บทที่ 309 พลานุภาพของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 309 พลานุภาพของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

“เอาเถอะ ข้าจะทำให้ดีที่สุด”

หวงจุนเทียนรับปาก แม้ว่าในใจจะไม่เต็มใจเลยสักนิด แต่ก็ไม่กล้าขัดความประสงค์ของกระเรียนขาว

กระเรียนขาวพยักหน้าอย่างพึงพอใจและกล่าวว่า ”พยายามให้เต็มที่เถอะ ข้าตั้งความหวังกับเจ้าไว้มาก”

หวงจุนเทียนรีบโค้งคารวะ

หลังจากกระเรียนขาวจากไป หวงจุนเทียนกำม้วนหนังสือในมือแน่น

‘เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ฝึกบำเพ็ญให้หนักเหมือนอย่างคนรุ่นก่อน ไม่ก่อเรื่อง ไม่อวดดี ทั้งที่พวกเจ้าเคยสูญเสียมามากแล้วแท้ๆ สมองมีปัญหาหรือไร’

หวงจุนเทียนบ่นในใจ เพิ่งรับตำแหน่งเจ้าเกาะเพียงไม่กี่ปีก็มีเรื่องเฮงซวยเกิดขึ้นอีกแล้ว

เฮ้อ!

หวงจุนเทียนจมดิ่งอยู่ในความกังวลอันไม่รู้จบ

……

ยี่สิบปีผ่านไปนับตั้งแต่ถูกมังกรเก้าขุมนรกโจมตี

ตบะของหานเจวี๋ยก้าวหน้าขึ้นอีก เมื่อเขายิ่งแข็งแกร่งขึ้น ความเร็วที่กายดาราอนธการจะกลืนกินแรงกรรมของบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรก็ยิ่งสูงขึ้น นอกจากนี้บุปผาเทพปู้โจวยังให้กำเนิดปราณฟ้าประทาน ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของเขาเรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตามการคาดเดาของหานเจวี๋ย คิดว่าอีกสองสามร้อยปีก็จะสามารถทะลวงไปถึงจักรพรรดิเซียนห้าวัฏได้ ความเร็วในการทะลวงระดับถือว่าคงที่

เมื่อมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตครั้งนี้สิ้นสุดลง การบรรลุระดับเซียนจะต้องมั่นคงแน่ ส่วนระดับที่สูงกว่านั้นยังต้องพยายามให้หนักขึ้นอีก

แน่นอน ทั้งหมดนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของการมีชีวิตอยู่

หานเจวี๋ยให้อู้เต้าเจี้ยนออกไป จากนั้นจึงหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ ขณะเดียวกันก็ตรวจดูกล่องจดหมาย

[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิปีศาจ] x187

[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังเผ่าปีศาจ] x6

[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากปีศาจประหลาด] x376921

[จักรพรรดิเทพกระบี่สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากคำสาปแช่งลึกลับ]

[จั้งกูซิงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากคำสาปแช่งลึกลับ]

[ตี้หงเย่สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากคำสาปแช่งลึกลับ]

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเข้าสู่คุนหลุน]

[โจวฝานสหายของท่านเข้าสู่คุนหลุน]

……

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว

สหายหลายคนของเขาถูกโจมตีจากคำสาปแช่งลึกลับ และยังมีสหายหลายคนเข้าสู่คุนหลุน

สถานการณ์นี้ค่อนข้างไม่ชอบมาพากล

มีคนใส่ความว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก่อเรื่องดังคาดไว้

เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกับคุนหลุนอีก

ในช่วงมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต เหตุใดผู้คนจำนวนมากจึงมุ่งหน้าไปที่คุนหลุน หนำซ้ำทั้งหมดเป็นคนที่ตบะธรรมดาทั่วไป

ดูเหมือนกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว

หานเจวี๋ยลอบระแวดระวังตัว

หนึ่งเดือนต่อมา เขาวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลงแล้วฝึกบำเพ็ญต่อ

กลุ่มอิทธิพลที่นับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏตัวและเข้าแทรกแซงในมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต นอกจากหานเจวี๋ยจะเก็บตัวเงียบแล้ว ยังต้องทำเวลาเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้นด้วย

[หานมิ่งเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]

หานเจวี๋ยเพิ่งเริ่มฝึกบำเพ็ญก็เห็นข้อความแจ้งเตือนนี้

เขาอดอึ้งตะลึงไม่ได้

ทำไมจู่ๆ เจ้าเด็กนี่ถึงได้เกิดความประทับใจต่อเขากันล่ะ

หานเจวี๋ยก็ไม่ได้คิดมาก เขาไม่อยากยอมรับน้องชายคนนี้เลยสักนิด เหตุผลที่ไม่สาปแช่งหานมิ่งก็เพราะกลัวว่าจะถูกจักรพรรดิเซียนวัฏจักรพบตัวเข้า

