บทที่ 383 ข้าแอบลักมา

บทที่ 383 ข้าแอบลักมา

ดาบใบตรงทั้งสามเล่มได้รับการยอมรับจากทุกคน แม้แต่หนานกงฉีซิวผู้ที่ไม่ได้ฝึกยุทธ์มากมายยังชื่นชอบมัน

ถึงแม้เขาจะชอบพวกวรรณกรรม แต่ในยุคสมัยนี้ผู้คนต้องศึกษาศาสตร์ทั้งหกของบุรุษ*[1] ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ หนานกงฉีซิวเป็นผู้ที่ปราดเปรื่องที่สุด อาจเรียกได้ว่าเป็นนักรบมากเล่ห์เหลี่ยม

หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ถึงแม้ว่าขาของเขาจะอ่อนแรง แต่ก็ไม่เคยย่อท้อแต่อย่างใด จึงทุ่มแรงกายแรงใจทั้งหมดไปที่งานเขียน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญด้านดนตรี หมากรุก การประดิษฐ์ตัวอักษร และการวาดภาพทุกประเภท เขาชอบศึกษาอ่านตำรา

หลังจากที่ขาหายดีแล้ว เขาก็เริ่มขี่ม้าและยิงธนูเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสภาพร่างกายดีขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนที่อ่อนแออยู่แล้ว ขอเอ่ยอย่างไม่เกินจริงว่า หากเขาหยิบจับดาบขึ้นมาเมื่อใดก็ย่อมสังหารศัตรูได้

ดังนั้นความคลั่งไคล้ของหนานกงฉีซิวที่มีต่อดาบเล่มนี้จึงสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจนเช่นกัน

แต่หนานกงฉีหลิงกลับรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากเห็นดาบเล่มสุดท้ายถูกส่งมอบออกไป

เขารู้สึกได้ว่าตนเองต้องหาทางสงบสติอารมณ์ ดังนั้นจึงไปตกปลา

แต่บางทีปลาอาจไม่ได้ชื่นชอบเขานัก ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเกือบครึ่งวันแล้วก็ยังตกขึ้นมาไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว

เอาเถอะ รู้สึกเศร้ามากกว่าเดิมเสียอีก

“พี่ห้า”

อยู่ ๆ เสี่ยวเป่าก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกาย จากนั้นก็ได้ถอดรองเท้าออกจนเผยให้เห็นเท้าขาวนวลแสนน่ารัก นางทิ้งตัวนั่งลงบนโขดหินก่อนจะจุ่มเท้าลงไปในน้ำที่เย็นนิดหน่อย พลางเตะขาไปมา

ช่างสบายเสียจริง

“ทำอะไรของเจ้า รีบสวมรองเท้าเดี๋ยวนี้ หากเป็นหวัดขึ้นมาจะทำอย่างไร”

ขณะเอ่ยเขาก็วางเบ็ดตกปลาลงข้างกายของตน พลางเดินไปอุ้มน้องสาวขึ้นมา

หลังจากนั้น ทั้งคนตัวใหญ่และคนตัวเล็กต่างก็พากันก้มศีรษะลงมองไปยังเท้าของนาง

ปลาตัวหนึ่งงับนิ้วเท้าของเสี่ยวเป่า ก่อนจะมองไปยังหนานกงฉีหลิงด้วยแววตาตายด้าน

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกประหนึ่งมีแววตาเยาะเย้ยพุ่งออกมาจากดวงตาของปลาตัวนั้น

หนานกงฉีหลิงที่กำลังตกปลาแต่กลับไม่มีปลามางับเหยื่อสักตัว “…”

เสี่ยวเป่าที่เพียงแค่อยากแช่เท้า “…”

นางโดนอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขนของพี่ห้าพลางเตะสะบัดเท้า ทำให้ปลาตัวนั้นลอยละลิ่วกลับลงไปในน้ำ

“พี่ห้า อันนี้ให้ท่านพี่เพคะ”

“อะไรหรือ?”

