บทที่ 343 อ๋องเย่ละเมอ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 343 อ๋องเย่ละเมอ

เย่หลีเฉิน “……”

กลุ่มองครักษ์ “……”

นี่เป็นวิธีการบังคับสารภาพแน่หรือ คงไม่ใช่การตุ๋นเป็ดตุ๋นไก่ใช่ไหม

หากมีวิธีการทรมานเช่นนี้ คนที่ถูกทรมาน ก็คงจะต้องตายอยู่หลายครั้ง

นักฆ่าที่ถูกบังคับให้คุกเข่าอยู่บนพื้น แม้ว่าจะไม่เชื่อในการทรมานประเภทนี้ แต่เขากำลังจะเป็นผู้ที่ถูกทรมาน ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดมาทรมานเขา สำหรับเขาแล้วก็ล้วนไม่ใช่เรื่องดี

“องค์ชายรัชทายาท เจ้าให้คนไปเอาหม้อใบใหญ่ๆ มา ยิ่งมากยิ่งดี หากตุ๋นด้วยน้ำแล้วยังใช้ไม่ได้ผล ก็ต้องใช้น้ำมันทอดโดยตรง”

เสียงนั้นดูเหมือนจะล้อเล่น แต่คำพูดที่ออกมากลับทำให้คนตัวสั่น

บนหน้าผากของนักฆ่า ค่อยๆ ปรากฏเหงื่อออกมาจำนวนมาก ดวงตาก็จ้องมองพวกเขาอยู่ชั่วพริบตา

เย่หลีเฉินมองไปยังเทพธิดาที่อยู่ด้านข้าง หยุดไปชั่วครู่ ในที่สุดก็โบกมือให้กับองครักษ์คนหนึ่ง องครักษ์จึงทำตามคำสั่งของเขาทันที

หลังจากนำกระทะเหล็กใบใหญ่เข้ามา องครักษ์ส่วนหนึ่งก็ทำการจุดไฟ วางกระทะเหล็ก เทน้ำมันร้อนเข้าไป

องครักษ์คนอื่นๆ ก็ไปเตรียมเครื่องมือทรมาน

หลานเยาเยาได้นำมือที่ประสานกันไว้ในแขนเสื้อออกมา และหยิบมีดสั้นที่แหลมคมอย่างหาอะไรเปรียบไม่ได้ออกมา

ดูเหมือนจะรอเวลามานานแล้ว

นางเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงด้านหน้าของนักฆ่า

นักฆ่าในเวลานี้ เสื้อผ้าถูกปลดออกจนหมดจด หลานเยาเยายิ้มอย่างเย้ายวน พูดออกไปอย่างสงสัย

“จะปล่อยให้เลือดออกก่อนหรือจะถลกหนังก่อนดีล่ะ”

นักฆ่ามองดูท่าทางนั้น เหมือนจะไม่ได้ล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย ทั่วทั้งร่างจึงสั่นเทา

ในขณะที่มีดสั้นเข้าใกล้ผิวหนังบนร่างกาย เขาก็ตะโกนเสียงดังออกมาอย่างถล่มทลาย

“ข้าบอกแล้วข้าบอกแล้ว ข้ายอมบอกหมดทุกอย่าง”

“อย่าเลย! ในฐานะนักฆ่าที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เจ้าจะต้องมีความมานะ และมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี ดีที่สุดก็คือจะต้องยอมตายดีกว่าทำตาม”

หลานเยาเยาแนะนำเขา

นักฆ่าส่ายหน้าอย่างรุนแรงตลอด และมองไปยังเทพธิดาที่ยิ้มอย่างชั่วร้ายด้วยความหวาดกลัว

“ไม่……ไม่ต้อง ไม่ต้อง ข้ายอมพูดหมดทุกอย่าง พวกเจ้าต้องการจะถามอะไรก็ถามมา หากข้ารู้ข้าก็จะบอก”

“เดี๋ยวก่อนเดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งพูด ไม่อย่างนั้นก็บอกนี้เถอะ! เจ้าให้ข้าได้ขีดข่วนสักครั้งสองครั้งก่อน จากนั้นเจ้าก็บอกในสิ่งที่เจ้ารู้มา ถ้าแบบนี้ ข้าก็รู้สึกสบายใจแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก สรุปได้ว่าเจ้าก็ได้กำไรแล้ว”

เมื่อเห็นเทพธิดากำลังจะใช้มีดอีกครั้ง นักฆ่าก็ร้องไห้ออกมา

“ฮือฮือฮือ……”