……

ท้องฟ้าครามปุยเมฆขาว กระเรียนเซียนเรียงแถว มีวิหคเซียน สัตว์พาหนะ และของวิเศษบินได้นานาชนิดบินผ่านเป็นครั้งคราว

ท่ามกลางป่าเขามีศาลาหินหลังหนึ่ง

ภายในศาลามีชายสามคน ซึ่งก็คือฟางเหลียง โจวฝาน และโม่ฟู่โฉว

ทั้งสามคนนั่งดื่มสุรารอบโต๊ะหิน เริ่มเล่าถึงอดีต แต่ละคนมีหลากหลายอารมณ์

“งานชุมนุมคุณสมบัติเซียนครั้งนี้พวกเรามาร่วมมือกันได้ อย่างไรเสียรากฐานของพวกเราก็ตื้นเขินเกินไป” โจวฝานเสนอแนะ

ฟางเหลียงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คราวก่อนพวกเจ้ามาช่วยข้า น้ำใจนี้ข้ายังไม่ได้ตอบแทนเลย ย่อมต้องร่วมมือด้วยอยู่แล้ว”

โม่ฟู่โฉวส่ายหัวแล้วกล่าวยิ้มๆ “เจ้าอย่าคิดอย่างนั้นเลย อันที่จริงพวกเราไม่ได้ช่วยอะไรสักนิด พูดแล้วก็ละอาย”

ฟางเหลียงเอ่ย “จริงสิ กฎเกณฑ์ของงานชุมนุมคุณสมบัติเซียนครั้งนี้ พวกเจ้ารู้หรือไม่”

โจวฝานและโม่ฟู่โฉวต่างส่ายหน้า

ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน เหล่าผู้บำเพ็ญตนยังคงบินอยู่เหนือป่าเขาไม่ขาดสาย เป้าหมายล้วนเป็นคุนหลุน

คุนหลุนอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ไกลนัก แต่พวกเขาไม่ได้รีบร้อนมุ่งหน้าไป

โจวฝานกล่าวด้วยสีหน้าคาดหวังรอคอย “ว่ากันว่างานชุมนุมคุณสมบัติเซียนมีวิธีการพิสูจน์จักรพรรดิ ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่”

โม่ฟู่โฉวกล่าวยิ้มๆ “ข้าอยากเข้าร่วมนิกายฉ่านมากกว่า หลบไปให้พ้นจากมหาเคราะห์ครั้งนี้”

ฟางเหลียงระบายยิ้ม สายตาของเขาเหลือบมองไปยังถนนภูเขาที่อยู่ไม่ไกล มีชายชุดดำคนหนึ่งกำลังก้าวเข้ามาอย่างเนิบนาบ

รูม่านตาของฟางเหลียงขยายออก สีหน้าตกตะลึง

โจวฝานสังเกตเห็นสีหน้าของเขาก็อดมองตามไม่ได้ และอึ้งไปเช่นเดียวกัน

โม่ฟู่โฉวมองตามสายตาพวกเขาไป จากนั้นถามด้วยความประหลาดใจว่า “สหายหาน?”

ชายชุดดำที่เดินมาเหมือนได้ยินคำพูดของโม่ฟู่โฉว หันหน้ามามองพวกเขาทันใด

โจวฝานส่ายหน้าหัวเราะ “จำคนผิดแล้ว หานเจวี๋ยดูดีกว่าเขาเยอะ”

ฟางเหลียงพยักหน้าเห็นด้วย

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จู่ๆ ชายชุดดำก็หายวับมาที่ศาลา เขาถามเสียงเข้มว่า “คนที่พวกเจ้ากำลังพูดถึงชื่อว่าหานเจวี๋ยใช่หรือไม่”

คนทั้งสามตกใจและมองเขาอย่างระวังตัว

ฟางเหลียงชักดาบออกมาทันควัน ถามเสียงหนักว่า “ท่านเป็นใคร”

ชายชุดดำพูดเสียงเย็นชา “ข้าน้อยนามหานมิ่ง”

หานมิ่ง?

ทั้งสามคนอึ้งงันอีกครั้ง ชื่อนี้คล้ายกับชื่อของหานเจวี๋ยเกินไปแล้ว และทั้งสองคนก็หน้าตาคล้ายกันด้วย

หรือว่า…

“เฮอะ หานเจวี๋ยมาแล้วหรือ” หานมิ่งแค่นเสียงหยันก่อนจะเอ่ยถาม ดวงตาของเขาวาบแววเฝ้ารอเสี้ยวหนึ่ง

ฟางเหลียงกล่าวว่า “อาจารย์ปู่ยังไม่ขึ้นสู่สวรรค์ ต่อให้ขึ้นสวรรค์กก็คงไม่มางานเลี้ยงเอิกเกริกเช่นนี้”

ยังไม่ขึ้นสู่สวรรค์?

