บทที่ 386 โทสะ

บทที่ 386 โทสะ

บัดนี้พวกเขาไม่มีอารมณ์เที่ยวเล่นอีกต่อไป สิ่งแรกที่ทำเมื่อกลับมาถึงพระราชวังฤดูร้อน คือบอกเรื่องภาษีผลผลิตทางการเกษตรให้หนานกงสือเยวียนทราบ

หนานกงฉีซิวก็อยู่ด้วยเช่นกัน หลังจากที่ได้ฟังแล้ว สีหน้าของสองพ่อลูกก็เปลี่ยนไปในทันที

ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนของหนานกงฉีซิวแลดูน่ากลัว ส่วนสีหน้าของหนานกงสือเยวียนนั้นก็เคร่งขรึมยิ่งกว่าเก่า นัยน์ตาสีดำลุ่มลึกน่าหวาดหวั่น

“อั้นอี”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ไปสืบมา”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ในฐานะฮ่องเต้ การทุจริตโดยสวมเขาให้ราชสำนักและข่มเหงราษฎรเช่นนี้เป็นเรื่องที่ทนไม่ได้อย่างถึงที่สุด

พวกเขามิได้ป่าวประกาศเรื่องเดินทางมายังนาหลวง ด้วยเหตุนี้นอกจากขุนนางในราชสำนักแล้ว บรรดานายอำเภอและขุนนางท้องถิ่นต่างก็ไม่รู้เรื่องนี้

แต่ต่อให้รู้ กระเพาะที่ขยายจนใหญ่โตเช่นพวกเขาย่อมไม่ทางเรียกเก็บผลผลิตน้อยลงแน่ เพราะถึงอย่างไรมันก็เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่ได้รับ

อย่างมากก็แค่ระมัดระวังตัวให้มากขึ้นเท่านั้น

อีกอย่างพวกเขาย่อมคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะเสด็จมาถึงบ้านนอกแสนห่างไกลเพื่อตรวจดูความเป็นอยู่ของราษฎรด้วยพระองค์เอง ดังนั้นหากพิจารณาแล้ว พวกเขาก็คงจะก่อการทุจริตภายใต้จมูกของฮ่องเต้ต่อไปอย่างใจกล้าอยู่ดี

แต่คงคาดไม่ถึงว่าเรื่องจะถูกเปิดโปงเพียงเพราะว่าองค์ชายและองค์หญิงไม่กี่คนดันไปพบเด็กชาวบ้านเข้าโดยบังเอิญ

สามวันหลังจากนั้น ในที่สุดก็สืบได้เรื่อง

เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ มีการเรียกเก็บผลผลิตทางการเกษตรเกินกว่าที่กำหนดเกิดขึ้นในหลายอำเภอ

หลังจากที่ได้อ่านข้อความในจดหมายลับ หนานกงสือเยวียนก็ทุบโต๊ะเสียงดัง ใบหน้ามืดขรึมราวกับพายุกำลังจะมา

“เก่งไม่เบานี่”

“กลับวัง รัชทายาทรั้งอยู่ที่นี่และสืบต่อไป ข้าจะทิ้งทหารมือดีไว้ให้เจ้าสามพันนาย ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต้องถูกจัดการขั้นเด็ดขาด”

“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ!”

นัยน์ตาสุกใสของเขาปรากฏประกายแข็งกร้าว

“พี่ใหญ่ เสด็จพ่อ ข้าจะอยู่คุ้มกันพี่ใหญ่ที่นี่ด้วย”

หนานกงฉีหลิงลุกขึ้นยืน เขาหวังจะอยู่ข้างกายพี่ใหญ่มากกว่ากลับไปที่วังหลวง เมื่อถึงตอนนั้นจะต้องเกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอน เขาจำเป็นต้องอยู่เพื่อปกป้องพี่ใหญ่!

