ตอนที่ 351 ลิ่งหูชิวติดกับ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 351 ลิ่งหูชิวติดกับ

จะถอยก็ถอยไม่ได้ จะหนีก็หนีไม่รอด

ลิ่งหูชิวตระหนกสับสน ความคิดสารพัดผุดขึ้นมาในใจ ไม่กล้ามั่นใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ นั่นคือตนเผชิญปัญหาใหญ่เข้าแล้ว!

กลุ่มคนเบื้องหน้านี้เป็นกองกำลังที่มีอำนาจที่สุดในแคว้นฉี ไม่ใช่คนที่เขาจะต่อต้านได้ และถึงเขาต่อต้านไปก็ไม่มีประโยชน์

เมื่อเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ ขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ เขารู้ดีว่าตนมีเพียงสองตัวเลือกเท่านั้น ถ้าไม่ฆ่าตัวตายก็ต้องยอมเชื่อฟัง!

หลังจากรวมตัวเข้าปิดล้อมเขาไว้แล้ว ศิษย์จากสามสำนักใหญ่ก็หยุดฝีเท้า ไม่ได้รุกคืบเข้าไปอีก

ลิ่งหูชิวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วจะยอมฆ่าตัวตายง่ายๆ ได้อย่างไร เขาหันไปเผชิญหน้ากับขันทีคนนั้น ประสานมือพลางเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีนามอันทรงเกียรติว่ากระไร?”

ขันทีร่างกำยำเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ”

ลิ่งหูชิวชี้คนที่ปิดล้อมอยู่รอบๆ พลางเอ่ยถาม “แล้วผู้น้อยกระทำความผิดใดหรือ?”

ขันทีร่างกำยำกล่าวว่า “เจ้ามีความผิดหรือไม่ ข้าไม่รู้”

ลิ่งหูชิวเอ่ยถาม “เช่นนั้นผู้น้อยก็ไม่เข้าใจว่านี่เป็นเรื่องใดกันแน่ หรือว่าเมืองหลวงแห่งนี้ไม่มีขื่อมีแปเสียแล้ว?”

ขันทีร่างกำยำกล่าวว่า “เจ้าจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ข้าทำงานไม่จำเป็นต้องยึดกฎหมายอันใด ทำงานตามคำสั่งเท่านั้น!”

“…..” อีกฝ่ายว่ามาเช่นนี้ ลิ่งหูชิวยังจะพูดอะไรได้อีก มองจากท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว เขาพอจะเดาได้รางๆ แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังรออะไรอยู่

ขันทีหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นนอกประตูสวน พยักหน้าให้ทางนี้เล็กน้อย

“มีเรื่องบางอย่างอยากจะสอบถามเจ้า รบกวนไปกับข้าด้วย!” ขันทีร่างกำยำส่งสัญญาณมือ

คนที่ปิดล้อมอยู่รุกคืบเข้ามาหาลิ่งหูชิวทันที

ลิ่งหูชิวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะต่อต้านก็ไม่ได้ จะคล้อยตามก็ไม่ดี

ขณะที่กำลังลังเลอยู่ พลันมีคนสองคนก้าวเข้ามาลงผนึกบนร่างเขา คุมตัวเขาเดินออกไปด้านนอก

ขณะที่ถูกจับมัดมือคุมตัวไว้ ในสมองลิ่งหูชิวยังคงคิดหาทางรับมืออยู่ แต่เห็นว่าด้านหน้ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา ลากคนสองคนเข้ามาด้วย สตรีสองคนที่สลบเป็นตายอยู่ก็คือหงซิ่วและหงฝู!

ลิ่งหูชิวตกใจเป็นอย่างมาก ตุบ! ท้ายท้อนพลันถูกกระแทกอย่างรุนแรง เบื้องหน้ามืดมิดลง หมดสติไปในทันที

ขันทีร่างกำยำจ้องมองลิ่งหูชิวที่ศีรษะห้อยพับ เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “คุมตัวเอาไว้อย่างลับๆ ห้ามปล่อยให้มีข่าวรั่วไหลออกไป!”

