังถูกโจมตี ทั้งสองกำลังถูกรุมอย่างไม่หยุดยั้ง

“บ้าเอ๊ย! เจ้าพวกนี้ยังสู้ได้อีกอย่างงั้นหรอ?” เจียงอาเฉียนเองก็รู้สึกประหลาดใจ

ท่ามกลางการต่อสู้ที่แสนจะวุ่นวายเจียงอาเฉียนก็ได้คลานไปใกล้ๆ กับจุดที่หมิงซี่หยินและจ้าวยู่ยืนอยู่ เจียงอาเฉียนได้ช่วยพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้ก่อนที่จะรีบจากไป

หมิงซี่หยินส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าไม่ควรไว้ใจเจ้าเลยจริงๆ …ตอนนี้ข้าก็หนีไม่ได้แล้วสินะ…”

เจียงอาเฉียนหันกลับไปมองดูม่อหลี่และหลิวหยวน คนของเจียงอาเฉียน…กำลังพ่ายแพ้ไปเรื่อยๆ

ในทางกลับกันนอกจากเสื้อผ้าที่เปื้อนหยาดเหงื่อเล็กน้อยของหลิวหยวนและม่อหลี่ ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะไม่ได้รับอันตรายอะไรเลย

แปะ! แปะ! แปะ!

หลิวปิงปรบมือก่อนที่จะพูดออกมา “ดูเหมือนว่าท่านพี่จะยังต่อสู้ได้ยอดเยี่ยมเหมือนเดิมเลยนิ…”

หลิวหยวนได้พูดออกมา “ผู้ฝึกยุทธยังไงก็เป็นผู้แข็งแกร่งเสมอ ผู้ฝึกยุทธสามารถรับมือกับคนนับ 100 นับ 1,000 หรือแม้แต่คนนับ 10,000 เองก็ยังสามารถที่จะรับมือได้…แต่ถึงแบบนั้นเจ้ารู้ไหมล่ะว่าทำไมผู้ฝึกยุทธถึงไม่สามารถที่จะปกครองโลกได้?” หลิวหยวนหยุดพูดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็มีวัฏจักรของมัน ทุกสิ่งย่อมมีจุดอ่อนเสมอ ถ้าหากเจ้าฉลาดมากพอ วันหนึ่งเจ้าก็จะตระหนักได้เองว่าโลกทั้งใบก็ไม่ได้ต่างอะไรกับกรงขังใหญ่ๆ ที่ย่อมจะมีวัฏจักรเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

ม่อหลี่ได้ยิ้มอย่างนุ่มนวลก่อนที่จะพูดออกมา “ฝ่าบาท คำพูดของท่านช่างเฉียบคบจริงๆ …”

นางเดินไปหาหลิวหยุนเฉาก่อนที่จะเตะขันทีเฒ่า ลูกเตะของนางทั้งทรงพลังและดูโหดร้ายไร้ปรานี นางทำตัวไม่เหมือนกับผู้หญิงอีกต่อไป

หลี่หยุนเฉาได้แต่ฮึดฮัดออกมาด้วยความเจ็บปวด ตัวเขาได้กลิ้งลงไปกับพื้นก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา “เห็นไหม? แม้แต่ขันทีหลี่ผู้แข็งแกร่งก็ยังไม่แม้แต่จะรับลูกเตะได้”

ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้ยืนยันตัวตนของม่อหลี่ใหม่อีกครั้ง ตัวเขาไม่แปลกใจเลยว่าถ้าหากนางจะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไป นางอาจจะเป็นผู้ที่มาจากเผ่าพันธุ์อื่นในลั่วหลาน ลู่โจวได้ปล่อยมือหยวนเอ๋อก่อนที่จะพยายามมองหาเล้งลั่วด้วยตาตัวเอง ในที่สุดตัวเขาก็ได้ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้พูดออกมาอย่างเสียงดังฟังชัด “ลืมไปเลย ลืมไปเลย”

ทุกๆ คนต่างก็หันไปมองลู่โจว

“ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างงั้นหรอ…หืม?” ม่อหลี่ได้หันมามอง นางพบว่าผู้ที่ได้พบคนนี้ดูคุ้นเคยดี หลังจากนั้นนางก็นึกออก เมื่อครั้งหนึ่งเคยมีหุ่นเชิดที่ม่อหลี่ใช้ถูกปลดปล่อยออกมาด้วยพลังวิเศษ นางจำได้ว่าผู้ที่ใช้พลังนั้นมีใบหน้าที่เหี่ยวแห้งเหมือนกับในตอนนี้ แววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของม่อหลี่ได้ปรากฏขึ้นมา “นั่นเจ้าสินะ?”

