บทที่ 385 ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 385 ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง

บทที่ 385 ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง

ภายใต้การนำทางของเยว่หลี ในที่สุดพวกเขาก็พบเข้ากับรังผึ้งป่าจริง ๆ

คนอื่น ๆ หนีไปซ่อนตัวอยู่ไกลลิบ มีเพียงเสี่ยวเป่าและเยว่หลีที่เข้าไปเก็บน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งป่ามีคุณค่าทางสารอาหารอย่างยิ่ง และที่สำคัญมีรสหวานมาก เหมาะกับการนำไปต้มเป็นน้ำเชื่อมหรือทำขนม ทั้งยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย

ทั้งสองมิได้เก็บน้ำผึ้งไปเยอะนัก เอาแค่ขวดโหลเล็ก ๆ หนึ่งขวด

หลังจากเก็บน้ำผึ้งเสร็จแล้ว พวกเขาก็พบกับของดีมากมายบนภูเขา พวกท่านพี่ยังล่าไก่ฟ้าและกระต่ายป่ามาได้อีกด้วย

ขณะที่ลงจากภูเขา พวกเขาก็เห็นหนูตัวใหญ่ยักษ์วิ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว

“หนูตัวใหญ่ขนาดนี้เชียว”

“ตรงนั้นมีคน เหมือนว่าจะเป็นพวกเด็ก ๆ”

“เด็กพวกนั้นทำอะไรกันอยู่น่ะ”

“ไป ๆ ๆ เข้าไปดูกันเถอะ”

ที่แท้เด็กน้อยสี่คนก็กำลังขุดรูหนูอยู่กลางทุ่งนา

เมื่อขุดรูหนูขึ้นมาแล้วก็พบว่ามีอาหารซ่อนอยู่ข้างในไม่น้อย

“เจอแล้ว ๆ ในรูหนูมีอาหารอยู่เต็มไปหมดเลย”

เด็กตัวผอมแห้งทั้งยังเท้าเปล่าสี่คนส่งเสียงร้องดีใจ แต่ว่าสายตาของพวกเด็ก ๆ ก็ระวังตัวขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าเสี่ยวเป่าและคนอื่น ๆ กำลังเดินตรงเข้ามา

“พวกเจ้าเป็นใคร”

ทว่าเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่รวมถึงไก่ฟ้าและกระต่ายป่าที่อยู่ในมือ สายตาระแวดระวังก็ดูผ่อนคลายลง

อย่างไรเสียพวกเขาก็มีเนื้อให้กิน คงจะไม่อยากได้อาหารที่พวกตนเจอในรูหนูเป็นแน่

พวกเด็ก ๆ อดไม่ได้ที่จะมองเนื้อในมือของพวกเขาด้วยสายตาอิจฉา บรรดาเด็กน้อยที่ไม่ได้กินเนื้อมานานหลายปีลอบกลืนน้ำลายอย่างหิวโหย

“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่หรือ”

หนานกงฉีจวินถามอย่างสงสัย

“พวกข้ากำลังขุดรูหนู ในนี้มีอาหารเยอะแยะเลยล่ะ”

เด็กผู้หญิงที่ดูโตสุดลุกขึ้นพูด พลางแอบมองพวกเขาด้วยสายตาอิจฉา แต่ก็เบือนหน้าไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว

คนพวกนี้แต่งตัวดี ทั้งยังมีม้าตัวใหญ่ ต้องเป็นพวกคนสูงศักดิ์ที่ท่านแม่พูดถึงเป็นแน่

“เหตุใดถึงต้องไปหาอาหารในรูหนูด้วยเล่า”

“อาหารที่บ้านไม่พอกิน พวกเราก็เลยต้องประหยัดน่ะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น หนานกงฉีอวิ๋นและคนอื่น ๆ ก็ขมวดคิ้ว “จะเป็นไปได้อย่างไร เพิ่งจะเก็บเกี่ยวผลผลิตไปมิใช่หรือ”

อาจเพราะท่าทีที่อ่อนโยนและดูใจดีของพวกเขา พวกเด็ก ๆ จึงพากันร้องโอดครวญ

“ครอบครัวพวกเราไม่ได้มีที่นามากขนาดนั้น จ่ายภาษีไปก็เหลือไม่เท่าไร ไม่พอกินทั้งครอบครัวหรอก”

“ปีนี้ถือว่ายังดีหน่อย แต่พอจ่ายภาษีผลผลิตทางการเกษตรไปแล้วก็ยังไม่พอกินทั้งปีอยู่ดี พวกเราก็เลยต้องหาอาหารเพิ่มไว้กินในฤดูหนาว”