….

บนทุ่งใหญ่กว้างใหญ่ ต้นหญ้าไหวลู่ไปตามแรงลม หนิวโหย่วเต้า ก่วนฟางอี๋ สวี่เหล่าลิ่ว ลุงเฉินและเสิ่นชิว คณะห้าคนควบม้าทะยานไป

สวนคนอื่นๆ ในสวนไม้เลื้อย หนิวโหย่วเต้าไม่ยอมให้ก่วนฟางอี๋พามาด้วย หากมีคนมากจะสะดุดตาเกินไป รวมกลุ่มกันแล้วอาจจะไม่ปลอดภัย จึงให้แยกย้ายกันไป โดยบอกจุดหมายปลายทางให้ทราบ ให้พวกเขาแยกกันเดินทางไปยังจังหวัดชิงซาน

ส่วนพวกเขาห้าคนล้วนแปลงโฉมปลอมตัวกันทั้งสิ้น หนิวโหย่วเต้าเปลี่ยนไปเป็นชายไว้หนวดไว้เคราคนนั้นอีกครั้ง ก่วนฟางอี๋ก็แต่งตัวเป็นบุรุษเช่นกัน

ลิ่งหูชิวจะมาหาที่สวนไม้เลื้อยทุกวันเพื่อสอบถามว่าจะไปพบเฮ่าอวิ๋นถูเมื่อไร เมื่อวานหลังจากอยู่พบหน้าลิ่งหูชิวเป็นครั้งสุดท้าย พวกเขาก็รอจนถึงช่วงพลบค่ำแล้วออกจากเมืองมาอย่างเงียบเชียบก่อนที่ประตูเมืองจะปิด

พวกเขาห้าคนเรียกได้ว่าเป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่ออกจากสวนไม้เลื้อย อยู่เพื่อดึงดูดความสนใจ ให้คนอื่นๆ ได้อพยพไปอย่างราบรื่น

ตั้งแต่พลบค่ำเมื่อวานจนถึงตอนนี้ ทั้งห้าเดินทางมาตลอดโดยไม่หยุดพัก เร่งเดินทางตลอดทั้งคืนจนพ้นจากเมืองหลวงมาไกลแล้ว

ทุ่งหญ้าแห่งนี้ต่างไปจากที่อื่น มีถนนทอดไปทุกทิศทาง เช่นนี้หากคิดจะจับทิศทางว่าพวกเขาไปไหนก็ทำได้ยาก!

ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ก่วนฟางอี๋แทบจะไม่พูดอะไรเลย เห็นได้ชัดว่าการออกจากสวนไม้เลื้อยและการออกจากเมืองหลวงแคว้นฉีมาเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของก่วนฟางอี๋อย่างรุนแรง

หนิวโหย่วเต้านอกจากคอยบอกทางแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน อารมณ์ของเขาก็ไม่สู้ดีเหมือนกัน สาเหตุก็มาจากหยวนกัง!

พวกเขาไม่รู้ว่าทางเมืองหลวงแคว้นฉีท้องฟ้าแจ่มใสหรือไม่ แต่ท้องฟ้าของที่นี่มืดครึ้มอึมครึม ยิ่งส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของคนไปใหญ่

ปีกทองตัวหนึ่งร่อนลงมาจากขอบฟ้า เสิ่นชิวยื่นมือออกไปรับ หลังจากดึงจดหมายลับออกมา ก็ควบม้าเข้าไปหาหนิวโหย่วเต้าแล้วรายงานข่าว

ทั้งกลุ่มมุ่งขึ้นสู่เนินเขา มองเห็นเพียงสุดขอบฟ้าที่มีเมฆครึ้มปกคลุม แสงแดดหลายสายส่องลอดเมฆครึ้มลงมายังพื้นดิน ต้นหญ้าเขียวขจีไหวลู่ตามลมดั่งระลอกคลื่น แม่น้ำคดเคี้ยวสายหนึ่งดูราวกับแถบแพรส่องแสงเลื่อมพราว มองเห็นฝูงวัวฝูงแกะเล็มหญ้าอยู่รางๆ ฉากงดงามตระการตามองแล้วน่าประทับใจเหลือเกิน!

