ตอนที่ 352 อาจารย์อวี้ชาง

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 352 อาจารย์อวี้ชาง

ทั้งห้าควบม้าผ่านทุ่งหญ้าไปอย่างรวดเร็ว ปีกทองตัวหนึ่งร่อนลงมาจากบนท้องฟ้า กระพือปีกบินตามกลุ่มคนที่ควบม้าอยู่

สวี่เหล่าลิ่วยื่นมือออกรับปีกทองที่ร่อนลงมา หยิบจดหมายลับออกมาตรวจสอบ จากนั้นเร่งม้าขึ้นไปด้านหน้า ควบไปหาก่วนฟางอี๋พลางเอ่ยรายงานว่า “พี่ใหญ่ พรรคพวกที่ซุ่มรออยู่ส่งข่าวมาแล้ว วันนี้พวกลิ่งหูชิวสามนายบ่าวน่าจะถูกคนของราชสำนักคุมตัวไปแล้ว”

ก่วนฟางอี๋หันไปมองหนิวโหย่วเต้า “เจ้าให้คนคอยเฝ้าเพื่อรอคอยข่าวนี้น่ะหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าหันไปมอง เอ่ยตอบไม่ตรงคำถามว่า “ส่งข่าวกลับไปหาพรรคพวกที่ซุ่มรออยู่ว่าอีกสองวันให้หลังจงปล่อยข่าวออกไปอย่างลับๆ ว่าข้าและลิ่งหูชิวล้วนถูกราชสำนักจับกุมตัวไปอย่างลับๆ ทั้งคู่”

ก่วนฟางอี๋ถาม “คิดจะทำอะไร?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงขรึม “เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องรู้กันทุกคน นั่นมิใช่เรื่องดีอันใด หากอยากติดตามข้ากลับไปยังจังหวัดชิงซานอย่างปลอดภัย ก็จงทำตามที่บอก!”

วาจานี้กลับเตือนสติก่วนฟางอี๋ขึ้นมา นางพยักหน้ารับด้วยสีหน้าครุ่นคิด หันไปเอ่ยสั่งสวี่เหล่าลิ่ว “ทำตามที่เขาบอก!”

“ขอรับ พี่ใหญ่!” สวี่เหล่าลิ่วตอบรับ พลันรั้งบังเหียนหยุดม้าโดยเร็ว ลงจากม้าแล้วจัดการเขียนจดหมายที่จะส่งกลับไป จากนั้นก็ขึ้นม้าควบตามไป!

ส่วนก่วนฟางอี๋กลับพินิจดูหนิวโหย่วเต้าด้วยสายตาแปลกพิกล

หนิวโหย่วเต้าที่คอยกวาดตามองสำรวจรอบข้างเป็นระยะๆ บังเอิญสบตากับนางเข้า จึงเอ่ยถามด้วยความมึนงงว่า “ไยจึงมองข้าเช่นนี้?”

ก่วนฟางอี๋ทอดถอนใจ ส่ายหน้าพลางกล่าวไปว่า “ตอนนี้ข้าพอจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าถาม “เข้าใจอะไร?”

ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดราชสำนักแคว้นเยี่ยนถึงทำอะไรเจ้าไม่ได้ แม้ว่าเจ้าจะสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนไปก็ตาม เจ้าอายุแค่นี้แต่ไปเอาความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจมาจากไหนมากมายปานนั้น? แผนแล้วแผนเล่าที่เจ้าคิดขึ้นมาทำเอาข้าขนลุกไปหมด ข้ากลัวจริงๆ ว่าสักวันข้าจะถูกเจ้าหลอกใช้โดยไม่รู้ตัว!”

“นี่เจ้ากำลังชมหรือกำลังด่าข้าอยู่กันแน่?”

“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”

“ตอนที่ตงกัวเฮ่าหรานยังมีชีวิตอยู่ เขามีเรือนบำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นามว่าสวนดอกท้อ ที่นั่นมีต้นท้อพันปีต้นหนึ่ง ออกดอกผลิบานตลอดสี่ฤดู พร่างพราวดั่งแสงอรุณงดงามมาก ข้าอาศัยอยู่ที่นั่นห้าปี!”

