บทที่ 384 อาณาจักรเล็กไปแล้ว

บทที่ 384 อาณาจักรเล็กไปแล้ว

เยว่หลีและเหล่าพี่ชายของเสี่ยวเป่าวิ่งไล่ตามกัน พลางก่นด่าอย่างบ้าคลั่ง

พวกเขาขี่ม้าข้ามทุ่งหญ้าที่แห้งแล้ง ยามเมื่อเหนื่อยก็หยุดพักนั่งลงบนโขดหินโดยมีสายลมพัดผ่าน

ลมโชยผ่านไปมาทำให้ไม่รู้สึกร้อนหรือหนาวจนเกินไป แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจขึ้นมาแทน

เมื่อมองลงมาจากยอดเขา พวกเขาก็สามารถมองเห็นกลุ่มควันเล็ก ๆ ที่ลอยขึ้นมาจากบริเวณหมู่บ้านตรงแถบเชิงเขา

“พวกเขาเพิ่งเริ่มทำอาหารอย่างนั้นหรือ”

“ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องทำนาจึงยุ่งกันมาก ถึงแม้ว่าจะเก็บเกี่ยวพวกข้าวเปลือกและข้าวสาลีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่นอกเหนือจากนั้นพวกเขาก็ต้องเก็บฟางด้วย…”

เนื่องจากหนานกงฉีอวิ๋นเคยเสด็จไปยังแถบชนบทด้วยตนเอง จึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมพวกนั้นมากยิ่งขึ้น

“เมื่อยุ่งกันมาก เวลากินข้าวก็จะยิ่งช้าลงไปด้วย ยกเว้นตอนช่วงฤดูหนาวที่อากาศเย็นจัดจนไม่สามารถก้าวออกจากประตูบ้านได้ เวลาอื่นนอกเหนือจากนั้น พวกเขาก็ไม่ว่างกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีช่วงพักในการเก็บเกี่ยว แต่ก็ยังต้องจัดเตรียมหาฟืนเพื่อเอาไว้ใช้ยามเข้าฤดูหนาว….”

เขาเล่าถึงสิ่งที่ได้ไปเห็นด้วยตาตนเอง สิ่งที่เคยได้ยินและได้พบเจอกับตนเอง

ทุกคนเองก็ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ

เดิมทีพี่สามเป็นคนที่พูดจาน้อยมาก ทำให้ทุกคนต่างพากันทุกข์ใจ ไม่เคยเห็นเขาพูดคุยมากมายดังเช่นวันนี้มาก่อน

ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปมาก กลายเป็นคนมีความมั่นใจ พูดจาฉะฉาน เมื่อยามที่เขาพูดทุกคนจะพากันตั้งใจฟัง

“ชีวิตของพวกชาวบ้านน่าสงสารถึงเพียงนี้เลยหรือ”

พวกเขาเคยได้ลองสัมผัสการทำการเกษตรที่นาหลวง ทว่าเป็นเพียงแค่เป็นการปลูกต้นข้าวภายใต้คำสั่งของเสด็จพ่อเท่านั้น หลังจากเกี่ยวข้าวได้เพียงแค่สองวันก็รู้สึกเหนื่อยมากจนสายตัวแทบขาด ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผู้คนภายนอกจะใช้ชีวิตกันเช่นนี้

และสิ่งที่พี่สามเอ่ย พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลย อีกทั้งยังไม่เคยพบเจอด้วยตัวเองเลยสักครั้ง

“พวกเราไปทำการเกษตรที่นาหลวงเพียงสองวันก็เหนื่อยจนแทบทนไม่ไหวแล้ว เหตุใดพวกเขาจึงทำงานกันอย่างหนักเช่นนั้นได้ทุกวี่ทุกวัน”

“เช่นนั้นพวกเราไม่อยากลองทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นเสียหน่อยเล่า”

“ใต้หล้ามีผู้คนมหาศาลนัก เสด็จพ่อเองก็พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว”

“ปีนี้การเก็บเกี่ยวดีมาก มีปุ๋ย มีเมล็ดพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีมันเทศพวกนั้นด้วย ราษฎรอาจไม่ต้องทนหิวโหยอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่”

หนานกงฉีหลิงนึกถึงความปรารถนาของท่านแม่ทัพ “ไม่เพียงแค่อยู่ดีกินดีอย่างไม่หิวโหยเท่านั้น แต่ข้ายังต้องทำให้อาณาจักรต้าเซี่ยของพวกเราไร้การรุกราน ต้องขับไล่ผู้ที่บุกรุกดินแดนอาณาจักรต้าเซี่ยออกไป!”