ดวงตาก่วนฟางอี๋ฉายแววตกตะลึง ภาพที่อยู่ตรงเบื้องหน้างดงามนัก ซ้ำยังกว้างไกลไร้ขอบเขตถึงเพียงนั้น คล้ายฉุดดึงนางออกมาจากอารมณ์หม่นหมองได้ในชั่วพริบตา ทำให้นางรู้สึกตื้นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว!

ผ่านมากี่ปีกันแล้วนะ! อาศัยอยู่แต่ในเมืองหลวงแคว้นฉีมานานขนาดนั้น ลืมไปแล้วว่าไม่ได้เห็นฉากธรรมชาติที่งามตระการตาเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว!

ณ เวลานี้ นางเข้าใจถ้อยคำที่หนิวโหย่วเต้าเคยกล่าวกับนางขึ้นมาอย่างถ่องแท้แล้ว นางเป็นวิหคตัวหนึ่ง ในที่สุดก็พ้นจากกรงทองใบนั้นแล้ว นภาสูงปฐพีกว้างนางสามารถโบยบินได้อย่างอิสระเสรี!

“อ๊า…” ก่วนฟางอี๋พลันอ้าสองแขนออก ตะโกนเสียงดัง!

ลุงเฉินและสวี่เหล่าลิ่วสบตากันเล็กน้อย ทั้งกลุ่มพุ่งทะยานลงจากเนินเขาไปเช่นนี้พร้อมกับเสียงตะโกนของนาง!

หนิวโหย่วเต้าที่ควบม้าอยู่ข้างๆ ก็พลอยได้รับผลกระทบจากนางไปเช่นกัน พอมองภาพที่งดงามกว้างใหญ่ไพศาลตรงเบื้องหน้าก็เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของนางขึ้นมาแล้ว

จากนั้นมองไปยังสตรีงดงามที่กำลังควบอาชาสูงใหญ่กำยำขนเงางามเป็นประกายอีกครั้ง ตอนนี้เขาถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าพอสตรีนางนี้เปลี่ยนมาสวมชุดบุรุษแล้วก็ให้ความรู้สึกต่างออกไปอีกแบบ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะรู้อยู่แล้วว่านางคือสตรีใช่หรือไม่

แต่มีจุดหนึ่งที่ทำให้หนิวโหย่วเต้าอดทอดถอนใจไม่ได้ เมื่อมองจากตัวนางในยามนี้ เขาสามารถสัมผัสถึงตัวตนในอดีตของนางได้ ไม่รู้เลยว่าสมัยที่สตรีนางนี้ยังสาวๆ จะงดงามขนาดไหน ถึงได้มีบุรุษมากมายมารุมล้อมสยบแทบชายกระโปรงนาง

“เลิกตะโกนโหยหวนได้แล้ว หากยังตะโกนต่อไป เดี๋ยวฝูงหมาป่าได้มาแน่” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเตือน

ก่วนฟางอี๋ร้อง “เชอะ!” ตวัดแส้เหวี่ยงออกไป ทว่าถูกหนิวโหย่วเต้าบังคับม้าหลบเลี่ยงแส้ไป

“ฮ่าๆ!” สวี่เหล่าลิ่วและเสิ่นชิวหัวเราะออกมา แม้แต่ลุงเฉินที่ไม่ค่อยชอบพูดก็ยังยิ้มออกมาเล็กน้อยเช่นกัน ล้วนรับรู้ได้ว่าก่วนฟางอี๋อารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว

“นี่ ตอนนี้คงพูดได้แล้วกระมัง!” ก่วนฟางอี๋คล้ายจะนึกสนใจเรื่องอื่นขึ้นมาแล้ว

หนิวโหย่วเต้าไม่เข้าใจ “พูดอะไร?”