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะก้าวออกไปข้างหน้า “เจ้าก็คือม่อหลี่สินะ?”

ม่อหลี่ได้ยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีของข้าจริงๆ …”

เขตแดนพลังทั้งสิบในหมู่บ้านแห่งนี้มีไว้เพื่อหมิงซี่หยิน, จ้าวยู่ และองค์ชายสี่ นางไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าคนนี้จะมาติดกับด้วย และเพราะแบบนั้นม่อหลี่จะไม่รู้สึกดีใจได้ยังไงกัน? ดูเหมือนว่านางจะหายประหลาดใจแล้ว หลิวหยวนเองก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างเช่นกัน ที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเปลวไฟ หลิวหยวนได้พูดออกมา “มหาวายร้ายจีอย่างงั้นหรอ?”

คนอื่นๆ ยิ่งสับสน

ทหารทั้งหลายเดินโซซัดโซเซไปมาแม้ว่าจะได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนักก็ตาม ความมั่นใจที่เหล่าทหารมีได้จางหายไปอย่างรวดเร็ว “ตั้งแถวใหม่เร็วเข้า! ไม่มีอะไรต้องกลัว พวกเราในตอนนี้อยู่ในม่านพลังแล้วไม่ใช่หรอ?”

เมื่อได้ยินแบบนั้นทหารทุกคนก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก

“แม้ว่าฟ้าจะเปิดกว้างแค่ไหน แต่นั่นก็ยังไม่พอที่จะทำให้เจ้าหนีรอดออกจากนรกโลกันตร์แห่งนี้ได้ ไม่มีที่ให้เจ้าได้หนีแล้ว!” ม่อหลี่ไม่อยากที่จะเสียเวลาอีกต่อไป นางได้โบกมือตัวเองอย่างรวดเร็ว

แม่ทัพทั้งสิบคนที่อยู่ข้างกายของนางได้ปรากฏตัวขึ้นมาก่อนที่จะก้าวออกๆ ไปข้างหน้า

ในความคิดของม่อหลี่ จะมีแต่ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัว 5 กลีบขึ้นไปเท่านั้นที่จะเหนือกว่านางไปได้ แต่ในตอนนี้ทุกคนอยู่ในเขตแดนพลังล้วนแต่เท่าเทียม

ลู่โจวพลิกฝ่ามือด้านขวาของตัวเองก็เพื่อที่จะประเมินพลังพิเศษที่ตัวเขามี ‘ฉันใช้มันไม่ได้’ สิ่งที่ปรากฏออกมาไม่ใช่พลังพิเศษ อาวุธนิรนามได้ปรากฏขึ้นมาแทน

ทุกๆ คนที่เห็นแบบนั้นต่างก็ตื่นตกใจ

หลิวปิงรู้จำลู่โจวได้ดี ตัวเขาเคยพบกับปรมาจารย์จีในคฤหาสน์เจ้าชายแห่งพลังมาก่อนแล้ว และเนื่องจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้ หลิวปิงองค์ชายสี่จึงไม่ทันสังเกตเห็นลู่โจวในก่อนหน้านี้ ตัวเขารู้สึกตกใจมากที่เห็นลู่โจว หลิวปิงที่เห็นลู่โจวไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไรเลย “ท่านผู้อาวุโส?”

ม่อหลี่ได้เดินไปหาหลิวหยวน “ฝ่าบาท ให้ข้าเป็นคนจัดการกับมันจะได้ไหม?”

“ย่อมได้” หลิวหยวนเอามือไขว้หลัง ตัวเขาได้เดินไปนั่งที่นั่งที่อยู่ถัดจากที่นั่งของอัครมเหสี หลังจากเหลือบมองอัครมเหสีที่ยังไม่ได้สติ ตัวเขาก็รู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น

“ขอบคุณฝ่าบาท” ม่อหลี่ได้หันกลับไป

“แม่ทัพทั้งสิบล้วนแต่เป็นยอดฝีมือในหมู่ของทหารองครักษ์ พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัว 3 กลีบ, 4 กลับ, 2, กลีบ และยังมี 6 กลีบอีกคนหนึ่ง…ไหนๆ จะฆ่าเจ้าแล้ว ข้าจะฆ่าศิษย์ของเจ้าให้ดูก่อนที่จะฆ่าเจ้าตามไปเอง…”

“รับทราบ!” บรรยากาศภายในหมู่บ้านเริ่มเปลี่ยนไป

ด้านในศาลาแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลมากนัก

ฮั่นยูวานแทบที่จะกลั่นเสียงหัวเราะของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ตัวเขาตบขาของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าสำนักสี…เจ้าอยากที่จะดูด้วยไหม? แม้ว่าจะเอาตัวรอดจากห่วงภัยธรรมชาติไปได้ แต่ก็ไม่มีใครที่จะสามารถรอดพ้นบ่วงแห่งกรรมได้! นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปศาลาปีศาจลอยฟ้าจะต้องสูญสิ้น!”

