บทที่ 276.1 แกะเข้าถ้ำเสือ (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 276 แกะเข้าถ้ำเสือ (1)
หลังจากแม่นมฝางทำกับข้าวมื้อเย็นให้เสร็จสรรพ ทุกคนจึงมารวมตัวกันที่ห้องกินข้าว

ส่วนกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นกินข้าวที่เรือนของอาจารย์หลู่และหนานเซียง

แม้หญิงชราจะไม่อยู่ แต่ยังมีท่านปู่อยู่ด้วย บรรยากาศบนโต๊ะทานข้าวจึงไม่แย่มากนัก

แต่ดูเหมือนตาข้างหนึ่งของท่านปู่เกิดบวมขึ้นอย่างน่าตกใจ ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่กล้าถามว่าเพราะอะไร

หลังจากกินข้าวเสร็จ กู้เจียวก็ช่วยแม่นมฝางเก็บล้าง ส่วนเสี่ยวจิ้งคงพาไก่ไปเดินเล่น ส่วนเซียวลิ่วหลังก็กลับไปง่วนกับคัมภีร์ที่เขาไม่เชื่อว่าเป็นของแคว้นเยี่ยนต่อ

ต่อให้มีคนช่วยแปล แต่ก็ไม่น่าจะง่ายขนาดนั้น

เมื่อชาติก่อนกู้เจียวเคยเรียนเลขตั้งแต่ระดับต้นไปจนถึงเลขระดับสูง ซึ่งก็ใช้เวลาทั้งหมดทั้งมวลสิบกว่าปี ด้วยความที่ทรัพยากรการเรียนหนังสือยุคปัจจุบันก้าวหน้าและทันสมัยกว่ายุคนี้หลายเท่า

ส่วนเซียวลิ่วหลังแทบไม่ได้แตะวิชาคำนวณระดับสูงเลยด้วยซ้ำ เพราะการสอบเข้าวังส่วนใหญ่ไม่ได้มีโจทย์คำนวณให้เขาทำ และนี่เป็นครั้งแรกที่บัณฑิตสายศิลป์อย่างเขาได้รู้จักกับคณิตศาสตร์ระดับสูง

กู้เจียวนึกในใจ สงสัยพรุ่งนี้ต้องซื้อถั่วสมองให้เขากินเสียแล้วสิ

จากนั้นทุกคนต่างก็ยุ่งง่วนเรื่องของตัวเองระหว่างที่รอกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นกลับมาที่เรือน

ปกติพวกเขามักจะกลับมาช่วงยามซวีไม่เกินนี้

แต่พอมาวันนี้ ใกล้พ้นช่วงยามซวีแล้ว เด็กๆ ยังไม่กลับมาเสียที แม่นางเหยาก็เริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้

ทุกครั้งที่ได้ยินสียงฝีเท้าจากข้างนอก นางก็จะรีบออกไปดู

แต่พอเห็นว่าไม่ใช่พวกเขา นางก็จะถอนหายใจเบาๆ

ครึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดเสียงรถม้าเข้าจอดหน้าเรือนก็ดังขึ้น

เสี่ยวจิ้งคงอาบน้ำเสร็จและกำลังเตรียมพักผ่อนอยู่บนเตียง พอได้ยินเสียงดังขึ้นจากหน้าเรือนก็รีบใส่รองเท้าแล้ววิ่งออกมา “ข้าเปิดประตูเอง ข้าเปิดประตูเอง!”

กลางคืนช่วงเดือนห้า อากาศเย็นเล็กน้อย

เสี่ยวจิ้งคงสวมชุดนอนบาง ก่อนจะเปิดประตูใหญ่ออก เงยหน้าขึ้น “เอ๋ ท่านพี่ใหญ่นี่นา”

เป็นกู้ฉังชิง

ด้านหลังกู้ฉังชิง มีรถม้าเคลื่อนผ่านไป ที่แท้ก็เป็นเสียงของรถม้าคันนั้นนี่เอง

ส่วนกู้ฉังชิงนั้นเดินทางมาด้วยการควบม้า พอเข้ามาในตรอก เขาก็ลงจากม้าแล้วค่อยๆ เดินจูงม้าเข้ามาแทน