พอได้ฟังดังนั้น สีหน้าของใครหลายคนก็ดูซับซ้อน ที่แท้… ก็เป็นเพราะอาหารไม่พอกินถึงได้มาแย่งอาหารของหนูนี่เอง

“รูหนูนี้มีอาหารเยอะแยะเลยนะ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ พวก ๆ เด็กก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

หนานกงฉีอวิ๋นและคนอื่น ๆ เดินเข้าไปดูก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริง

“หนูตัวนี้ขโมยอาหารมาเยอะเลยนะเนี่ย”

พืชพันธ์ุธัญญาหารที่ชาวบ้านปลูกอย่างยากลำบาก สุดท้ายกลับเลี้ยงหนูจนตัวอวบอ้วน คิดแล้วก็น่าโมโหยิ่งนัก

“พวกเจ้าขุดต่อเถอะ ไก่กับกระต่ายตัวนี้ข้าให้พวกเจ้า พวกเจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านให้พวกข้าฟังทีสิ ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทน”

หนานกงฉีอวิ๋นยื่นไก่ฟ้ากับกระต่ายป่าไปให้พวกเด็ก ๆ เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องรู้สึกผิดมากจนเกินไป จึงให้เล่าเรื่องให้ฟังเป็นการตอบแทน

เด็ก ๆ รับไก่และกระต่ายด้วยสายตาเป็นประกาย ทั้งยังไม่เต็มใจที่จะส่งคืน อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ได้กินเนื้อมานานมากแล้ว

แม้แต่ท่านแม่ที่ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยแต่กลับมิเคยได้กินเนื้อสักคำ พวกเขากลัวว่าท่านแม่จะโหมงานหนักจนร่างกายทรุดโทรม ถึงตอนนั้นพวกเขาคงจะไม่เหลือทั้งพ่อและแม่

“ตกลง ข้าจะเล่าให้ฟัง…”

เรื่องเล่าล้วนแต่เป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว ตัวอย่างเช่น ไก่ถูกขโมยหรือไม่ก็ความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว

หลังจากที่เก็บอาหารในรูหนูมาเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของพวกเขาก็แย้มยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นก็ตามด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

“ถ้าหากเก็บภาษีพืชพันธ์ุน้อยกว่านี้ก็คงจะดี”

หนานกงฉีเฉินได้ยินดังนั้นก็นึกสงสัย “ภาษีผลผลิตทางการเกษตรก็เก็บน้อยอยู่แล้วมิใช่หรือ ที่ว่าการเก็บแค่สองส่วนเองนะ”

พวกเด็กที่รู้ความแล้วมีสีหน้าประหลาดใจ “ใครบอกว่าสองส่วน มิใช่ห้าหรือ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของหนานกงฉีอวิ๋นและคนอื่น ๆ พลันแข็งกร้าว

“เก็บห้าส่วนมาตลอดเลยหรือ”

พวกเด็ก ๆ พยักหน้า

“ไม่มีทาง!”

หนานกงฉีจวินมีสีหน้าตกตะลึง “แม้แต่ข้ายังรู้เลยว่าราชสำนักลดภาษีผลผลิตทางการเกษตรเหลือสองส่วน”

“จะเป็นไปได้อย่างไร!”

พวกเด็ก ๆ ก็มีสีหน้าตกตะลึงด้วยเช่นกัน “พวกเขาเก็บห้าส่วนมาตลอดเลยนะ”

“มิหนำซ้ำบางครั้งก็เก็บตั้งหกส่วน มีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดหรอก”

ฟังถึงตรงนี้แล้วพวกเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าขุนนางระดับล่างพวกนั้นหน้าซื่อใจคด!

ราชสำนักเรียกเก็บภาษีเพียงแค่สองส่วน พวกเขากลับโลภมากขึ้นภาษีเป็นห้าส่วน กล้าดีอย่างไร!

ทันใดนั้น ทุก ๆ คนไม่เว้นแม้แต่เสี่ยวเป่าก็โกรธตาลุกเป็นไฟ

พวกเขานึกถึงหนูที่เป็นจอมโจรขโมยอาหาร นี่มันหายนะชัด ๆ!