“รู้แล้ว ถูกกักบริเวณห้าปีสินะ เจ้าจะบอกว่าที่เจ้าเป็นแบบนี้เพราะไม่อยากถูกกักบริวเณอีกแล้วใช่หรือไม่? ข้ออ้างชัดๆ! คนใจคดก็คือคนใจคด!”

“ข้าเคยแต่งกลอนตอนอยู่ที่สวนดอกท้อ!”

“หือ? เจ้าแต่งกลอนเป็นด้วยหรือ?”

“อารามท้องามงดในดงท้อ เซียนดอกท้อพักกายมิใฝ่ฝัน หวังเพียงได้เร้นกายใต้แสงจันทร์ ทุกคืนวันเก็บดอกท้อแลกสุรา ยามสร่างรู้เพียงนั่งยลดอกไม้ ครั้นเมามายหวนเอนกายใต้บุปผา ประเดี๋ยวเมาประเดี๋ยวสร่างลืมเวลา ผกาผลิร่วงโรยราไปตามปี ใจเฝ้าหวังเมาสิ้นกลางหมู่ไม้ มิขอโค้งโน้มกายหน้าเสฎฐี ไม่มุ่งหมายควบอาชาฝ่าธุลี ขอเพียงมีจอกสุรากิ่งบุปผาก็เพียงพอ…”

ลุงเฉินและเสิ่นชิวที่ตามหลังทั้งสองอยู่ต่างจ้องมองเขา

ก่วนฟ่างอี๋จ้องมองด้วยความตะลึง รู้สึกเพียงว่ากลอนนี้บรรยายได้เห็นภาพนัก อดไม่ได้ที่จะจมจ่อมอยู่ในภวังค์

ก่วนฟางอี๋คล้ายจะเข้าใจความหมายของเขาขึ้นมาแล้ว กำลังสื่อความรู้สึกผ่านบทกลอนนี้ สื่อว่าตนไม่อยากมากังวลกับความเสี่ยงเช่นนี้

นางใคร่ครวญพลางเอ่ยถาม “กลอนบทนี้น่าจะยังมีท่อนหลังด้วย อย่าท่องแค่ครึ่งเดียวสิ ท่องออกมาให้จบทีเดียว!”

“ไม่มีแล้ว” หนิวโหย่วเต้ายักไหล่

“เจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ!” กวนฟางอี๋กลอกตาใส่

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าถอนหายใจ “มีแค่นี้ ไม่มีต่อแล้วจริงๆ!”

ทั้งกลุ่มเงียบลง เหลือเพียงเสียงฝีเท้าม้า ก่วนฟางอี๋ใคร่ครวญดู เอ่ยพึมพำอยู่คนเดียว “ยามสร่างรู้เพียงนั่งยลดอกไม้ ครั้นเมามายหวนเอนกายใต้บุปผา ประเดี๋ยวเมาประเดี๋ยวสร่างลืมเวลา ผกาผลิร่วงโรยราไปตามปี …” จู่ๆ ก็เอ่ยเสียงดังใส่หนิวโหย่วเต้า “ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปเยี่ยมชมสวนดอกท้อแห่งนั้นแน่นอน เจ้าพาข้าไปด้วยล่ะ!”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา ไม่ได้เอ่ยตอบนาง แต่กลับขับขานบทเพลงทำนองแปลกๆ ขึ้นมา “เดิมตัวข้างำประกายรักสงบ ใช้หยินหยางสยบโลกไพศาล…”

….