กู้ฉังชิงพอเห็นเจ้าตัวเล็กออกมาต้อนรับ ก็พลันอารมณ์ดีขึ้นในทันใด พลางมองชุดนอนของเขา แล้วเอ่ยถาม “เตรียมจะนอนแล้วหรือ”

เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้า “อืม” ก่อนจะรีบส่ายหัว “ไม่สิ ข้ากำลังรอพี่เหยี่ยนและพี่เสี่ยวซุ่นกลับเรือนต่างหาก!”

กู้ฉังชิงมองไปทางปากตรอก ก่อนจะหันกลับมาถาม “ช่วงนี้พวกเขาเรียนหนังสือกันจนถึงดึกเลยหรือ”

เสี่ยวจิ้งคงส่ายหัว “ก็มีแค่วันนี้แหละที่ดึกกว่าวันไหนๆ!“

“กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นกลับมาแล้วหรือ” เป็นเสียงเอ่ยถามของแม่นางเหยาดังขึ้นมาจากในเรือน

เสี่ยวจิ้งคงส่ายหัวพลางหันไปตอบ “พี่ใหญ่มาหาน่ะ!”

แม่นางเหยามีท่าทีอ่อนโยนขึ้นกับกู้ฉังชิงหากเทียบกับเมื่อก่อน แม้พวกเขาจะไม่ได้มองว่าต่างฝ่ายมีสถานะเป็นแม่ลูกหรืออย่างไร แต่พวกเขาก็คุยกันเฉกเช่นคนคุ้นเคย

“เป็นห่วงอาเหยี่ยนรึ” กู้ฉังชิงเอ่ยถามแม่นางเหยา

พอเอ่ยถึงกู้เหยี่ยน ทั้งคู่ก็เริ่มมีหัวข้อสนทนาที่ตรงกัน แม่นางเหยาจึงเอ่ยตอบพลางถอนหายใจ “ใช่แล้ว เมื่อก่อนเขาไม่เคยกลับดึกขนาดนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงได้กลับช้า…วันนี้ฝนก็ไม่ได้ตกหนักนี่นา”

“เช่นนั้น เดี๋ยวข้าไปตามให้แล้วกัน” กู้ฉังชิงหยิบอุปกรณ์ล่าสัตว์วางไว้ที่โต๊ะหิน แล้วเอ่ยกับแม่นางเหยา

แม่นางเหยาทำท่าขอบคุณ ก่อนจะเอ่ยถาม “จะไม่รบกวนงานพรุ่งนี้ของเจ้า…”

“ไม่หรอก” กู้ฉังชิงเอ่ย

พอแม่นางเหยาเห็นว่าเขาตอบด้วยความชัดเจน จึงคิดว่าไม่น่าเป็นอะไร ก็เลยเกิดวางใจ “เช่นนั้นก็ได้”

“ข้าไปก่อนล่ะ” กู้ฉังชิงยังไม่ทันได้ทักทายน้องสาวและน้องเขยของตัวเอง ก็ต้องรีบจรลีไปก่อนเพื่อที่จะไปตามตัวกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่น

พอกู้เจียวเห็นว่าเซียวลิ่วหลังทำโจทย์ข้อแรกเสร็จ และเห็นว่าดึกมากแล้วจึงเดินออกมาจากห้อง แล้วไปพูดคุยกับแม่นางเหยาแทน “เหยี่ยนเอ๋อร์กับเสี่ยวซุ่นยังไม่กลับมาหรือ”

แม่นางเหยาตอบ “ชื่อจื่อไปตามให้อยู่น่ะ”

“เอ๋ กู้ฉังชิงมาที่นี่ด้วยรึ” กู้เจียวมองดูของที่เขาเพิ่งล่ามาได้ที่วางอยู่บนโต๊ะ และเห็นว่าเสี่ยวจิ้งคงกำลังซุกซนเปิดดูกระต่ายป่าและไก่ป่าต่างๆ