เสี่ยวเป่ากำลังเคี้ยวบางอย่างตุ่ย ๆ แต่ก็ไม่อาจทำให้นางหยุดพูดได้ “พี่ห้า อาณาเขตของพี่ค่อนข้างเล็กนะเพคะ ไม่เพียงแต่พวกเราจะต้องสู้กลับเท่านั้น แต่ยังต้องขยายดินแดนด้วยเพคะ”

ยามเมื่อเจ้าภูตพฤกษาตัวน้อยเข้าไปยังโลกมนุษย์ ก็ได้เข้าไปในโรงเรียนของมนุษย์ด้วย หลังจากนั้นคำบ่นที่เคยได้ยินมากที่สุดก็คือ หากบรรพบุรุษคนที่ชื่อว่าจิ๋นซีฮ่องเต้อายุยืนยาวกว่าเดิมเสียหน่อย หากได้พิชิตตะวันตก ณ ตอนนี้พวกเราคงไม่ต้องมานั่งท่องภาษาอังกฤษกันแล้ว

เฮ้อ… ไม่รู้ว่าท่านพ่อและพวกท่านพี่จะสามารถช่วยเหลือคนรุ่นต่อไปจนเป็นที่จดจำจารึกไว้ในโลกได้หรือไม่

เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงนึกถึงยามเมื่ออยู่กับท่านพ่อ แล้วนำคำพูดอันแสนทรงอำนาจของจักรพรรดิที่อยู่ในตำราประวัติศาสตร์นั้น นำมาใช้พูดให้เป็นที่ประจักษ์เสียหน่อย

“ดังที่จักรพรรดิฮั่นอู่ได้เคยกล่าวว่า ผู้ใดที่รุกรานผู้แข็งแกร่งย่อมโดนโทษทัณฑ์เสมอไม่ว่าจะห่างไกลเพียงใด แสงจันทราสาดส่องทั่วถึง สายน้ำไหลเข้าหา ทุกที่ทั่วทั้งแผ่นดินล้วนเป็นชาวฮั่น”

เมื่อหลายคนได้ฟังเช่นนั้น แววตาก็เปล่งประกายขึ้นทันที

ถ้อยคำเพียงสั้น ๆ แต่กลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันแสนทะเยอทะยาน

แต่ผู้ใดกันเล่าที่จะไร้ซึ่งความพยายาม ผู้ใดบ้างจะไม่อยากให้อาณาจักรของตนแข็งแกร่ง

หนานกงฉีหลิง “ยามข้าไปที่สนามรบ กองทัพต้าเซี่ยปรากฏตัว ศัตรูล้วนหวาดกลัว ปลายดาบชี้นำไป ร่างม้วยมรณากลายเป็นผืนดินให้กับแผ่นดินต้าเซี่ย”

ณ ตอนนี้ หนานกงฉีหลิงยังได้ตั้งปณิธานอันแน่วแน่ของตนเองด้วยซ้ำ เขาไม่ได้สนใจอยากจะหวังเป็นฮ่องเต้ แต่เขาอยากทำให้อาณาจักรต้าเซี่ยยิ่งใหญ่เกรียงไกร จะทำให้ทุกชนชาติต่างต้องก้มหัวสวามิภักดิ์

หลังจากนั้นจึงให้พี่ใหญ่ปกครองแผ่นดินที่ยึดมา หึ ๆ…

เขาเป็นคนหลักแหลม พิชิตแผ่นดินได้โดยง่าย อีกทั้งยังน่าเกรงขามและทรงสง่า บริหารแผ่นดิน…