ช่วงพลบค่ำ ณ ทุ่งหญ้าอีกแห่งได้เกิดเหตุการณ์อีกอย่างขึ้น

ทางหลวงเส้นหนึ่งที่ทอดยาวมาจากสถานที่ห่างไกล แล้วก็มุ่งตรงไปยังสถานที่ห่างไกล ตัดผ่านเทือกเขาที่ยากจะพบเห็นได้บนทุ่งหญ้า

ถึงแม้จะกล่าวทุกแห่งหนบนทุ่งหญ้าล้วนเป็นหนทาง แต่เส้นทางหลวงที่ยอดยาวบางเส้นนั้นมีการบำรุงซ่อมแซมให้ราบเรียบ ทำให้รถม้าสัญจรผ่านได้สะดวก หากเดินทางเป็นเส้นตรงจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งก็สามารถย่นระยะทางได้

ห่านป่าบินเป็นขบวนอยู่บนฟ้า บนเส้นทางหลวงที่ตัดผ่านเทือกเขาก็มีบุรุษห้าคนกำลังขี่ม้าควบทะยานอยู่เช่นกัน

ขณะที่ใกล้จะพ้นจากเขตเทือกเขา ปีกทองตัวหนึ่งได้บินโฉบเข้ามาจากบนท้องฟ้าเหนือผืนป่า โผตรงเข้ามาหาคนทั้งห้าคน ผู้เป็นหัวหน้ายื่นมือออกไปรับไว้

ทว่าพอเปิดกลักที่อยู่ตรงขาปีกทองออกดู กลับพบว่าด้านในว่างเปล่า ปราศจากจดหมายใดๆ

ขณะที่คนผู้นั้นขมวดคิ้วอยู่ คนที่อยู่รอบข้างก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ระวัง!”

คนผู้นั้นพลันเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงว่าบนเนินเขาด้านหน้าที่ทอดตัวเป็นระลอกคลื่นมีวิหครูปร่างใหญ่โตห้าตัวบินเลียดป่าเข้ามา

เงาร่างมนุษย์สิบห้าคนทิ้งตัวลงมาจากวิหคยักษ์ทั้งห้าอย่างรวดเร็ว วิหคยักษ์ทั้งห้ากลับตัวทะยานขึ้นฟ้าไปอีกครั้ง

ศิษย์ห้าคนจากสำนักศาสตราลึกล้ำกระชากผ้าคลุมกันลมออกจากร่าง เผยให้เห็นเกราะศึกบนร่างที่ส่องประกายวาววับ แผ่นเกล็ดบนชุดเกราะพุ่งฉิวออกมาอย่างรวดเร็วดุดัน

คนทั้งห้าดีดตัวออกจากหลังอาชาอย่างว่องไว ทะยานขึ้นสู่อากาศ

“ฮี่…” ม้าศึกห้าตัวร้องโหยหวนล้มทรุดลง พื้นดินถูกแผ่นเกล็ดที่พุ่งเข้ามาดั่งพายุฝนกระหน่ำเข้าใส่จนเกิดเสียงดัง ‘สวบๆๆ’ ฝุ่นควันคละคลุ้ง ม้าศึกห้าตัวที่ล้มทรุดลงไปชักกระตุกอยู่บนพื้น ร่างชุ่มไปด้วยเลือด ถูกแทงจนพรุนไปหมด

แผ่นเกล็ดพุ่งแหวกหน้าดินขึ้นมาอีกครั้ง พุ่งลงไปใต้ดินแล้วก็พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง ลอยฉิวขึ้นสู่อากาศ สานไขว้ร้อยเรียงกันจนดูราวกับมังกรเงินห้าตัว ไล่ตามทั้งห้าคนที่เหินขึ้นสู่อากาศ

ลูกไฟห้าดวงพลันระเบิดขึ้นกลางอากาศ กลายเป็นวิหคเพลิงห้าตัว สยายปีกโผเข้าใส่คนทั้งห้า

ทั้งห้าคนหลบหนีพลางตวัดกระบี่ฟาดฟันออกไปอย่างดุเดือด ปราณกระบี่ทรงพลังสายแล้วสายเล่าปัดป้องศัตรูที่อยู่รอบทิศ!

