ตอนที่ 202 จอมชั่วร้ายปะทะจอมชั่วช้า (2)
หลี่ฉางโซ่วตะลึงงันไปชั่วครู่หนึ่ง มีปริมาณข้อมูลมากเกินไป
นี่อาจเป็น… สถานการณ์ที่ผู้บำเพ็ญเหวินจิงกินดอกบัวทองระดับสิบสอง!?!
รูปร่างของผู้บำเพ็ญเหวินจิงนั้นเยี่ยมมากจริงๆ นางด้อยกว่าอาจารย์อาจิ่วของเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!
แค่กๆ บางส่วนของภาพสถานการณ์ในโลกบรรพกาลนี้ เกินความคาดหมายของเขา…
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ค่อยๆ เข้าใจข้อมูลลึกซึ้งทั้งหมดเหล่านั้น
พวกมันลึกลับและอธิบายไม่ได้
หลี่ฉางโซ่วไม่อาจตีความความเข้าใจเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ตามความเข้าใจโดยทั่วไปของเขา เขาสามารถแปลมันได้เล็กน้อยเท่านั้น…
ในเมื่อภาพเหตุการณ์นี้ได้รับการหยั่งรู้มาจากปรมาจารย์จอมปราชญ์ จึงเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
ทว่าความเป็นไปได้นี้มีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ปรมาจารย์จอมปราชญ์จะต้องทำในอนาคต
แต่ในขณะนี้ ความเป็นไปได้ของอนาคตก็สั่นคลอนและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข จึงต้องใช้วิธีการ “ลงมือกระทำ” เพื่อเปลี่ยนเรื่องนี้ให้เป็น “ผล” ที่สามารถทำได้ด้วย “การวางเฉย”
เมื่อเข้าใจทั้งหมดแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ถึงกับตกใจ…
เขารู้มาโดยตลอดว่าเพดานพลังการต่อสู้ของโลกบรรพกาลนั้นสูงมาก
แต่ก็นึกไม่ถึงว่าปรมาจารย์จอมปราชญ์จะทรงพลังเช่นนี้!
ในเวลานี้ บรรพชนไท่ชิงได้คาดคำนวณภาพเหตุการณ์หนึ่งในเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงเวลาของมหาสงครามปราบดาเทพแล้ว…
ไม่ หาใช่เพียงแค่นั้นไม่!
มีอีกเหตุการณ์สำคัญที่ผู้บำเพ็ญเหวินจิงได้ดูดพลังดอกบัวทองระดับสิบสอง และยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์จอมปราชญ์เทพไท่ชิง และสำนักบำเพ็ญประจิม ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่เหล่าจื้อ ‘มุ่งหน้าไปทางตะวันตกผ่านด่านหานกู่’ เข้าสู่รัฐฉิน ก่อนเกิดเหตุการณ์เหล่าจื้อฮวาหู[1]
นั่นเป็นเรื่องที่พอเข้าใจและคาดการณ์ได้
จอมปราชญ์เทพเป็นพวกชอบอยู่ติดบ้าน[2] ที่มีชื่อเสียงในโลกบรรพกาล…
เอ่อ เป็นผู้นิ่งสงบและวางเฉย!
บรรพชนไท่ชิง มีความเกี่ยวข้องกับสำนักบำเพ็ญประจิม เมื่อลองคิดให้ดีแล้ว เขาทำได้เพียงร่วมงานกับพวกเขาในช่วงมหาสงครามปราบดาเทพเพื่อทำลายค่ายกลเวทหมื่นอมตะและค่ายกลเวทกระบี่สังหารเซียน รวมถึงเหตุการณ์เหล่าจื้อฮวาหูในเวลาต่อมา
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที…
นั่นคือวิถีของจอมปราชญ์เทพ!
มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับจอมปราชญ์เทพ แต่ยังไม่เกิดขึ้น ทว่าด้วยตัวปัจจัยอื่นๆ บัดนี้ จอมปราชญ์เทพจึงสัมผัสได้แล้ว!