กู้เจียวจึงไปลากเจ้าตัวเล็กออกมา ก่อนจะพาไปล้างมือที่บ่อ แล้วส่งกลับเข้าห้องนอน “นอนเสียเถิด ไม่ต้องลงมาแล้ว”

“ก็ได้” เสี่ยวจิ้งคงยอมเชื่อฟังแต่โดยดี

“พวกเขายังไม่กลับมาอีกหรือ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถามขณะที่กู้เจียวเดินผ่านห้องหนังสือ

“ยังเลย ข้าขอออกไปดูหน่อย เจ้าอยู่เฝ้าเสี่ยวจิ้งคงดีๆ ล่ะ”

ปกติแทบจะไม่มีใครคุมเสี่ยวจิ้งคงได้เลย ตอนที่กู้เจียวไม่อยู่ เสี่ยวจิ้งคงมักจะซนเป็นพิเศษ

แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอกู้เจียวเพิ่งเดินออกไปไม่ทันไร เจ้าตัวเล็กก็ค่อยๆ ย่องออกมาจากห้อง

เซียวลิ่วหลังยืนดักเขาที่หน้าประตู

เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดอยู่พัก ก่อนจะทำหน้าเหยเกให้ดู “ข้าปวดฉี่”

สถานที่ที่กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นเรียนศิลปะงานฝีมืออยู่ทางตอนเหนือของเมือง ไม่ถือว่าเป็นพื้นที่ร่ำรวย แต่ก็ไม่ยากจนเช่นกัน เป็นสถานที่ที่มีทิวทัศน์สวยงาม ภูเขาและแม่น้ำที่สวยงาม

มีถนนสองสายจากตรอกปี้สุ่ยไปอีกฝั่งหนึ่งคือผ่านถนนฉางอันและไปที่ถนนไป๋สือถนนสายนี้เจริญกว่าและเป็นถนนที่กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นมักจะใช้อยู่เป็นประจำ

มีถนนอีกเส้นที่ตัดผ่านถนนเสวียนอู่และไปสิ้นสุดที่ถนนซ่างกวาน ยิ่งเดินคนก็ยิ่งน้อยลงและระยะทางก็ใกล้ขึ้น

ทั้งสองมักจะใช้ถนนสายนี้ตอนขาไป แต่พอเป็นขากลับพวกเขาไม่เลือกที่จะใช้ถนนเส้นนี้เพราะมันมืดเกินไปและกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ

แต่เพื่อความปลอดภัย ทั้งกู้เจียวและกู้ฉังชิงจึงได้ลองไปดูทั้งสองทาง

กู้ฉังชิงไปที่ถนนซ่างกวาน ส่วนกู้เจียวไปที่ถนนไป๋สือ

ในเวลานี้ กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นอยู่ที่ถนนไป๋สือจริงๆ สาเหตุที่ทำให้พวกเขาล่าช้าเป็นเพราะล้อรถม้าดันเกิดเสียกะทันหัน

บังเอิญมีโรงน้ำชาอยู่ใกล้ๆ หลิวเฉวียนจึงขอให้ทั้งสองนั่งในโรงน้ำชาสักพัก ส่วนเขาจะไปหาคนมาซ่อมรถม้า

ขณะทั้งสองนั่งอยู่ในโรงน้ำชาอย่างเบื่อหน่าย จู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นคนขายถังหูลู่ ทันใดนั้นพวกเขาก็นึกถึงเสี่ยวจิ้งคงและหญิงชรา เพราะสองคนนี้ชอบกินถังหูลู่จึงกะว่าจะซื้อไปฝาก

“แล้วพวกเราจะเอาไปให้ท่านย่าอย่างไร” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยถาม

“ก็เอาไปส่งให้เสียเลยสิ!” กู้เหยี่ยนเอ่ยตอบ

“อ๋อ” กู้เสี่ยวซุ่นมองว่าวิธีนี้เข้าท่า จึงซื้อถังหูลู่ไปจำนวนมาก “ท่านย่คงไม่ได้ออกมาบ่อยๆ ซื้อไปเยอะๆ หน่อย ให้นางกินวันละไม้”

กู้เหยี่ยนพยักหน้า ก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินออกมา

ในขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีโจรประหลาดวิ่งเข้ามาฉกกระเป๋าเงินของกู้เหยี่ยนไปต่อหน้าต่อตา

“ไอ้หยา! กระเป๋าเงินของข้า!”