ก่วนฟางอี่เอ่ยว่า “เรื่องปู้สวินอย่างไรเล่า จดหมายที่เจ้าส่งให้ปู้สวินเขียนอะไรไว้?”

หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจเอ่ยไปว่า “เมื่อเขาไม่เมตตาก็อย่าได้กล่าวโทษที่ข้าไม่ปราณี แต่ถึงอย่างไรก็เคยร่วมสาบานกันมา ตราบใดที่ยังไม่ได้แตกหักกันอย่างอย่างสมบูรณ์ ข้าก็ยังหวังอยากให้เขามีทางรอดสักทาง หวังว่าจะช่วยชีวิตเขาได้!”

“ลิ่งหูชิวน่ะหรือ?” ก่วนฟางอี๋แปลกใจ

หนิวโหย่วเต้าเงียบไป ยามอยู่ด้วยกันลิ่งหูชิวก็ไม่เคยหวาดระแวงอาหารการกินจากทางฝั่งเขาเลยเช่นกัน อันที่จริงเขามีโอกาสมากมายที่จะลงมือกับลิ่งหูชิว แต่สุดท้ายเขายังคงไปขอให้ปู้สวินช่วยเข้ามาคุมตัวลิ่งหูชิวไว้แทน แล้วก็เพื่อซื้อเวลาให้ตนได้เดินทางจากไป ไม่ปล่อยให้หอจันทร์กระจ่างได้ตั้งตัวไล่ตามมาทัน!

ขอเพียงเขาออกห่างจากเมืองหลวงแคว้นฉีได้ไกลเท่าไร ขอบเขตการค้นหาก็ยิ่งขยายกว้างขึ้นเท่านั้นและยิ่งทำให้แนวทางการค้นหาของหอจันทร์กระจ่างยากลำบากมากขึ้น

เขาไม่รู้ว่าหอจันทร์กระจ่างวางกำลังไว้ในแคว้นฉีมากแค่ไหน แต่เขาจำเป็นต้องคิดเผื่อกรณีที่เลวร้ายสุดเอาไว้ เตรียมการในด้านนี้ให้มากเข้าไว้!

หลบหนีออกมาเงียบๆ ก่อน จากนั้นใช้ประโยชน์จากลิ่งหูชิวถ่วงเวลาที่หอจันทร์กระจ่างจะทราบข่าวเอาไว้ สุดท้ายก็ใช้ประโยชน์จากศิษย์สำนักหยกสวรรค์เป็นเป้าล่อกองกำลังไล่ล่าของหอจันทร์กระจ่าง ถ่วงเวลาไปอีกขั้นหนึ่ง ใช้แผนถ่วงเวลาซ้อนๆ กันไป พยายามลดความเสี่ยงของทางนี้ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ทางนี้หนีรอดไปได้อย่างปลอดภัย!

ความคิดของเขาหันเหจากเรื่องของลิ่งหูชิวไปอยู่ที่เฟิงเอินไท่ต่อ ไม่ทราบเช่นกันว่าหลังจากหอจันทร์กระจ่างไล่ตามศิษย์สำนักหยกสวรรค์ทันแล้วมารู้ตัวภายหลัง พวกเขาจะยอมปล่อยให้ศิษย์สำนักหยกสวรรค์รอดไปหรือไม่!

พอนึกถึงว่าสถานการณ์อันยุ่งเหยิงซับซ้อนนี้สร้างขึ้นเพื่อปกป้องตัวเอง เขาก็รู้สึกแย่เช่นกัน…

….