ในขณะนี้ อักขระเต๋าที่คลุมเครือและลึกลับค่อยๆ หายไป และภาพในใจของหลี่ฉางโซ่วก็ค่อยๆ หายไป อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้แจ้งถึงบางอย่างได้
ห่างออกไปเก้าพันลี้ในทะเลทักษิณ บัดนี้ หลี่ฉางโซ่วไม่ลังเลใจเลย ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่ปลอมตัวเป็นเซียนชรา ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขี่เมฆบินไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็ว
เขาตั้งมั่นสมาธิและพยายามทำความเข้าใจข้อความที่จอมปราชญ์ส่งมาเหล่านี้อย่างเต็มที่…
มีเหตุผลแฝงนัยอยู่ในนั้นจริงๆ
ในช่วงระหว่างสงครามเทพ-ปีศาจ จอมปราชญ์สองคนแห่งสำนักบำเพ็ญประจิมได้บุกจู่โจมสำนักบำเพ็ญเต๋า อย่างบ้าคลั่งไม่หยุด พวกเขาทำหลายสิ่งหลายมากเกินไปทั้งที่เปิดเผยและแอบทำลับๆ พวกเขาวางแผนไว้มากจนเสียดอกบัวทองคำระดับสิบสองที่ถูกผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจุมพิตจนกลายเป็นดอกบัวทองคำระดับเก้า
เมื่อสูญเสียดอกบัวบุญระดับสิบสองที่ระงับชะตากรรมของสำนักบำเพ็ญประจิม บรรพชนไท่ชิงจึงบรรลุแผนการเหล่าจื้อฮวาหูได้สำเร็จ…
ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาขององค์ไท่ชิง!
แต่ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วไม่กล้าคิดมากเกินไป เขาทำตามคำชี้แนะของจอมปราชญ์และบินไปทางใต้โดยพร้อมที่จะกลายเป็นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ได้ตลอดเวลา
หลี่ฉางโซ่วอดคิดในใจไม่ว่า มีอะไรที่จะส่งผลต่อการดูดซับดอกบัวทองของผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินกันแน่?
แล้วไฉนท่านปรมาจารย์จอมปราชญ์จึงวางเรื่องนี้ลงบนบ่าของเขาอีกคราเล่า?
อาจมีเหตุผลบางอย่างในเรื่องนี้?
หลังจากนั้นราวครึ่งชั่วยาม หลี่ฉางโซ่วก็บินไปได้เก้าพันลี้ เขามองดูท้องทะเลกว้างใหญ่โดยมิรู้ว่าควรจะมุ่งหน้าไปทางตะวันออกหรือตะวันตกดี เขาจึงทำได้เพียงรอคอยเงียบๆ ในอากาศ ลางสังหรณ์ก่อนหน้าของเขาถูกต้อง
ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ
เป็นเรื่องดีที่จะกลายเป็นมนุษย์เครื่องมือเวทของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่และยังบังเอิญกลายเป็นมนุษย์เครื่องมือเวทของปรมาจารย์จอมปราชญ์อีกด้วย!
แล้วผู้สนับสนุนเบื้องหลังของเขาก็ชัดเจนและมั่นคงขึ้นมาในทันใด…
ในเวลาเดียวกันนั้น ห่างจากตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้หลายหมื่นลี้ ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินกำลังขี่เมฆขาว โบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ นางแทบไม่เคยเปิดเผยร่องรอยของนางในยามเดินทาง แต่บัดนี้ นางไร้ทางเลือก…
เดิมที ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินสวมชุดกระโปรงผ้าไหมโปร่งแสงสีขาวบริสุทธิ์
นางยกมือขึ้นและจับคอเสื้อของนาง จากนั้นก็เปลี่ยนจากหญิงสาวผู้ทรงเสน่ห์เป็นเซียนสตรีและกำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก…
นางมีสีหน้ามึนงงและดูเสียใจเล็กน้อย
ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินนึกถึงปฏิญญาต้าเต๋าที่ยุ่งยากซับซ้อนและยาวนานซึ่งนางเพิ่งให้สัตย์สาบานขึ้นมาในใจ ดวงตาของนางฉายรอยเสียใจและโกรธเคืองออกมา สามสำนักบำเพ็ญเต๋า… นี่มันเรื่องบ้าอันใดกันนี่!?!
ในท้ายที่สุด ผู้ใดกันแน่คือปีศาจร้าย?
หือ?
ผู้ใดกันแน่คือ สัตว์ร้ายโบราณกันเล่า?
ผู้ใดกันแน่คือ ปีศาจทะเลเลือดที่ฆ่าได้โดยไม่กะพริบตา!?!
ข้าเป็นราชินีผู้สง่างามแห่งเผ่ายุงดำปีกโลหิต ความจริงแล้ว… ถูกอุบายของเจ้าพวกศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋า ช่างสกปรกยิ่ง!