หนานกงฉีหลิงวางเสี่ยวเป่าลง และกำลังจะสวมใส่รองเท้าให้นาง เสี่ยวป่าก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาแล้วส่งมอบมันให้กับเขา

สิ่งที่วาดเอาไว้บนกระดาษคือรูปของดาบ อาวุธเย็น*[2]!

เมื่อเห็นภาพวาดรูปร่างของดาบนั้น แววตาของหนานกงฉีซิวก็เป็นประกายขึ้นมาในทันที อดใจรอแทบไม่ไหวที่จะยื่นมือออกไปรับ

“นี่มัน…”

ไม่ใช่ดาบใบตรง

“ดาบใหญ่”

ดาบใหญ่ด้ามจับยาว ใบมีดยังดูสั้นกว่าด้ามจับนั้นเสียอีก นอกจากนี้ยังค่อนข้างหนักมากด้วย

หากบุคคลใดมีทรัพย์สินมากพอก็สามารถซื้อดาบเล่มนี้ได้ แต่ก่อนอื่นต้องแข็งแรงมากพอเสียก่อน เนื่องจากดาบเล่มนี้จะทำหน้าที่ของมันได้ดีเมื่ออยู่บนหลังม้า

ดาบใหญ่มีชื่อเสียงอันชั่วร้ายว่า ‘ไม่ว่าคมดาบจะชี้ไปที่ใด คนและม้าจะสะบั้นเป็นสองท่อน’ เป็นหนึ่งในอาวุธเย็นที่ทรงอำนาจและโหดร้ายที่สุดในสมัยก่อน

เป็นอาวุธที่เหมาะสำหรับการตัดหัวม้า หากพวกเขาได้ผนึกกำลังร่วมกับดาบใหญ่ สิ่งนั้นอาจถือได้ว่าเป็นฝันร้ายของพวกซยงหนูก็ว่าได้

เนื่องจากชาวซยงหนูและชนเผ่าทุ่งหญ้า ชำนาญเรื่องการสู้รบบนหลังม้าเป็นที่สุด

เสี่ยวเป่าไม่จำเป็นต้องเอ่ยอธิบาย หนานกงฉีหลิงก็สามารถรู้ถึงประเภทของดาบและหน้าที่ของมันได้เพียงแค่มองรูปลักษณ์เท่านั้น

สีหน้าและหูของเขาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น “เสี่ยวเป่า ดาบนี่…”

คิ้วของเสี่ยวเป่าโค้งงอ “ดาบเล่มนี้ยังไม่ได้ทำออกมา ท่านพี่ขอให้กรมโยธาทำออกมาให้ได้นะเพคะ”

นางเห็นว่าพี่ห้าชื่นชอบดาบใบตรงทั้งสามเล่มพวกนั้นมากขนาดไหน หลังจากที่ดาบพวกนั้นแจกจ่ายออกไปแล้วคงรู้สึกเสียใจแน่ ๆ

เพื่อทำให้เขามีความสุข เสี่ยวเป่าจึงค้นคว้าตำราเกี่ยวกับอาวุธเย็นภายในห้องสมุด และในที่สุดจึงเลือกนำดาบใหญ่มาให้เขาดู

“ดี ๆ ๆ ข้ารู้ว่าเสี่ยวเป่าดีต่อพี่ชายที่สุด”

หนานกงฉีหลิงมีความสุขแล้ว เขาจึงกอดน้องสาวของตนก่อนจะอุ้มหมุนตัวด้วยความดีใจ

ว่าแต่…

“ภาพวาดนี่”

เสี่ยวเป่ากระซิบกระซาบ “ของท่านพ่อ ข้าแอบลักมาเพคะ”