ภายในวังหลวง ในศาลาริมทะเลสาบ เฮ่าอวิ๋นถูละเลียดลิ้มรสเต้าฮวยชามหนึ่งไปช้าๆ มองผิวทะเลสาบทอประกายระยิบยับ

ปู้สวินเดินเข้ามาแต่ไกล เดินเข้าไปในศาลา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท ยังคงถูกปากอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“ใช้ได้!” เฮ่าอวิ๋นถูตอบกลับไป จากนั้นเอ่ยถามขึ้นมาอีก “พาตัวคนมาแล้วหรือ?”

ปู้สวินเอียงศีรษะส่งสัญญาณให้เหล่าข้ารับใช้ในศาลาเล็กน้อย กระทั่งคนอื่นๆ ถอยไปหมดแล้ว เขาถึงจะเอ่ยตอบว่า “จับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูถามต่อ “ไหนว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน เหตุใดถึงกลายเป็นว่าหากไม่จับเขาไว้ เขาก็จากไปไม่ได้?”

ปู้สวินตอบว่า “ไม่ทราบแน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ ถึงอยากถามก็ไม่มีโอกาสแล้ว ตอนที่จดหมายมาถึงทางนี้ตัวเขาได้จากไปแล้ว คนผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก เขาบอกว่าเพียงต้องการให้คุมตัวลิ่งหูชิวเอาไว้ คุมไว้ได้นานเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ตราบชั่วชีวิตก็ได้พ่ะย่ะค่ะ! แต่คนของเรากลับค้นเจอสิ่งนี้จากตัวพวกลิ่งหูชิวพ่ะย่ะค่ะ!”

เขาล้วงกล่องไม้ใบเล็กออกมาจากแขนเสื้อ เปิดฝาออกแล้ววางลงบนโต๊ะให้เฮ่าอวิ๋นถูได้ดู เห็นเพียงว่ามีโอสถสองเม็ดวางนิ่งอยู่ในกล่อง หนึ่งดำหนึ่งแดง!

เฮ่าอวิ๋นถาม “มันคืออะไร?”

ปู้สวินชี้พลางอธิบายว่า “ให้คนไปตรวจสอบมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ เม็ดสีแดงคือโอสถเทพระทม ส่วนเม็ดสีดำคือยาถอนพิษ! ผู้ที่กินโอสถเทพระทมเข้าไป พอถึงยามที่ตัวยาออกฤทธิ์จะต้องเผชิญความทุกข์ทรมานที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทนรับไม่ไหว ดังนั้นจึงเรียกว่าโอสถเทพระทมพ่ะย่ะค่ะ ส่วนยาถอนพิษเม็ดนี้ก็ไม่ได้แก้ฤทธิ์ยาอย่างสมบูรณ์เพียงช่วยกดฤทธิ์ยาไว้ได้สามเดือน พอครบกำหนดสามเดือนก็จำเป็นต้องรับยาถอนพิษเข้าไปอีกครั้ง โอสถนี้เป็นวิธีการลับเฉพาะที่หอจันทร์กระจ่างใช้ควบคุมคนพ่ะย่ะค่ะ!” ประโยคสุดท้ายแฝงนัยยะลุ่มลึก

เฮ่าอวิ๋นถูเงยหน้ามอง “เจ้ากำลังจะบอกว่าลิ่งหูชิวผู้นี้คือคนของหอจันทร์กระจ่างหรือ?”

“ตอนนี้พอนึกย้อนถึงพฤติกรรมในอดีตของลิ่งหูชิวคนนี้ ก็ดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ฮ้า! เรื่องนี้น่าสนขึ้นมานิดหน่อยแล้ว คิดไม่ถึงว่าหอจันทร์กระจ่างจะส่งคนมาเฝ้าอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้าคนนั้น มองจากรูปการณ์แล้ว หนิวโหย่วเต้าน่าจะรู้ฐานะของลิ่งหูชิวคนนี้อยู่แล้ว! เขาเลือกหนีไปเงียบๆ ก็เพื่อให้หลุดพ้นจากลิ่งหูชิวคนนี้ ทั้งยังยืมมือข้าให้จับกุมคนไว้อีก นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”

“ถ้าไม่ใช่เพราะอยากเหลือทางรอดไว้ให้ลิ่งหูชิว ก็คงเป็นเพราะไม่อยากแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ว่าสังหารพี่น้องร่วมสาบานของตน หรือไม่ก็ทั้งสองอย่างพ่ะย่ะค่ะ!”