“เทพธิดาโปรดไว้ชีวิต ข้ายอมพูดหมดทุกอย่าง ฮือฮือ องค์ชายรัชทายาท องค์ชายรัชทายาท ข้ายอมพูดหมดทุกอย่าง……”

หลานเยาเยาดึงมีดสั้นกลับ และมองไปที่เย่หลีเฉิน “ไม่สนุกเลย ทำไมไม่รอให้ลงไปในกระทะก่อนแล้วค่อยพูดล่ะ! เจ้าก็จัดการไปตามสมควรเถอะ! ไปดีกว่า”

พูดจบ

หลานเยาเยาก็ได้เดินมาถึงด้านหลังของเย่หลีเฉินไป

เย่หลีเฉินอยากจะพูดอยากจะเขียนอะไร แต่เมื่อหันไปมอง กลับพบว่าเทพธิดาไม่อยู่แล้ว

เขามองไปที่องครักษ์อย่างสงสัย “เทพธิดาล่ะ”

“บินหายไปแล้ว……หรือ!”

พวกองครักษ์ก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่ละคนต่างทำตาปริบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ

พวกเขายืนอยู่ด้านหลังขององค์ชายรัชทายาทโดยตลอด หลังจากเทพธิดาเดินมาถึงด้านหลังขององค์ชายรัชทายาท นั่นก็คือยืนอยู่ด้านหน้าของพวกเขา

แต่!

ชั่วพริบตาเดียว เทพธิดาก็หายไปแล้ว

วรยุทธ์ที่มีความยอดเยี่ยมอย่างนี้ช่างเก่งกาจจริงๆ !

······

หลานเยาเยาที่ถูกผู้คนชื่นชม ในความเป็นจริงแล้วแสนเจ็บปวดยิ่งนัก

นางบินไปด้วยตนเองที่ไหนกัน! เห็นได้ชัดว่าได้ถูกลักพาตัวไป และในเวลานี้ก็ได้ถูกคนแบกไว้บนบ่า!

อีกทั้งเป็นการก่อเรื่องของคนที่คุ้นเคย

หลานเยาเยามองไปยังชายที่มีหน้าตาที่หล่อเหลาด้วยความหดหู่ใจ และพูดไปอย่างอ่อนแรง

“เย่แจ๋หยิ่ง เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ก็เห็นดีๆอยู่ เจ้าลักพาตัวข้ามาทำไม อย่างไรก็ลักพาตัวมาแล้ว ไม่ต้องแรงจะได้ไหม กระเทือนจนข้าจะอาเจียนอาหารเย็นออกมาหมดแล้ว”

ลมหายใจที่เยือกเย็นของคนที่แบกนางอยู่แพร่กระจายไปทั่วตัวจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ไม่สนใจนางอย่างสิ้นเชิง

นางตะโกนออกมาตลอดทาง เย่แจ๋หยิ่งก็ไม่ได้ตอบกลับนางสักคำ บางครั้งก็ทำให้นางหงุดหงิด และยังเหลือบมองนางอย่างเย็นชา

จนกระทั่งแบกนางกลับไปที่ตำหนักเทพธิดา และแบกมาถึงบนเตียง หลังจากช่วยห่มผ้าให้กับนาง ก็ออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ออกไปแบบนี้เลยหรือ

และนางยังพบว่าเย่แจ๋หยิ่งไม่ได้สวมรองเท้าด้วยซ้ำ……

ดังนั้น!

หลานเยาเยาคลี่ผ้าห่มออก มองไปยังเท้าที่ไม่ได้สวมแม้แต่รองเท้า ลุกขึ้นลงจากเตียงด้วยความสงสัย และเดินตามไปอย่างเงียบๆ

เดินตามเย่แจ๋หยิ่งกลับไปที่ห้องบรรทมชั่วคราวของเขา เห็นเพียงเขาเดินเข้าไปยังอาคารชั้นใน ขึ้นไปบนเตียง จากนั้นก็หลับตานอน

เมื่อเห็นแบบนี้ หลานเยาเยาพูดไม่ออกบอกไม่ถูกในทันที

การละเมอนี้ต้องการที่จะลักพาตัวนางไป แทบจะไม่มีอะไรน่าระทึกเลย

หลานเยาเยาเดินมาถึงเตียง มองไปยังเย่แจ๋หยิ่งที่กำลังหายใจอย่างเงียบสงบ ยื่นมือออกไปลูบแก้มของเขาเบาๆ