หากคนหนึ่งทำผิดก็จะผิดด้วยกันทั้งสองคน ท่านพ่อคงไม่ตำหนิหรอกใช่หรือไม่

หนานกงฉีหลิงรู้สึกซึ้งใจยิ่งนัก น้องสาวทำสิ่งนี้เพื่อเขา

“หากเสด็จพ่อจับได้เล่า”

ถึงแม้ว่าเขาจะชอบมันมากก็ตาม แต่ก็ไม่อาจทนยอมให้น้องสาวตกที่นั่งลำบากได้

หนานกงฉีหลิงจึงจำต้องกัดฟันทน ก่อนจะตัดสินใจพาน้องสาวไปสารภาพผิด และยอมรับโทษทั้งหมดด้วยตัวเอง

เสี่ยวเป่าคว้ามือของเขา “ไม่ต้องไปหรอกเพคะ ท่านพ่อทรงทราบแน่นอน ตอนข้าไป ‘ลัก’ มา ขันทีฝูไห่ก็อยู่ที่นั่นเพคะ”

หนานกงฉีหลิง :…เช่นนั้นแล้วมันจะต่างอะไรกับเจ้าทำมันใต้จมูกของเสด็จพ่อเล่า

อา มีความแตกต่างอยู่นะ หากเขาไปสารภาพย่อมโดนท่านพ่อทุบตีอย่างหนักจนเสด็จแม่จำเขาไม่ได้เป็นแน่ แต่กับเสี่ยวเป่านั้นแตกต่างกัน หากนางไปสารภาพผิด เสด็จพ่อก็จะทำท่าทีเมินเฉยราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น

ทั่วท้องพระโรงต่างทราบถึงความสองมาตรฐานนี้เป็นอย่างดี!

หนานกงฉีหลิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “ได้ เช่นนั้นพวกเราจะไม่บอกเขา!”

หนานกงฉีหลิงแอบก่อกบฏในตอนนี้

เมื่อนึกถึงดาบอันล้ำค่าของตนเอง หนานกงฉีหลิงก็มีความสุข เขารู้สึกดีมากขึ้น หลังจากนั้นจึงพาน้องสาวไปขี่ม้า

วันนี้อากาศไม่เลว เหมาะแก่การขี่ม้าเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเขาอารมณ์ดีขึ้นแล้ว จึงไปหาพวกพี่น้องของตน

หลังจากทุกคนได้ยินสิ่งที่เขาเสนอ ทุกคนยกเว้นองค์ชายใหญ่ที่งานยุ่ง ต่างเห็นด้วย แม้แต่องค์ชายสามเองก็มีเวลาพักผ่อน

พวกน้อง ๆ ต่างก็เห็นอกเห็นใจพี่ชายคนโตของพวกเขา

“พวกเราเข้าไปในป่ากันเถอะ ไปดูกันว่าจะนำของดีอะไรกลับมาให้พี่ใหญ่ได้บ้าง”

หลังจากนั้นพวกพี่น้องที่มีความสุขก็ทอดทิ้งหนานกงฉีซิว แล้วควบม้าออกไป

เสี่ยวเป่าดีใจมากที่ได้ขี่ม้ากับพี่ห้า

ในขณะเดียวกันเยว่หลี ก็วิ่งควบม้าสีขาวตัวเล็กของตนเข้ามา “เสี่ยวเป่า ม้าของข้าสวยมากนะ เจ้ามานั่งตัวนี้สิ”

ช่างเป็นการลักพาตัวเด็กน้อยอย่างเปิดเผยเสียจริง

สีหน้าของหนานกงฉีหลิงทะมึนลงทันที “ข้ายังอยู่ตรงนี้นะ”

เยว่หลีตอบกลับไปด้วยท่าทีไม่จริงจัง “ข้าเห็นแล้ว”

แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการที่เขาจะพาตัวเสี่ยวเป่าไปหรือ เขาไม่ได้เชื้อเชิญหนานกงฉีหลิงให้ไปนั่งบนหลังม้าของตนเสียหน่อย

เสี่ยวเป่า “ข้าไปไม่ได้หรอก….”