“โอ้ ไยจึงคิดเช่นนี้?”

“เหตุผลมันก็เข้าใจได้ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ลิ่งหูชิวน่าจะไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้ารู้ฐานะของเขาแล้ว มิเช่นนี้คงไม่มีทางวิ่งมาติดกับโดยไม่ระวังตัวเลยแม้แต่นิดเดียว! แบบนี้ก็แสดงว่าหนิวโหย่วเต้านั้นมีโอกาสมากมายที่จะลงมือจัดการลิ่งหูชิว แต่เขากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น! กำลังของหนิวโหย่วเต้าไม่อาจเทียบกับกำลังของฝ่าบาทได้เลย หากลิ่งหูชิวตกอยู่ในมือเขาก็ไม่มีทางส่งผลกระทบใดๆ ต่อหอจันทร์กระจ่าง แต่หากตกอยู่ในกำมือของฝ่าบาท นั่นย่อมแตกต่างออกไป หอจันทร์กระจ่างจะหวาดกลัวพ่ะย่ะค่ะ! วินาทีที่ลิ่งหูชิวตกอยู่ในการควบคุมของฝ่าบาท สถานะในหอจันทร์กระจ่างของลิ่งหูชิวจะถูกลบทิ้ง หอจันทร์กระจ่างไม่มีทางเก็บเขาไว้ แล้วก็จะตัดการติดต่อทั้งหมดกับเขาแน่นอน ลิ่งหูชิวตกมาอยู่ในมือฝ่าบาทยังพอมีทางรอดได้ ถึงอย่างไรหอจันทร์กระจ่างก็ไม่สามารถคุกคามฝ่าบาทส่งเดชได้พ่ะย่ะค่ะ!”

“หอจันทร์กระจ่างรู้หรือยังว่าลิ่งหูชิวติดกับแล้ว?”

“ดำเนินการจับกุมอย่างลับๆ แต่ยังยืนยันไม่ได้ว่าทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ แต่ปีกทองสื่อสารของลิ่งหูชิวล้วนตกอยู่ในมือทางเราแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

“ตามความเห็นของบ่าว หอจันทร์กระจ่างต้องมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงอยู่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ อันที่จริงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาสอบสวนเขาเลย เรื่องบางอย่างสามารถแสร้งทำเป็นหลับตามองไม่เห็นได้ รอจนถึงคราวที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ค่อยเผยออกมา แต่ถ้าหากความแตกแล้ว มันก็จำเป็นต้องมอบบทเรียนสั่งสอนกันสักหน่อย ให้พวกเขาได้รู้ซึ้งว่าแคว้นฉีหาใช่สถานที่ที่หอจันทร์กระจ่างจะมาทำตามอำเภอใจได้ บ่าวคิดว่าควรปล่อยปีกทองออกไปทันทีพ่ะย่ะค่ะ จากนั้นส่งวิหคยักษ์ไล่ตามไปจนถึงที่อยู่ของคนที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไป ไม่ปล่อยให้พวกเขาได้มีเวลาตั้งตัว ระดมกำลังเข้าปราบปรามอย่างเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ!”

เฮ่าอวิ๋นถูยื่นมือออกไปหยิบโอสถสีแดงเม็ดนั้นมาพินิจดูอย่างละเอียด เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ฆ่า! จับได้เท่าไรก็ฆ่าให้หมด!”

……………………………………………………….