เมื่อสีวู่หยาเห็นชายชราที่กำลังลูบเคราตัวเองผ่านจากทางหน้าต่าง สีหน้าของตัวเขาก็ดูเปลี่ยนไปกลายเป็นสีหน้าแห่งความตกใจสุดขีด “ทำไมท่านอาจารย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

“เจ้ากล้าดียังไงกัน!”

ผั๊วะ!

ฮั่นยูวานได้เตะโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าไป โต๊ะตัวใหม่ได้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ “เมื่อหัวของเจ้าตกถึงพื้น ข้าจะดูเองว่าเจ้าจะยังกล้าหยิ่งผยองแบบนี้ต่อไปไหม?”

ที่หมู่บ้านฤดูร้อน

“ท่านอาจารย์” จ้าวยู่และหมิงซี่หยินอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อพวกเขาเห็นลู่โจวเดินออกมา พวกเขาไม่รู้เลยว่าจะรู้สึกมีความสุขดีไหม

ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไรศิษย์ทั้งสอง ตัวเขาจ้องมองไปที่ม่อหลี่ก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าแน่ใจแล้วหรอว่ากล้าแตะต้องศิษย์ของข้า?”

“ข้าจะเป็นคนจัดการเอง!” หนึ่งในแม่ทัพใหญ่ได้จ้องไปทางลู่โจว ตัวเขาได้ชักดาบของตัวเองออกมา แม่ทัพคนนั้นได้พุ่งเข้าหาลู่โจวอย่างไม่ลังเล

ลู่โจวหันไปด้านข้างเล็กน้อย ในตอนนั้นอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือของเขาก็ได้ส่องแสงออกมา

ฟรึ๊บ!

ในพริบตาเดียวเท่านั้น ลู่โจวก็ได้พุ่งผ่านตัวของแม่ทัพคนนั้นไปก่อนที่จะยืนอยู่ที่ด้านหลัง

ร่างกายของแม่ทัพใหญ่แข็งทื่อไม่ขยับไปไหน ในขณะเดียวกันดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง

สายตาของลู่โจวไม่ได้เหลือบมองแม่ทัพคนนั้นแม้แต่นิดเดียว ตัวเขายังคงจ้องมองม่อหลี่อย่างไม่ละสายตา

พรึ๊บ!

แม่ทัพใหญ่ล้มหน้าคว่ำ ร่างกายของเขาไร้พลังที่จะต่อสู้กลับ “ติ้ง! สังหารเป้าหมาย ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,000”

แสงแดดได้สาดส่องไปยังศพ ในไม่ช้าแมลงวันที่ได้กลิ่นเลือดก็ส่งเสียงหึ่งๆ ออกมา

กลิ่นเลือดได้ลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งอากาศ

ในหมู่บ้านฤดูร้อนได้กลับมาเงียบสงบอีกครั้งแล้ว

‘นี่น่ะหรอปรมาจารย์จีแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า? แม้ว่าจะอยู่ในเขตแดนพลังทั้งสิบ ร่างกายที่แก่ชราและยังไม่สามารถเดินพลังลมปราณได้แต่ยังกลับสังหารทหารองครักษ์ได้แบบนี้?’

นิ้วของม่อหลี่กระตุกในทันที มือของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ลู่โจว

“เจ้าน่ะพลาดแล้ว” ลู่โจวได้พูดออกมาด้วยความใจเย็น “ชีวิตของข้าใกล้ถึงขีดจำกัดขึ้นไปทุกที ยังไงซะถ้าหากจะเทียบกันด้วยพลังวรยุทธ ข้าก็คงจะเทียบพวกเจ้าไม่ได้ในหลายๆ แง่…แต่ในตอนนี้พวกเราอยู่ในการเขตแดนพลังทั้งสิบ ข้าน่ะรู้สึกยินดีจริงๆ”

ลู่โจวพูดความจริง ถ้าหากเป็นการต่อสู้ด้วยพลังวรยุทธ ทหารองครักษ์นายนี้อาจจะทำให้ลู่โจวเจอกับปัญหาได้ แต่ถ้าหากทุกคนต่างก็เท่าเทียมกันแบบนี้ ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็จะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบไป ลู่โจวยังมีพลังของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์รวมไปถึงอาวุธนิรนามอยู่ ในเรื่องของการใช้กระบวนท่าและการสังหาร ไม่มีใครที่จะเทียบได้กับมหาวายร้ายคนนี้ที่ผ่านการเข่นฆ่ามากว่าพันปีได้

ม่อหลี่ส่ายหัวอย่างตกใจ นางรีบสั่งการออกมาอย่างเร่งรีบ “อย่าไปฟังคำโกหก คนแก่อย่างนั้นจะไปใช้พลังต่อเนื่องได้ยังงกัน!” นางไม่คิดว่าคำพูดของนางจะดูปลุกใจทุกคนได้ นางจึงรีบพูดเสริมออกมา “พวกเจ้าทุกคนล้วนแต่เป็นนักรบของราชสำนัก ชายชราที่ใกล้จะเข้าโลงแบบนั้นพวกเจ้าจะสู้กันไม่ได้เลยอย่างงั้นหรอ?”