จู่ ๆ เสี่ยวเป่าก็นึกบางสิ่งได้ว่า แถวนี้มีรังผึ้งน้ำหวานอยู่

“อ้อ ข้ารู้ว่าที่ไหนมีน้ำผึ้ง”

เสี่ยวเป่ารีบวางมือลงบนฝ่ามือของเขาทันที “ไป พวกเราไปเก็บรวงผึ้งกัน”

แม้หนานกงฉีหลิงจะรู้ว่าพวกเขาทั้งสองเข้าใกล้รังผึ้งได้โดยไม่ต้องสวมชุดป้องกันแต่อย่างใด เพราะอย่างไรเสียก็ไม่มีทางโดนผึ้งต่อยเป็นแน่แท้ ช่างลำพองตัวยิ่ง

หนานกงฉีหลิง “…”

น่าหงุดหงิดนัก!

“อ๊ะ… ฝ่าบาททรงมาทำอะไรที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” เยว่หลีมองเลยไปด้านหลังของหนานกงฉีหลิง

หลังจากได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนรวมถึงเสี่ยวเป่าต่างพากันหันหลังเหลียวมองทันที

ในตอนนั้นเอง เยว่หลีก็ได้พาใครบางคนขึ้นนั่งบนหลังม้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจึงควบม้าหนีไป

ทุกคนที่รู้ตัวว่าโดนหลอก “…”

“เยว่! หลี!”

หลังจากที่หนานกงฉีหลิงกัดฟันพลางเอ่ยตะโกนสองคำนี้ เขาก็ควบม้าไล่ล่าด้วยความโกรธ

“ช่างกล้านักนะ นำเสด็จพ่อมาแอบอ้างหลอกพวกข้า!”

“ตามไปเร็ว”

“เยว่หลี เจ้าช่างไร้ยางอาย เอาน้องหญิงคืนมาเดี๋ยวนี้!”

“เยว่หลี เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”

เยว่หลีไม่เพียงไม่หยุดเท่านั้น แต่กลับหันไปทำหน้าล้อเลียนใส่พวกเขาด้วย

“นี่เรียกว่า ศึกไม่หน่ายเล่ห์*[3] เป็นสิ่งที่พี่ใหญ่ของพวกเจ้าสั่งสอนข้ามา~”

เขาเอ่ยตะโกนขึ้นท่ามกลางสายลมพัดผ่าน ทำเอาเหล่าพี่ชายเริ่มรู้สึกมีน้ำโหมากยิ่งขึ้น

เช่นนี้แล้วพวกเขาต้องสรรเสริญความสามารถในการเรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้ของเขาหรือไม่!

คนที่มีความสุขที่สุดคือเสี่ยวเป่า ถึงอย่างไร สำหรับสาวน้อยขาสั้นอย่างนาง ไม่ว่าใครจะพานางขึ้นขี่ม้าก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ความรู้สึกที่ได้วิ่งหนีเช่นนี้กลับทำให้รู้สึกมีความสุขมาก!

[1] ศาสตร์ทั้งหกของบุรุษ คือ วิชาความรู้สำหรับบุรุษ ได้แก่ มารยาทพิธี คีตดนตรี ยิงธนู ขับรถม้า อักขรวิธี และคณิตศาสตร์คำนวณ

[2] อาวุธเย็น คือ อาวุธที่ไม่เกี่ยวข้องกับไฟหรือการระเบิด

[3] ศึกไม่หน่ายเล่ห์ หมายถึง การทำศึกสงครามย่อมต้องใช้กลอุบายหลอกอีกฝ่ายหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นอุบายร้ายกาจก็ต้องทำ เพราะหากเราไม่หลอกเขา เขานั่นแหละจะหลอกเรา ฉะนั้นใครหลอกอีกฝ่ายหนึ่งได้มากกว่า ย่อมเป็นผู้ชนะ