ทั้งสองรีบทิ้งถังหูลู่แล้ววิ่งตามโจรไป

ตามไปสักพัก จู่ๆ โจรก็ถูกจับได้ เป็นชายร่างสูงใหญ่กำลังยืนเหยียบอยู่บนร่างโจรกระจอก ผู้คนที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างพากันปรบมือและเอ่ยชม

ทั้งสองวิ่งเข้าไปหยิบกระเป๋าเงินที่โจรขโมยไป และในตอนนั้นเองที่กู้เหยี่ยนสัมผัสได้ว่ามีใครกำลังมองมาที่เขาอยู่

พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นชายประหลาดผู้หนึ่งกำลังนั่งจ้องเขาลงมาจากชั้นสองของร้านน้ำชาบริเวณนั้น

ชายผู้นี้มีลักษณะเด็ดเดี่ยวและรูปร่างกำยำ และเอาแต่จ้องมาที่กู้เหยี่ยนอย่างไม่ละสายตา

เมื่อสบตากัน ชายแปลกหน้าก็ยกแก้วขึ้นและยิ้มให้กู้เหยี่ยน

กู้เหยี่ยนขมวดคิ้ว

เขาไม่ชอบท่าทีแบบนี้ เห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจชอบกล

“เจอแล้ว ไปกันเถอะ!” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ย

“อืม” กู้เหยี่ยนไม่ได้สนใจชายแปลกหน้าต่อ จากนั้นก็กลับไปที่ร้านน้ำชาเดิม แต่ดูเหมือนหลิวเฉวียนยังไม่กลับมา

ขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งรอหลิวเฉวียนอยู่นั้น บุรุษที่ช่วยพวกเขาจับโจรได้เมื่อครู่นี้ก็เดินเข้ามาหาพวกเขา ก่อนจะยืนมือคำนับให้ แล้วเอ่ยทักทาย “ท่านชายของข้าอยากผูกมิตรกับพวกท่าน ไม่ทราบว่าพวกท่านจะให้เกียรติได้หรือไม่”

“นายของท่านคือใคร” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยถาม

“ท่านนั้นยังไงล่ะ” บุรุษเอ่ยพลางชี้ไปทางร้านน้ำชาอีกฝั่ง

ซึ่งก็คือชายแปลกหน้าที่ยกแก้วแล้วยิ้มให้กู้เหยี่ยน

กู้เสี่ยวซุ่นเห็นดังนั้นจึงตอบกลับไป “ไม่รู้จัก และไม่อยากผูกมิตรด้วย”

บุรุษทำหน้าตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธเขาง่ายๆ เช่นนี้: “ข้าเกรงว่าพวกท่านทั้งสองจะไม่รู้จักตัวตนของคุณชายของข้า แท้จริงแล้ว คุณชายของข้าคือ…”

“อ้าว! รถม้าซ่อมเสร็จแล้ว!” กู้เสี่ยวซุ่นเหลือบไปเห็นรถม้าของพวกเขาเคลื่อนมาทางนี้พอดี “พวกเราไปกันเถอะ!”

ทั้งสองจึงรีบวิ่งขึ้นรถม้าไปและปล่อยบุรุษทิ้งไว้ตรงนั้น

เดิมทีพวกเขาคิดว่าครั้งนี้คงได้กลับเรือนอย่างปลอดภัยแล้ว แต่รถม้าเจ้ากรรมดันมาเสียอีกรอบจนได้

“ช่างมันเถิด ไม่ต้องซ่อมแล้ว ข้าจะไปเช่ารถม้าคันใหม่มาล่ะ” หลิวเฉวียนเอ่ย

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีรถม้าคันใหญ่เข้ามาจอดเทียบรถม้าของพวกเขา