บทที่ 344 สวนหยู่ถูกพาไปแล้ว

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 344 สวนหยู่ถูกพาไปแล้ว

ได้ยินดังนั้น

หลานเยาเยายิ้มอย่างจางๆ

“เดาว่าคงจะไม่ได้ถือว่าเจ้าเป็นศัตรูสินะ! ถึงอย่างไรพวกเรายังมีเป้าหมายอีกมากที่ต้องทำร่วมกันให้สำเร็จ

ในช่วงไม่กี่วันที่หายไป ก็เป็นเพราะได้ถูกล้อมกักไว้อยู่ใต้ต้นบุพเพ ที่นั่นมีวังแช่แข็งอยู่หลังหนึ่ง ชื่อที่สลักไว้บนกำแพงน้ำแข็ง เป็นเบาะแสที่ทำให้ค้นพบยาฉางตาน”

อันที่จริง!

บนกำแพงนั้นไม่ได้เขียนเรื่องราวของยาฉางตานไว้เลย มีเพียงภาพจิตรกรรมฝานังสี่ภาพ

ที่พูดไปทั้งหมดนี้ นางแค่ต้องการจะทดสอบเล็กน้อย

ดวงตาอันหม่นหมองของหานแส หรี่ลงยากที่จะมองเห็น จากนั้นหันกลับมา ค่อยๆเลิกเสื้อคลุมขึ้น แล้วนั่งลงตรงหน้าของหลานเยาเยา

“เบาะแสอะไร”

“ทำไมเจ้าของเรือถึงไม่ถามว่ายาฉางตานคืออะไร” หลานเยาเยายิ้มเจื่อน

อันที่จริง ไม่จำเป็นต้องให้หานแสตอบ นางก็รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

หากไม่ได้จากปากของเย่แจ๋หยิ่ง ชื่อเดิมของยาวิเศษคือ ยาฉางตาน เกรงว่าจนถึงตอนนี้นางยังคงเรียกยาฉางตานว่ายาอายุวัฒนะ

และสิ่งทั้งหมดที่เย่แจ๋หยิ่งรู้ เป็นเพราะได้รับสืบทอดความทรงจำบางอย่างมาจากเซียนชุดขาว

แต่!

ไม่เหมือนกับหานแส

นางไม่เคยพูดถึงมาก่อน เย่แจ๋หยิ่งก็ไม่น่าจะบอกเขา และตอนที่นางเพิ่งจะพูดถึงยาฉางตานอีกครั้ง เขาก็ไม่รู้ตกใจเลยแม้แต่น้อย

นี่แสดงว่า เขาคงรู้เรื่องเกี่ยวกับยาฉางตานตั้งนานแล้ว

หานแสตกใจเล็กน้อย ทันทีที่ได้เผชิญกับสายตาของนาง ในดวงตาก็เปล่งประกายอย่างแปลกประหลาด จากนั้นรอยยิ้มอันชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้น

“ยาฉางตานก็แค่เป็นยาวิเศษที่ราชครูเทียนเวิงตามหา ในเมื่อเจ้ารู้เบาะแสแล้ว อย่างนั้นพวกเราก็สามารถใช้ประโยชน์จากเบาะแสนี้ เพื่อค้นหายาฉางตาน และอีกด้านหนึ่งก็เป็นการลดอำนาจของราชครูเทียนเวิงให้อ่อนลง”

“อืม เจ้าของเรือที่แท้ฉลาดจริงๆ !”

“เยาเยา ทำไมถึงไม่เรียกชื่อของข้าเลย”

“หานแสยื่นมือออกไปเพื่อจับมือหลานเยาเยา แต่กลับถูกหลานเยาเยาหลบเลี่ยงอย่างไร้ร่องรอย

“ข้าก็เป็นแบบนี้มาตลอด เมื่อไหร่ที่อยากจะเรียกเจ้าของเรือก็เรียกเจ้าของเรือ เมื่อไหร่อยากจะเรียกชื่อของเจ้าก็เรียกชื่อของเจ้า”

ถ้าจู่ๆ เจ้าจะให้ข้าตะโกนเรียกชื่อของเจ้า ข้าเกรงว่าไม่รู้จะพูดออกไปอย่างไร”

มีบางเรื่อง ที่หากพูดออกไปแล้ว เกรงว่าแม้แต่จะร่วมมือกันก็คงจะร่วมมือกันไม่ได้

หลังจากยกมือทั้งสองออกจากโต๊ะหิน นางก็ยกมือขึ้นหยิบเส้นผมที่ร่วงลงมาบนหน้าอก และเล่นมันอย่างไม่สนใจไยดี