หนานกงฉีอิงลังเลก่อนจะลุกขึ้น “เสด็จพ่อ ลูกก็จะอยู่ที่นี่ด้วย”

หนานกงสือเยวียนเหลือบมองทั้งคู่ “ข้าอนุญาต”

“เสด็จพ่อ…”

“พวกเจ้ากลับไปกับข้า อย่าทำให้พี่ใหญ่ของพวกเจ้าต้องเสียงาน”

หนานกงสือเยวียนปฏิเสธทันทีราวกับรู้ว่าหนานกงฉีเฉินและคนอื่น ๆ จะพูดอะไร

บรรดาลูก ๆ ตัวน้อย “…”

พวกเขาไม่ยอมรับในเรื่องนี้ ใช่ว่าพวกเขาจะเป็นตัวถ่วงเสียหน่อย

แต่ถึงจะไม่ยินยอมก็ต้องกลับไปอยู่ดี

เสี่ยวเป่ารู้สึกกังวลเล็กน้อย ขณะที่นางคิดจะมอบตัวต่อของตัวเองให้กับพี่ใหญ่ ท่านพ่อก็พูดขึ้น

“ให้เยว่หลีไปกับเจ้าด้วย”

เยว่หลีที่กำลังกินโดยมิได้สนใจเลยสักนิด “???”

เหตุใดถึงมีชื่อของเขาด้วยล่ะนี่

เยว่หลีมองฮ่องเต้ด้วยสีหน้างุนงง จะให้เขาไปทำอะไรกัน

ทว่าหนานกงฉีซิวยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”

เยว่หลี “ไม่สิ…”

เขายังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะ!

สุดท้ายเยว่หลีก็อยู่ที่นี่ต่อเพราะรัชทายาทบอกว่าหลังจากที่จบเรื่องนี้แล้วเขาจะไม่ต้องไปเข้าเรียนเป็นเวลาหนึ่งเดือน!

เด็กชายเหลือบมองบรรดาคนที่ต้องไปสำนักศึกษาอย่างเย้ยหยัน

หลังจากที่พวกเขาไปแล้ว หนานกงฉีเฉินก็เกาหัวแกรก ๆ “ไม่ใช่สิ เดิมทีเยว่หลีก็ไม่ค่อยมีเวลาไปเรียนอยู่แล้ว เวลาส่วนใหญ่ก็อยู่แต่กับพี่ใหญ่มิใช่หรือ”

ดูเหมือนว่า… จะเป็นเช่นนั้นจริง

เช่นนั้นเยว่หลีก็โดนหลอกน่ะสิ

มิรู้จะเรียกว่าฉลาดหรือว่าซื่อบื้อดี

กว่าที่เยว่หลีจะรู้ตัว พวกเขาก็เดินทางมาถึงอำเภอเจ๋ออวิ๋นเสียแล้ว

เยว่หลี “…”

ข้านี่โง่จริง ๆ

เขามองหนานกงฉีซิวด้วยสายตาขุ่นเคือง “เจ้าหลอกข้า”

หนานกงฉีซิวหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นสีหน้าก็จริงจังขึ้นมา

“ข้าต้องการความสามารถของเจ้า”

ความสามารถที่ยากจะลืมของเขายังคงแจ่มชัด หากว่าปล่อยให้กลับไปเช่นนี้ก็คงจะน่าเสียดาย

เยว่หลีบ่นพึมพำ “เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ข้าเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกนะ”

“จบเรื่องนี้แล้วข้าจะให้เจ้าหยุดพักพาเสี่ยวเป่าออกไปเที่ยว”

“จริงหรือ เจ้าพูดแล้วนะ ใครโกหกคนนั้นเป็นหมา!”

หนานกงฉีซิว “…”

เจ้าเป็นเด็กหรืออย่างไร

ห้าวันต่อมา ณ พระราชวัง

หนานกงสือเยวียนออกว่าราชกิจทันทีที่กลับถึงวังหลวง

“ฝ่าบาท เหตุใดองค์รัชทายาทถึงไม่เข้าประชุมขุนนางหรือพ่ะย่ะค่ะ”

สีหน้าของหนานกงสือเยวียนเรียบเฉย “รัชทายาทอยู่ในระหว่างพักฟื้นจากอาการลมแดดตั้งแต่กลับมา ไม่สะดวกเข้าประชุมขุนนาง”

เรื่องอย่างการฉ้อราษฎร์บังหลวงท้ายที่สุดแล้วมักจะพัวพันกับคนจำนวนมาก หากไร้ผู้มีอำนาจคอยชักนำ ขุนนางระดับล่างย่อมไม่มีทางใจกล้าถึงเพียงนี้