หานมิ่งขมวดคิ้วถามด้วยเสียงขรึม “ตอนนี้ตบะเขาระดับไหนแล้ว เหตุใดถึงยังไม่ขึ้นสู่สวรรค์”

โจวฝานไม่พอใจน้ำเสียงของเขา แค่นเสียงหยันแล้วจึงตอบ “เจ้าเป็นใครกันแน่ สืบข่าวตบะของสหายหานของข้าไปทำไม”

หานมิ่งกลับเมินเขา จ้องไปทางฟางเหลียงพลางถามว่า “เจ้าเป็นศิษย์หลานของเขาหรือ พวกเจ้าเป็นคนสำนักไหน”

ฟางเหลียงไม่ได้ตอบคำถาม

หัวคิ้วของหานมิ่งขมวดมุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะกำลังจะพูด ทันใดนั้นก็มีเสียงระฆังแจ้งเตือนดังกระหึ่มไปทั่วฟ้าดิน

“งานชุมนุมคุณสมบัติเซียนกำลังจะเริ่มขึ้น ผู้มาก่อนได้เลือกตำแหน่งที่นั่งก่อน”

ฟางเหลียง โจวฝาน และโม่ฟู่โฉวรีบไปจากศาลาหินทันทีเมื่อได้ยิน

หานมิ่งหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย จากนั้นก็รีบร้อนไล่ตามไป

ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น บรรดาเซียนจากทั่วทุกสารทิศซึ่งกำลังเดินทางอย่างเอ้อระเหยต่างก็เริ่มห้อวิ่งกันสุดกำลังด้วย

……

กาลเวลาผ่านไปแสนไวว่อง

ผ่านไปอีกสิบปี

หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง จากนั้นหยิบป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมาติดต่อกับตี้ไท่ไป๋

“ลูกศิษย์ของข้าหลงเฮ่า ศิษย์หลานของข้าฟางเหลียง พักนี้กำลังทำอะไรอยู่หรือ” หานเจวี๋ยชิงถามก่อน

ก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าทั้งสองคนเผชิญกับการโจมตีรูปแบบต่างๆ มีทั้งปีศาจประหลาด ผู้บำเพ็ญ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันและยังเผชิญกับอันตรายอย่างเดียวกัน

ตี้ไท่ไป๋กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเขาไปงานชุมนุมคุณสมบัติเซียน งานชุมนุมคุณสมบัติเซียนเป็นงานใหญ่ที่นิกายฉ่านจัดขึ้นที่คุนหลุน วางใจเถอะ นั่นเป็นโอกาสวาสนาอย่างหนึ่ง พวกเขาไม่เป็นอะไรหรอก มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”

งานชุมนุมคุณสมบัติเซียน?

มิน่าเล่าพักนี้สหายหลายคนถึงเข้าไปที่คุนหลุน

หานเจวี๋ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “นิกายฉ่านคิดจะทำอะไร ตอนนี้ไม่ใช่ว่ามีมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตหรอกหรือ”

ตี้ไท่ไป๋เอ่ยตอบ “นิกายฉ่านต้องการผูกสัมพันธ์อันดีกระมัง ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้ล้วนต้องติดหนี้กรรมนิกายฉ่าน ถึงอย่างไรคนรุ่นเยาว์ของแต่ละกลุ่มอิทธิพลก็ต้องเคยได้รับโอกาสวาสนาของนิกายฉ่านมา”

เป็นเช่นนี้นี่เอง

หานเจวี๋ยก็ไม่รู้ว่าควรจะตัดสินวิธีการเช่นนี้อย่างไร

“จริงสิ เจ้าไม่ได้อยู่ที่ยมโลกหรือ พักนี้ระวังตัวไว้หน่อย พญายมประกาศแยกตัวเป็นอิสระและขีดเส้นแบ่งชัดเจนกับวังสวรรค์ หากถูกเขาหมายหัว ห้ามแจ้งสถานะวังสวรรค์ของเจ้าไปเชียว มิฉะนั้นเจ้าจะสร้างความเคียดแค้นมากกว่าเดิม” ตี้ไท่ไป๋กล่าวเตือน

หานเจวี๋ยไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เลย

พญายมแข็งแกร่งมาก มีพลังจะแยกตัวเป็นไทอย่างแท้จริง

ตี้ไท่ไป๋ทอดถอนใจกล่าว “มหาเคราะห์ครั้งนี้วุ่นวายเหลือเกิน เผ่าพันธุ์บรรพกาลที่สำคัญพร้อมใจปรากฏตัว สถานการณ์ไม่ชัดเจน ตอนนี้ยังมองไม่ออกว่าใครจะหัวเราะไปจนถึงตอนสุดท้าย โดยเฉพาะเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ พลานุภาพของเขายิ่งใหญ่เกินไป มีเผ่าพันธุ์และกลุ่มอิทธิพลในแดนเซียนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ประกาศตัวว่าอยู่ใต้อำนาจของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ”

…………………………………………….