“ข้าจะไปเอง!” หนึ่งในนายพลได้ชักกระบี่ออกมาก่อนที่จะพุ่งเข้าไป

ทุกๆ คนต่างก็เท่าเทียมกันในเขตแดนพลังทั้งสิบ แม้ว่าจะพูดแบบนั้นแต่ก็ไม่มีใครที่จะต่อสู้กันด้วยความเท่าเทียมอย่างแท้จริง

ลู่โจวยกแขนขึ้นมา

“ท่านอาจารย์ระวัง!”

“ท่านอาจารย์!”

หยวนเอ๋อ, หมิงซี่หยิน และจ้าวยู่ต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ

แคล๊ง!

แสงอาทิตย์ได้สะท้อนกับอาวุธนิรนาม

ในตอนนั้นเองอาวุธนิรนามก็ได้เปล่งประกายแสงออกมา มันเป็นพลังพิเศษที่กำลังไหลอาบอาวุธนิรนามนั่นเอง

ลู่โจวได้จับอาวุธนิรนามในส่วนของด้าม ตัวเขาได้ใช้อาวุธนิรนามเพื่อที่จะปัดป้องการโจมตีจากกระบี่อันของแม่ทัพใหญ่ก่อนที่จะลากมันไปที่คอของแม่ทัพคนนั้น

ในตอนนั้นเองในหมู่บ้านก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

ลู่โจวตรวจสอบพลังพิเศษที่ตัวเขาเหลืออยู่ ถ้าหากไม่ใช้พลังในการโจมตีอะไรเลย พลังพิเศษก็จะช่วยเพิ่มพลังให้กับร่างกายอย่างต่อเนื่องได้

แคล๊ง!

กระบี่ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แม่ทัพคนนั้นดวงตาเบิกกว้าง…ริมฝีปากของเขาสั่นเครือ “นี่ข้า…เป็นไปไม่ได้” แม่ทัพคนนั้นไม่อาจที่จะหายใจได้อีกต่อไป ในไม่ช้าเลือดก็ได้พุ่งทะลักออกมาจากลำคอของเขา

“นี่สำหรับศิษย์ของข้า จ้าวยู่!”

พรึ๊บ!

“ติ้ง! สังหารเป้าหมาย ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,000”

หลิวหยวนรู้ดีว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงแค่ไหน ตัวเขาได้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าและก็เจ้า โจมตีซะ!”

“รับทราบ!”

แม่ทัพทั้งสองก้าวไปข้างหน้า

ในตอนนี้พลังการฝึกฝนหรือแม้แต่เคล็ดวิชาทั้งหลายต่างก็ไร้ซึ่งความหมาย สิ่งเดียวที่มีประโยชน์มีเพียงเทคนิคแห่งการฆ่า หยวนเอ๋อรู้แล้วว่าทำไมท่านอาจารย์ของนางถึงได้ให้นางและศิษย์พี่ฝึกฝนโดยที่ไม่ใช้พลังลมปราณแบบนี้ มันเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้เช่นนี้นี่เอง

ลู่โจวยังดูสงบนิ่ง มือของลู่โจวได้สะบัดไปที่ด้านหน้าในระหว่างที่ตัวเขาก้าวเดินไป อาวุธนิรนามได้ฟาดฟันเข้าใส่แม่ทัพทั้งสองในมุมที่คาดไม่ถึง

เสียงของมีคมที่เจาะเกราะไปได้ดังก้องไปทั่วทั้งอากาศ

“สองคนนี้สำหรับเจียงอาเฉียน”

“ติ้ง! สังหารเป้าหมาย ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,000”

“ติ้ง! สังหารเป้าหมาย ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,000”

เปลือกตาของม่อหลี่ถึงกับกระตุก

นางรู้สึกกลัวขึ้นมาก่อนที่จะก้าวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ

ลู่โจวยังดูสบายดีไร้รอยแผล

ตัวเขายังคงก้าวต่อไปพร้อมกับอาวุธนิรนามในมือ

ลู่โจวไม่ได้รีบเดินหรือเดินช้าอะไร