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เรื่องที่รัชทายาทรั้งอยู่ที่นั่นเพื่อสืบข่าวจึงห้ามมิให้ผู้ใดล่วงรู้อย่างเด็ดขาด

ไม่มีใครสงสัยอะไรในเรื่องนี้ อย่างไรเสียผู้คนก็ยังมีภาพจำของหนานกงฉีซิวผู้อ่อนแอเพราะขาพิการ การเป็นลมแดดจึงมิใช่เรื่องแปลกอะไร

ขุนนางกลุ่มหนึ่งเริ่มรายงานงานของตน หนานกงหลีซึ่งกำลังแอบอู้หาวหวอดใหญ่ กลิ่นบางอย่างที่เขาซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อลอยโชยออกมา

ขุนนางที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “…”

เซียวเหยาอ๋อง!

เขาเอาของกินเข้ามาในการประชุมขุนนางด้วยหรือนี่ และที่น่าโมโหไปกว่านั้นก็คือพวกเขายังไม่ได้กินข้าวเช้า!

ให้ตายสิ การยืนข้างเซียวเหยาอ๋องมันช่างทรมานยิ่งนัก เดิมทีก็หิวจะแย่ ต้องมายืนข้าง ๆ เขาเช่นนี้ยิ่งหิวเข้าไปใหญ่ (T^T)

หนานกงหลียกแขนขึ้นพร้อมกับก้มหน้า แกล้งทำเป็นหาวแล้วยัดของกินเข้าปากอย่างแนบเนียน

ขุนนางที่กำลังดูเขาเคี้ยว “…”

สมกับเป็นเซียวเหยาอ๋อง!

หลังจากว่าราชกิจเช้าเสร็จ หนานกงหลีก็เดินตามหลังพี่ชายเพื่อไปหาเสี่ยวเป่า

เนื่องจากติดธุระ เขาจึงมิได้เดินทางไปที่พระราชวังฤดูร้อนในครั้งนี้ด้วย เขาคิดถึงหลานสาวตัวน้อยหลังจากไม่ได้เจอกันเสียนาน

“เสด็จพี่ เสี่ยวเป่าอยู่ไหนหรือ ข้ามีของมาให้นางเยอะแยะเลย”

พูดไปพลางก็หยิบของกินมากมายออกมาจากแขนเสื้ออันใหญ่โตด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

หนานกงสือเยวียนชายตามอง “เจ้าพกอาหารพวกนี้เข้าประชุมขุนนางหรือ”

หนานกงหลี “…ข้าก็เพิ่งเอาเข้าเป็นครั้งแรก ตั้งใจจะเอาไปให้เสี่ยวเป่า”

หนานกงสือเยวียนแค่นหัวเราะ “อย่างนั้นหรือ”

เซียวเหยาอ๋องพยักหน้าเร็วจี๋ “ใช่แล้ว ๆ เสด็จพี่เชื่อข้าเถอะ”

“อยู่ในสวนของนาง”

ขณะที่เซียวเหยาอ๋องกำลังจะไปหาเสี่ยวเป่า ทันใดนั้นก็หันกลับมา “จริงสิ ข้าควรไปเยี่ยมรัชทายาทเสียหน่อยหรือไม่”

หนานกงสือเยวียนชะงักไป “ไม่ต้อง รัชทายาทสบายดี เขายังไม่กลับมา”

ได้ยินดังนั้น หลายสิ่งหลายอย่างก็ผุดขึ้นในสมองของหนานกงหลี จากนั้นเขาก็โค้งคำนับด้วยใบหน้าจริงจัง

“ข้าเข้าใจแล้ว เป็นความลับ ท่านมิต้องเป็นห่วง ปากของน้องชายคนนี้เชื่อถือได้เป็นที่สุด ไม่มีทางเล็ดลอดออกไปอย่างแน่นอน”

หนานกงสือเยวียนเหลือบมองเขาก่อนจะจากไป

เขาเองก็มิได้สนใจอยู่แล้ว ไปเล่นกับหลานสาวตัวน้อยดีกว่า