ทำเหมือนกับว่ามองไม่เห็นการกระทำของหานแสเมื่อกี้นี้

“ก็ถูกเจ้าเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด เดาว่าคงอีกไม่กี่วัน พวกราชครูเทียนเวิงจะมาหาเจ้าเพื่อถามหาเกี่ยวกับเรื่องการหายตัวไป ถึงตอนนั้น เจ้าก็สามารถปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันเองได้

สำหรับอ๋องเย่……เขาเป็นคนที่ไม่อาจคาดเดาได้ ข้าเห็นว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่กลับมองเขาไม่ออกเลย ข้าบอกได้เพียงว่าความทะเยอะทะยานของเขาไม่ได้มีเพียงแค่ราชบัลลังก์เท่านั้น

และยังมีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะเจ้า เยาเยา เจ้าต้องระวังเอาไว้ อย่าให้ติดกับดักได้ จะได้ไม่ซ้ำรอยเดิมอีก ข้าไม่อยากจะเห็นเจ้าต้องเสียน้ำตา”

ตอนนี้!

หานแสค่อยๆ หันศีรษะไปยังที่มืดด้านหลังของหลานเยาเยา จากนั้นลุกขึ้นยืน และพูดด้วยน้ำเสียงที่ร้ายกาจ

“นี่ก็ดึกแล้ว ข้าจะต้องกลับไปจัดการกับบางเรื่อง”

หลานเยาเยาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วก็ลุกขึ้นยืน

เมื่อเห็นหานแสแสดงท่าทีว่านางไม่ต้องไปส่ง เขาเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็หันหลังกลับมา คว้าตัวนางมาไว้ในอ้อมแขน และพูดอย่างนุ่มนวล

“อยากจะย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อนจริงๆ ที่สามารถบุกเข้าไปยังห้องส่วนตัวของเจ้าได้ทุกคืน ให้เจ้าได้เล่นหมากรุกและพูดคุยเป็นเพื่อนข้า”

แต่ก็ไม่อยากจะเห็นเจ้าในทุกๆ คืน ที่ตื่นจากฝันร้ายมาพร้อมกับน้ำตา และยังจะฝืนยิ้มให้กับข้า

เหอะ!

ข้าเป็นคนที่ขัดแย้งคนหนึ่ง มีบางครั้งถึงขั้นไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าเข้าใจ เยาเยา ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลกและเป็นยาพิษที่เจ็บปวดที่สุด เมื่อได้รับเข้า ก็จะไม่มีวิธีที่จะถอนตัวได้ แม้ว่าจะทำลายทั้งฟ้าดินก็ยังเหมือนกับเริ่มต้น……

เยาเยา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเจ้าอย่าได้มอบใจทั้งใจออกไป

เอาล่ะ อย่าคิดส่งเดชเลย ข้าก็แค่เตือนเจ้าเท่านั้น

ข้ารู้สึกเพียงว่าเจ้ารู้สึกกับข้าเป็นศัตรู ในใจกระสับกระส่าย จึงคิดอยากจะกอดเจ้าเพื่อปลอบใจตนเอง”

เกือบจะพูดจบ

หานแสก็ได้ปล่อยนางแล้ว จากนั้นก็หลังจากไป ราวกับว่าคำพูดที่นุ่มนวลของเขาเมื่อกี้ไม่ได้ถูกพูดออกมา

หลังจากหานแสจากไป

หลานเยาเยามองไปยังด้านหลังของตนเอง ดวงตาก็กะพริบเล็กน้อย ยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างเจื่อนๆ

……

วันรุ่งขึ้น เช้าตรู่

“ตึงตึงตึง……”

หลานเยาเยาที่ยังคงถือหมูตุ๋นอยู่ในฝัน ก็ได้ถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงเคาะประตู หมูตุ๋นในฝันก็ได้บินหายไป

ในใจรู้สึกอารมณ์เสียมาก

ในเวลานี้ เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านนอก

“คุณหนู”

“คุณหนูของเจ้าตายไปแล้ว” หลานเยาเยากุมศีรษะเอาไว้เหมือนกับเล้าไก่ พูดออกไปอย่างงัวเงีย

“……”

คนที่เคาะประตูคือจื่อเฟิง เมื่อได้ยินน้ำเสียงของหลานเยาเยาเขาก็หยุดชะงักลง และยังตัดสินใจที่นำเรื่องนี้รายงาน

“คุณหนู อ๋องเย่และพระราชธิดาจาวหยางวันนี้ได้ย้ายกลับจวนอ๋องเย่ ตอนนี้กำลังอยู่ที่ประตูใหญ่”

ได้ยินดังนั้น!