ไม่สิ เลือดของพวกมันจะต้องเป็นสีดำ สกปรก และไร้ยางอายจนทำให้ยุงคลื่นไส้
จบแล้ว มันจบแล้ว…
พวกศิษย์ของจอมปราชญ์จากสำนักบำเพ็ญประจิมที่สมคบคิดวางแผนร้ายมาก่อนหน้านี้ ไม่คู่ควรจะเป็นศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋า!
พวกเขาอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
แน่นอนว่า ในตอนนี้ ต่อให้นางจะโกรธแค้นคลุ้มคลั่งมากเพียงใด นางก็ไม่กล้าเผยออกมา
ในขณะนี้ อีกฝ่ายยังคงดูท่าทีของนางอยู่!
นี่มันเรื่องตลกบ้าบออันใดกัน?
ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิงไม่มั่นใจว่าจะจัดการกับฉยงเซียวได้ กรรไกรทองคำที่มีชื่อเสียงเป็นสมบัติสังหารที่มีชื่อเสียงในบรรดาสมบัติวิญญาณเซียนเทียน
นอกจากนี้ ยังมีจ้าวกงหมิงและไข่มุกเทพทะเลยี่สิบสี่เม็ดของเขาอีกด้วย!
แม้นางจะคือ ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิง ซึ่งเป็นราชินีของยุงดำปีกโลหิต แต่นางก็เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกสำนักบำเพ็ญประจิมควบคุม นางไร้เครื่องมือเวทที่ทรงพลัง จึงทำได้เพียงอาศัยพลังเวทของนางเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น
ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิงจับคอเสื้อของนางอีกครั้ง ในขณะนี้ ด้วยความคับข้องใจนั้น ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางจึงยิ่งดูน่าสงสารมากขึ้น…
แน่นอนว่า นี่เป็นการเสแสร้งของนาง เพราะนางสัมผัสได้ว่า บัดนี้เจ้าสองผู้เหี้ยมโหดกำลังจับตาดูนางด้วยเครื่องมือเวทบางอย่าง
หากนางใช้เวทหลบหนี นางจะเปิดเผยร่องรอยของนางอย่างแน่นอน
หลังจากนั้น ความรู้สึกที่ถูกเฝ้าติดตามก็ค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ ในยามนี้ ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิงส่งเสียงฮึดฮัดเบา ๆ ด้วยโทสะขณะยังคงขี่เมฆบินต่อไปยังทะเลประจิม
ทันใดนั้น สัมผัสเซียนรับรู้ของนางก็ตรวจพบนักพรตเต๋าผมขาวผู้หนึ่ง ซึ่งยืนอยู่บนทะเลห่างออกไปในระยะทางหลายพันลี้ ฐานพลังปราณของเขาอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นต้น
หากเป็นเวลาอื่น ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิงคงจะดูดพลังวิญญาณของนักพรตเต๋าชราผู้นี้
แต่ในขณะนั้น นางแสร้งทำเป็นไม่เห็นเขาและบินผ่านเขาไป
หกพันลี้ สามพันลี้…
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ตื่นตัวขึ้นและจับจ้องร่างของผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิงที่ขี่เมฆอยู่บนท้องฟ้า
หลี่ฉางโซ่วเพิ่งได้เห็นภาพเหตุการณ์สั้นๆ ของผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิงและดอกบัวในใจของเขา หลี่ฉางโซ่วก็จำผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิงได้ในทันที และตระหนักถึงสถานะในขณะนี้ของนาง…
มันดูเหมือนว่า…
เอ๋? เหตุใดนางถึงดูเหมือนแม่ทัพตงมู่ที่ดูมึนงงและผิดปกติมากในยามหมดหวัง…
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เข้าใจทันทีว่า เหตุใดบรรพชนไท่ชิงถึงปล่อยให้เขา “แก้ไข” เรื่องนี้ …
ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิงบินเร็วมากจนกำลังจะ “ผ่านไป” ในขณะที่หลี่ฉางโซ่ววอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันรู้สึกตัวทันทีขึ้นมาทันทีแล้วร้องตะโกนว่า
“ช้าก่อน! สหายเต๋า!”
…………………………………………………………………………………………………………………………
[1] มีตำนานเล่าว่า เหล่าจื้อออกจากด่านหานกู่เพื่อเผยแพร่ธรรมให้กับชาวหู จึงเรียกเรื่องราวเหตุการณ์นี้ว่า “เหล่าจื้อฮวาหู”
[2] นักเขียนมักเปรียบเปรยเชิงล้อเล่นว่า การนิ่งสงบ และวางเฉยคือ การอยู่ติดบ้านอย่างสงบและไม่ทำอะไร