“อย่าบอกนะว่า… สองส่วน”

ในที่สุดเด็กสาวที่อายุเยอะสุดก็รู้สึกตัว นางมองพวกเสี่ยวเป่าด้วยใบหน้าซีดเซียวทว่าเต็มไปด้วยความหวัง

“เช่นนั้นปีที่แล้วเก็บเท่าใดหรือ”

“ปีที่แล้วสามส่วน”

บัดนี้บรรดาพวกเด็ก ๆ ก็ตระหนักบางสิ่งขึ้นได้ จากนั้นเด็กสาวคนโตก็ร้องไห้โฮ

“ถ้าหาก ถ้าหากปีที่แล้วเก็บแค่สามส่วน ท่านพ่อก็คงไม่ต้องขึ้นเขาไปหาอาหาร”

“หากไม่ขึ้นเขา ท่านพ่อก็ไม่ต้องถูกหมูป่าทำร้ายจนตาย พวกเราก็ไม่ต้องกำพร้าพ่อ ฮือ ๆ ๆ…”

“ท่านพ่อไม่อยู่แล้ว ทุกคนก็เลยรังแกพวกเรา ไล่ท่านแม่กับพวกเราออกจากบ้าน แล้วยังยึดที่นาของท่านพ่อไปอีก”

ทันใดนั้นเด็กทั้งสี่ก็กอดคอกันร้องไห้ด้วยความโกรธแค้น หากคนพวกนั้นไม่เก็บภาษีเพิ่ม ครอบครัวพวกเขาก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้ และท่านพ่อก็ยังจะอยู่

เมื่อได้เห็นพวกเขาในตอนนี้ เสี่ยวเป่าและเหล่าพี่ชายก็รู้สึกโกรธแค้นตามไปด้วย

โดยเฉพาะหนานกงฉีหลิงผู้มีอารมณ์ร้อนกว่าใคร “ไอ้พวกขุนนางคดโกง ข้าไม่ปล่อยพวกมันไว้แน่!”

“ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก แล้วยังยึดที่นาของพวกเจ้าอีก! นี่มันผิดกฎหมายชัด ๆ!”

คนอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเผชิญกับหายนะที่พวกขุนนางทุจริตเป็นผู้ก่อขึ้น อยากจับขุนนางหน้าซื่อใจคดพวกนั้นมาลงโทษเสียเดี๋ยวนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

“พวกเจ้า พวกเจ้าสามารถจับคนเลวพวกนั้นได้หรือไม่”

เมื่อนึกถึงภาษีที่จะถูกเรียกเก็บในไม่ช้า เด็กทั้งสี่ก็มองหน้าพวกเขาอย่างมีความหวัง

หนานกงฉีอวิ๋นแสดงความมั่นใจแก่พวกเขา “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พอกลับไปแล้ว ห้ามใครพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เด็ดขาด อีกนานแค่ไหนกว่าหมู่บ้านของพวกเจ้าจะต้องจ่ายผลผลิต”

“อีกไม่กี่วันก็ต้องจ่ายแล้ว”

“พวกเจ้ามาจากไหน”

“หมู่บ้านจ่าวจือโกวในอำเภอเจ๋ออวิ๋น ค่อนข้างไกลจากที่นี่ แต่ว่าอาหารแถวหมู่บ้านหาไปหมดแล้ว พวกเราตามท่านแม่มาเยี่ยมญาติ ก็เลยมาหาว่าแถวนี้มีของกินหรือไม่ จนมาเจอที่นี่”

“ดี พวกข้าจะจำไว้ รีบเอาไก่กับกระต่ายกลับไปเถอะ ระวังตัวด้วยล่ะ”

เสี่ยวเป่าเปิดกระเป๋าของตัวเอง และเอาของกินทั้งหมดที่เก็บเอาไว้ออกมาให้พวกเขา

“พวกเจ้าเอาไว้กินนะ”

“ขอบคุณ ขอบคุณมาก ขอบคุณพวกท่านจริง ๆ”

พวกเขาพูดขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความดีใจ ถ้าหาก… ถ้าหากปีนี้จ่ายภาษีแค่สองส่วนจริง ๆ เช่นนั้นอย่างน้อย ๆ พวกเขาก็จะไม่ต้องอยู่อย่างอดยากในฤดูหนาว

เมื่อนึกถึงพวกคนเลวในหมู่บ้านที่รังแกครอบครัวของตน นัยน์ตาของพวกเด็ก ๆ ก็ฉายแววโกรธแค้น

หากว่าท่านพ่อยังอยู่ พวกเขาและท่านแม่ก็คงไม่ถูกรังแกจนที่นาเหลือแค่สองหมู่จากห้าหมู่ ดูจากผลผลิตที่ได้ในปีนี้แล้ว พวกเขาไม่มีทางอดอยากอย่างแน่นอน!

ขณะมองดูสี่พี่น้องที่ช่วยประคับประคองกันและกันเดินจากไป จิตใจอันเบิกบานที่ได้ออกมาขี่ม้าเล่นของพวกเขาก็พลันหายวับไปในทันที

“ไปกันเถอะ กลับไปรายงานเสด็จพ่อ ให้เขาตรวจสอบเรื่องนี้ดูสักหน่อย”