วิหคไฟที่โฉบเข้ามาแตกตัวออกมาเป็นลูกไฟมากมาย ราวกับเกิดระเบิดรุนแรงขึ้นบนนภา สะเก็ดเพลิงพุ่งกระจายไปทั่ว!

แต่แผ่นเกล็ดคมกริบจำนวนนับไม่ถ้วนต่างหากที่เป็นภัยคุกคามถึงชีวิต พุ่งฉิวเข้ามาจากทิศทางที่ต่างกัน ประกอบกับมีวิหคเพลิงทั้งห้าค่อยโจมตีสะกดไว้ ขณะที่คอยปัดป้องมือเป็นระวิง บนร่างของผู้หลบหนีทั้งห้าล้วนถูกกรีดเฉือนจนปรากฎโลหิตพุ่งกระฉูดออกมาสายแล้วสายเล่า

ชายคนหนึ่งพยายามพุ่งฝ่าออกมาจากวงล้อมแผ่นเกล็ดที่โจมตีเข้ามา คิดจะหนีเข้าไปหลบซ่อนตัวในป่า พลันได้ยินน้ำเสียงเคร่งขรึมเอ่ยขึ้นว่า “กระบี่ดั่งบรรพต เปี่ยมพลังทำลายล้าง!”

ปราณกระบี่ที่ทรงพลังสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา ดูคล้ายจะจับต้องได้จริง ฟาดฟันลงมาดั่งเสาใหญ่ต้นหนึ่ง

คนผู้นั้นหันกลับไปด้วยความตระหนก จะหลบก็หลบไม่พ้นแล้ว สองมือกุมกระบี่เข้าต้านรับ ปะทะเข้ากับปราณกระบี่

ตูม! ลมกระโชกกวาดพัดไปทั่ว ชายคนนั้นถูกกระแทกจนกระเด็นออกไป เงยหน้ากระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ร่วงตกลงบนพื้น ร่างกายบิดงอไปมาด้วยความเจ็บปวด

ปีกทองตัวหนึ่งบินหนีไปกลางอากาศ ถูกเหยี่ยวตัวหนึ่งไล่ตามมา กรงเล็บอ้ากางออก ตะครุบตัวไว้อย่างแม่นยำ เสียงร้องโหยหวนของปีกทองแว่วอยู่ในอากาศ

…..

การต่อสู้อันดุเดือดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เริ่มเร็ว จบก็เร็ว วิหคยักษ์ที่บินวนอยู่เหนือนภาทั้งห้าพากันหุบปีกโฉบลงสู่พื้น

ขณะที่กำลังเก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุอยู่ มีขบวนม้ากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงทางแยกด้านหน้า มีรถม้าขนาดใหญ่ที่เทียมด้วยม้าสี่ตัวอยู่ห้าคัน มีผู้อารักขาหลายสิบคน ขบวนหยุดลงตรงทางแยก มองดูสถานที่ที่เคยปรากฏการต่อสู้ขึ้น

ศิษย์สามสี่คนจากสามสำนักใหญ่เดินเข้าไปหาพลางตะโกนถาม “เป็นผู้ใด?”

คนผู้หนึ่งที่อยู่ข้างรถม้าคันแรกควบม้าเลี้ยวเข้าไปที่ริมหน้าต่างรถม้า กล่าวรายงานข้างหน้าต่างที่มีม่านกั้นอยู่ “นายท่าน เป็นศิษย์ของสำนักมหาบรรพต สำนักศาสตราลึกล้ำและสำนักเพลิงสวรรค์ขอรับ”

คนที่อยู่ในรถม้าตอบ “อืม” ด้วยน้ำเสียงราบเรียบนิ่งเฉย

ผู้รายงานลงจากหลังม้าทันที ยื่นมือไปแหวกเปิดม่านประตูรถม้า

บุรุษผิวขาวกระจ่างคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถม้าลุกขึ้นเดินออกมาสองสามก้าว ก่อนจะค้อมตัวมุดออกมา ยืนอยู่บนคานรถม้าอย่างสงบนิ่ง ทอดมองลงมาจากมุมสูง พินิจดูเหล่าศิษย์สามสำนักใหญ่ที่ขวางทางอยู่ด้วยสีหน้าราบเรียบ

บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์ขาวสง่าหรูหรา บุคลิกบริสุทธิ์ผุดผ่อง หางตาปรากฏริ้วรอยย่นลึก แววตาลุ่มลึกราบเรียบ จอนผมแซมหงอกเล็กน้อย รูปร่างสูงโปร่งสง่ามีราศี ท่วงท่างามสง่านั้นมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา

พอเห็นคนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น ในกลุ่มศิษย์จากสามสำนักใหญ่มีสองสามคนที่ตะลึงไปเล็กน้อย ทราบว่าคนผู้นี้เป็นใคร จากนั้นก็รีบเรียกศิษย์ร่วมสำนักเข้ามา ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ประสานมือคารวะ “คณะศิษย์สำนักสำนักมหาบรรพต สำนักศาสตราลึกล้ำและสำนักเพลิงสวรรค์คารวะอาจารย์อวี้ชาง!”

แต่ละคนสุภาพนอบน้อม ไม่กล้าแสดงท่าทีเสียมารยาทเลยสักนิด

ไม่อาจเสียมารยาทได้จริงๆ อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ต่อให้เป็นเจ้าสำนักของสามสำนักใหญ่ก็ยังต้องสุภาพเกรงใจเมื่อพบคนผู้นี้

อาจารย์อวี้ชางคนนี้ เดิมทีเป็นยอดฝีมือลำดับที่ห้าบนทำเนียบโอสถ นอกจากนี้ยังเป็นบัณฑิตทรงปัญญา อีกทั้งเชี่ยวชาญการศึกด้วย แทบทุกแคว้นล้วนมีศิษย์ของเขาดำรงตำแหน่งแม่ทัพอยู่ แม้แต่แม่ทัพฮูเหยียนอู๋เฮิ่นแห่งแคว้นฉีก็ยังเคยไปขอคำชี้แนะจากเขาถึงเรือน

ช่วงที่แคว้นจิ้น แคว้นเว่ยและแคว้นฉีทำศึกใหญ่โต คนผู้นี้เคยออกหน้ามาช่วยไกล่เกลี่ยให้สามแคว้น มีบารมีอย่างมากในสามแคว้น

เรื่องที่ทำให้อาจารย์อวี้ชางคนนี้ได้รับการยกย่องมากที่สุดคือด้านความมีคุณธรรม หลังจากพี่น้องชายสาบานล้มป่วยสิ้นชีพไป เขาก็รับดูแลภรรยาม่ายและบุตรกำพร้าของพี่น้องร่วมสาบานมาตลอด ได้ยินว่ายามที่พบปะกันน้องสะใภ้จะมีคนติดตามอยู่ข้างกายตลอดเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา ยามพูดคุยกับน้องสะใภ้ก็ไม่เคยเงยหน้าสบตาตรงๆ เลย ทำให้คนชื่นชมนัก

คนผู้นี้ยามอยู่ในวังก็สนทนาเรื่องในใต้หล้ากับจักรพรรดิได้ ยามอยู่ในป่าเขาก็นั่งสนทนาเรื่องธรรมวิถีกับผู้นำของสำนักต่างๆ ได้

ได้ยินว่ามักจะพาเหล่าศิษย์กลุ่มหนึ่งท่องไปตามแคว้นต่างๆ เป็นเวลานาน ศิษย์จากสามสำนักใหญ่คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเขาที่นี่

อาจารย์อวี้ชางยกมือปราม สื่อว่าไม่ต้องมากพิธี จากนั้นชี้ไปยังบริวเณที่เละเทะจากการต่อสู้อย่างดุเดือด เอ่ยถามว่า “พวกเจ้าทำอะไรอยู่?”

ศิษย์คนหนึ่งจากสำนักมหาบรรพตตอบว่า “ได้รับคำสั่งให้มาจับผู้ร้ายหลบหนีขอรับ! ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์อวี้ชางจะไปที่ใดหรือขอรับ?”