หลานเยาเยาที่บิดเอวด้วยความขี้เกียจนั้น ได้ตะลึง จากนั้นเอนตัวนอนลงต่อไป และพูดอย่างเฉยเมย

“ย้ายก็ย้ายสิ ! ประหยัดกินประหยัดดื่มก็ประหยัดดี เจ้าไม่จำเป็นต้องมาบอกข้าก่อน”

เพียงแค่นางอยู่ในตำหนัก โหลวเย่วก็ต้องมาปรากฏตัวคอยพูดจุกจิกไม่หยุด และยังคอยถามนู่นถามนี่ มาคอยแย่งกินอาหารอร่อยของนาง

เย่แจ๋หยิ่งก็เช่นกัน

กระง่อนกระแง่นต่อหน้านางเป็นครั้งคราว เผอิญยังชอบชักสีหน้าใส่นาง ถึงอย่างไรเป้าหมายของเขาได้สำเร็จแล้ว ยังไม่ไปอีกหรือ

พวกเขาย้ายกลับไปก็คงจะดี เงียบสงบและสบายใจแล้ว ก็เป็นเรื่องดี

“เฮ้อ……”

โธ่!

ไปให้หมดเถอะ ไปให้หมดเถอะ ไปแล้วก็ดี……

แน่นอนว่าจื่อเฟิงไม่ได้มารายงานเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่เรื่องพิเศษที่รายงานคืออีกเรื่องหนึ่ง “สวนหยู่ก็ตามไปแล้ว”

“อะไรนะ”

ทันทีที่หลานเยาเยาได้ยิน อย่างนั้นจะยอมได้อย่างไร

แต่สวนหยู่เป็นม้าสุดรักของนาง จะปล่อยให้มันไปกับคนอื่นได้อย่างไร

เล่หกของเย่แจ๋หยิ่งจะต้องการพาตัวมันไปอย่างแน่นอน และจะไม่ปล่อยให้มันสำเร็จได้

ดังนั้น!

ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หลานเยาเยาลุกลงจากเตียงและสวมเสื้อผ้าโดยเร็ว เส้นผมที่พะรุงพะรุงได้ถูกหวีเล็กน้อยก็เท่านั้น และนางก็วิ่งออกจากห้องด้วยผมที่กระเซิง

ตำหนักเทพธิดา

มีรถมาสองคันจอดอยู่ที่ประตูใหญ่ คันที่อยู่ด้านหลังเป็นรถม้าพิเศษของพระราชธิดาจาวหยาง สูงศักดิ์และสง่างาม

และด้านหน้าเป็นรถม้าสีดำที่หรูหรา ลักษณะและสีของรถม้าเกือบจะเหมือนกันกับรถม้าคันนั้นที่ตกลงไปในหน้าผาก่อนหน้านี้

หากไม่มองให้ละเอียด ก็ยากที่จะแยกออก

เย่แจ๋หยิ่งที่สวมชุดคลุมผ้าไหมสีดำทองก็ยืนอยู่ข้างรถม้าสีดำ มือทั้งสองของเขาที่ไขว้ไว้ด้านหลัง ดวงตาที่ลึกราวกับวังน้ำวนมองตรงไปข้างหน้า สายตากลับไม่ได้จดจ่ออยู่กับจุดใด ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

อย่างไรก็ตาม!

ก็เหมือนกับเวลาปกติ ทั้งตัวเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ทำให้คนรู้สึกเหมือนไม่อยากให้เข้าใกล้ คนธรรมดาสามัญล้วนแต่ไม่กล้าจ้องตาเขาโดยตรง

ในขณะนี้ พระราชธิดาจาวหยางเดินออกมาจากประตูใหญ่อย่างไม่อยากจะไป

เมื่อนางเดินมาอยู่ห่างจากเย่แจ๋หยิ่งเพียงห้าก้าว ก็ได้หยุดลง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็กระซิบ

“เสด็จอา พวกเราไม่ต้องไปบอกลาเทพธิดาหรือ”

ถึงอย่างไรก็มาพักอยู่ในตำหนักเทพธิดาหลายวันแล้ว เพิ่มความยุ่งยากให้กับเทพธิดามากมาย เมื่อจะไปก็ไม่แม้แต่บอกลา ดูไม่เป็นธรรมไปสักหน่อย

“ไม่ต้อง!”

เย่แจ๋หยิ่งขึ้นรถม้าแล้ว เปิดผ้าม่านของรถม้าออก หันกลับไปมองที่ประตูใหญ่ มองไม่เห็นคนที่อยากเห็น ดวงตาของเขาก็มัวลงอย่างอดไม่ได้

กำลังที่จะโน้มตัวเข้าไปในรถม้า…