ใบหน้าที่หล่อเหล่าเช่นนี้ ถ้าไม่สัมผัสให้เพียงพอก็เป็นการเสียเปล่า

และก็ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ ขาก็ชา ทั้งตัวของหลานเยาเยาจึงโผล่เข้าหาเย่แจ๋หยิ่ง โชคดีในตอนที่จะชนเข้ากับเย่แจ๋หยิ่งนั้น มือทั้งสองของนางก็ค้ำไว้อย่างแน่นหนาทันที

“ฮู้ว……”

นางค่อยๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ขณะที่กำลังจะลุกขึ้น แขนข้างหนึ่งก็โอบรอบเอวของนางเอาไว้ จากนั้นนางก็ถูกดึงตัวให้ล้มลงไปบนเตียง แขนที่โอบเอวของนางนั้นยังไม่ได้ปล่อยออก

“เย่แจ๋หยิ่ง เจ้าตื่นแล้วก็พูดออกมา อย่าแสร้งทำเป็นลิงหลอกเจ้า”

“นอนเถอะ! พรุ่งนี้จะทำปลาน้ำแดงให้เจ้ากิน” เย่แจ๋หยิ่งยังไม่ได้ลืมตา แต่เมื่อหลานเยาเยาลูบแก้มของเขาเขาก็ตื่นขึ้นแล้ว

“ข้ายังมีธุระ”

นางหายไปหายวัน วันนี้เพิ่งได้กลับไปที่ตำหนัก คืนนี้หานแสจะต้องมาอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะรอนางอยู่ในห้องของนางแล้ว

อีกทั้งนางก็มีเรื่องที่จะปรึกษากับหานแสอยู่พอดี

“คืนนี้ไม่ต้องไปพบคนอื่นแล้ว”

“เย่แจ๋หยิ่ง เจ้าอย่ามาเอาแต่ใจแบบนี้ ตอนนี้ข้าไม่อยากที่จะยุ่งกับเรื่องของเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องของข้า”

ราชครูเทียนเวิงเป็นอาจารย์ของเย่แจ๋หยิ่ง ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูกันหรือไม่ นางก็ไม่อยากจะไปยุ่ง และเรื่องที่นางต้องการจะทำ นางก็ไม่ต้องจะให้ใครมาขัดขวาง โดยเฉพาะเย่แจ๋หยิ่ง

เย่แจ๋หยิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองดูนางอย่างเงียบๆ

หลังจากเงียบอยู่นาน ก็ปล่อยนางไป

“เจ้าไปเถอะ!”

เสียงของเขาแหบเล็กน้อย และเดิมทีแล้วยังดูไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ใด

หลานเยาเยาลุกขึ้นยืน ลงจากเตียง และเดินไปที่ม่านของตำหนักชั้นใน หยุดลงชั่วครู่ เปิดม่านออกแล้วเดินไปยังประตู

ประตูเปิดออกพร้อมกับเสียงดัง “เอี๊ยด” จากนั้นก็เสียงปิดก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เอี๊ยด”

ตอนที่หันกลับ

หลานเยาเยาก็ตกใจเล็กน้อย

เพราะในขณะนี้หานแสที่อยู่ในชุดคลุมสีม่วงเข้ม ได้ยืนอยู่ในลาน เขามองมายังนาง ด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ได้

หลานเยาเยาไม่ได้พูดอะไร หานแสก็หันหลังกลับและเดินไป

เดินตรงไปยังศาลาแปดเหลี่ยมที่มีโคมไฟสองสามดวงแขวนอยู่ จึงหยุดฝีเท้า แต่กลับไม่ได้หันตัวกลับมา และหันหลังให้กับหลานเยาเยา

หลานเยาเยาก้าวเข้ามาในศาลา นั่งลงบนม้านั่งหินตัวหนึ่ง บนโต๊ะหินมีกาน้ำชาอยู่ คาดว่าน้ำชาในตอนนี้คงจะเย็นหมดแล้ว

“เจ้าของเรือมาเยี่ยมเยือนกลางดึก ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด”

“เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าข้าจะต้องมา” เสียงของหานแสแผ่วเบา แต่ดูเหมือนจะมีน้ำเสียงยิ้มเยาะเล็กน้อย

“ทำไมจะต้องเข้าไปในห้องของเขา” แม้แต่ข้าเดินตามอยู่ข้างหลังก็ยังไม่รู้ หลานเยาเยา ความระแวดระวังตัวของเจ้าแย่ลงเรื่อยๆ