ลืมซะเถอะ แค่มองพี่ใหญ่ก็เหนื่อยแล้ว

“ข้าด้วย”

องค์ชายสี่ หนานกงฉีอิงเอ่ยขึ้น “เอาชนะหมาป่าด้วยการตอบโต้กลับ”

เมื่อได้ไปเห็นความโหดร้ายในสงคราม ทหารของฝั่งหนานจ้าวต่างพากันสังหารราษฎรในอาณาจักรต้าเซี่ยของพวกเขา หนานกงฉีอิงจึงคาดหวังว่า อาณาจักรต้าเซี่ยของพวกเขาจะต้องแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม

หนานกงฉีหลิง “หลังจากนั้น พวกเราจะมอบดินแดนที่พิชิตได้ให้พี่ใหญ่ได้ปกครอง”

หนานกงฉีอิงเห็นด้วยอย่างไม่ต้องนึกคิดให้มากความ “ใช่!”

หนานกงฉีเฉิน “…พวกเจ้าได้ถามความเห็นของพี่ใหญ่แล้วหรือ”

หนานกงฉีหลิงยกมือขึ้นโบก “สิ่งนั้นไม่สำคัญ”

ถึงอย่างไรพี่ใหญ่ก็คือรัชทายาท ไม่สามารถละทิ้งภาระหน้าที่ของตนได้

หนานกงฉีซิว :…

“เช่นนั้นหากรบเสร็จแล้วจะทำเช่นไร”

เสี่ยวเป่า “การรบนั้นจะไม่สิ้นสุดลงหรอก ยังคงมีอีกหลายอาณาจักรในต่างแดน และเป็นดินแดนที่ใหญ่มากด้วย”

“สามารถเทียบเท่าจงหยวนได้หรือไม่”

เสี่ยวเป่าพยักหน้า “ใกล้เคียงเพคะ”

นางวาดภาพลงบนพื้น แต่ภาพแผนที่โลกที่นางจดจำเอาไว้ในหัวน้อย ๆ นั้น ช่างเลือนรางนัก จึงวาดออกมาได้เพียงโครงร่าง จากนั้นจึงชี้ไปยังแผนที่แล้วให้บรรดาพี่ชายดู

“พวกเราอาศัยอยู่กันตรงนี้ ส่วนภายนอกมีอาณาจักรอื่น ๆ ต่างแดนตั้งอยู่อีกมากมาย”

“เยอะมากเสียจริง”

หนานกงฉีหลิงลูบมือของตน ถึงแม้จะรู้สึกหวาดกลัวแต่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นด้วย จึงเอ่ยขึ้นว่า “ยอดเยี่ยมมาก!”

หนานกงฉีเฉิน “เสี่ยวเป่า เจ้ารู้ได้อย่างไรหรือ”

เสี่ยวเป่า “…”

ตายแล้ว พูดมากเกินไปจนโดนจับได้เสียแล้ว!

“ข้า…”

“รู้มาจากเสด็จพ่ออีกแล้วอย่างนั้นใช่หรือไม่”

ก่อนที่เสี่ยวเป่าจะคิดหาข้อแก้ตัวได้ หนานกงฉีหลิงก็หาข้อแก้ตัวที่ดีให้กับนางแล้ว

แล้วนางจะโต้ตอบอย่างไรได้เล่า นางจึงทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น

“ฮัดชิ่ว…”

ภายในพระตำหนัก วันนี้หนานกงสือเยวียนจามอยู่หลายครั้งด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์

“ฝ่าบาททรงประชวรหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะตามหมอหลวงให้เข้ามาตรวจดูพระอาการ”

หนานกงสือเยวียนยกมือโบกขึ้น “ไม่ต้อง”

เขารู้ตนเองดีว่าไม่ได้ป่วยแต่อย่างใด ดูเหมือนมีใครกำลังนินทาลับหลังอยู่มากกว่า

ผู้ใดนินทาเขากัน

ไม่แน่อาจเป็นหนึ่งในรายชื่อของฮ่องเต้ที่เขาคัดลอกเอาไว้ก็เป็นได้