อาจารย์อวี้ชางตอบว่า “จะไปพักผ่อนที่เมืองหลวงแคว้นฉีสักระยะ ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญมาเจอตอนพวกเจ้าทำภารกิจอยู่ หากว่าเป็นการบกวนล่ะก็ ประเดี๋ยวพวกเราใช้เส้นทางอ้อมไปก็ได้!”

ศิษย์สำนักมหาบรรพตคนนั้นรีบเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรขอรับ พวกเราต่างหากที่รบกวนท่านอาจารย์ ภารกิจลุล่วงแล้ว ท่านอาจารย์เชิญผ่านได้ตามสบายเลยขอรับ ไม่จำเป็นต้องอ้อมขอรับ!” จากนั้นก็เอ่ยสั่งการสหายร่วมกลุ่ม

ศิษย์สามสำนักใหญ่ลงมือจัดการอย่างรวดเร็ว ลากซากม้าศึกที่นอนตายให้ออกไปพ้นทาง ร่องหลุมบนพื้นที่เกิดจากการโจมตีก็มีการใช้พลังปรับให้เรียบอย่างรวดเร็ว

ขบวนรถม้าห้าคันออกตัวไปอีกครั้ง ศิษย์สามสำนักใหญ่หลบไปอยู่สองข้างทางพลางประสานมือคำนับส่ง

ม่านหน้าต่างสองฝั่งของรถม้าคันแรกถูกเลิกขึ้นมาจนหมด อาจารย์อวี้ชางที่นั่งตัวตรงอยู่ในรถม้าเหลือบมองริมถนนด้านนอก สายตากวาดผ่านร่างคนทั้งห้าที่นอนบาดเจ็บสาหัสหายใจรวยรินบนพื้นเล็กน้อย แล้วก็ยังมีกรงนกบรรจุปีกทองที่ศิษย์สามสำนักยึดมาได้ วิหคที่มีรูปร่างใหญ่ยักษ์นั้นยิ่งดึงดูดสายตาเข้าไปใหญ่

ผู้คุ้มกันที่ควบม้าขนาบอยู่ข้างรถม้าก็กวาดตามองอย่างเฉยชาเช่นกัน คล้ายจะไม่ใส่ใจ

หลังจากศิษย์สามสำนักใหญ่เห็นขบวนรถม้าจากไปไกลแล้ว พวกเขาถึงจะทยอยลดมือลง อด

พูดคุยกันเล็กน้อยไม่ได้

“พวกเจ้าว่าแม่ม่ายลูกกำพร้าคู่นั้นจะอยู่ในขบวนรถม้าห้าคันนั้นด้วยหรือเปล่า?”

“น่าจะอยู่กระมัง ได้ยินว่าอาจารย์อวี้ชางไปไหนก็จะพาไปด้วย คอยดูแลอยู่เสมอ”

“ผู้คุ้มกันที่ติดตามมาเหล่านั้นล้วนเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์อวี้ชางหรือ?”

“บางส่วนใช่ แต่บางส่วนข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน มองจากอายุแล้วไม่น่าจะใช่”

“จะกังวลเรื่องนี้ไปทำไม ทุกคนเร่งมือเข้า จัดการภารกิจได้รับมาให้เรียบร้อยก่อน”

ขบวนรถม้าเคลื่อนพ้นจากในเทือกเขา เข้าสู่ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่อีกครั้ง

อาทิตย์อัสดงทอแสงไปทั่ว

ภายในรถม้าคันแรกสุด อาจารย์อวี้ชางยื่นมือข้างหนึ่งออกไปนอกหน้าต่าง นิ้วเรียวยาวทั้งห้าปะทะสายลม แสงสีทองของอาทิตย์ยามอัสดงอาบไล้ไปบนนิ้ว ดูงดงามเป็นอย่างมาก จากนั้นก็เคาะลงบนขอบหน้าต่างเบาๆ