ตอนที่ 205 ข้ากลัวคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็แสดงความห่วงใยข้ามากที่สุด (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 205 ข้ากลัวคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็แสดงความห่วงใยข้ามากที่สุด (1)
มีคำกล่าวไว้ว่า มารร้ายสูงหนึ่งคืบ และเต๋าสูง…หนึ่งคืบสอง[1]

หลังจากการต่อสู้ด้วยกลอุบายบางอย่างกับผู้บำเพ็ญเหวินจิง หลี่ฉางโซ่วก็ใช้ประโยชน์จากช่วงที่ผู้บำเพ็ญเหวินจิง มีจิตใจไม่มั่นคงเพื่อล่อลวงให้นางเข้าสู่แดนมนุษย์

ผู้บำเพ็ญเหวินจิงผู้นี้ถือเป็นหนึ่งในผู้ทรงพลังเวทมากที่สุดในบรรดาผู้เหี้ยมโหดที่โดดเด่นเป็นตัวร้ายแห่งโลกบรรพกาล ทว่าในขณะนี้ นางกลับไม่อาจมองทะลุผ่านเซียนชราผมขาวที่อยู่ตรงหน้านางได้เลย

หยั่งรู้ธรรมดาไม่เกิดผล แล้วหากนางดึงดันจะหยั่งรู้ให้ได้จริงๆ นางก็คงจะได้รับ… คำเตือนจากแผนภาพไท่จี๋

ดังนั้น ผู้บำเพ็ญเหวินจิงจึงยืนยันความคิดเดิมว่า คนตรงหน้านางผู้นี้ น่าจะเป็นปรมาจารย์ที่เร้นกายแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน!

ก่อนหน้านี้ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเคยยืนหยัดต่อสู้เพื่อสำนักเทพทะเล และนับตั้งแต่นั้นมา ผู้บำเพ็ญเหวินจิงจึงได้รักษาระยะห่างจากสำนักเทพทะเล

เพียงแต่ผู้บำเพ็ญเหวินจิงไม่คิดว่าเทพแห่งท้องทะเลทักษิณผู้นี้จะเป็นคนสำคัญในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน…

วันนี้ เขาได้เตรียมวางแผนจัดการนาง และมีสิ่งซ่อนเร้นอยู่มาก อย่างน้อยที่สุด หากเขาสามารถยืมมือของจ้าวกงหมิง และฉยงเซียวได้ เขาก็น่าจะเป็นอันดับสองรองจาก… บุรุษจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินผู้นั้น

ครึ่งชั่วยามต่อมา ในเมืองใหญ่ ซึ่งห่างออกไปราวหกพันลี้ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองอันสุ่ยแห่งดินแดนเทวะทักษิณ มีวิหารเทพทะเลที่เจริญรุ่งเรืองและท้องถนนก็เต็มไปด้วย “ทูต” ที่แสดงธรรมคำสอนของสำนักเทพทะเล

หลี่ฉางโซ่วจงใจเลือกสถานที่นั้นโดยใช้รูปปั้นของตัวเองเพื่อค้นหาทุกส่วนของสถานที่แล้วพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนจะเลือกสถานที่นั้นอย่างระมัดระวังว่าเป็นสถานที่ดีที่สุดที่จะกระทำการหลอกลวงเหวินจิง

ในขณะนั้น ทั้งตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์และยุงที่มีร่างเหมือนมนุษย์ต่างก็เดินตามกันไปบนถนนในแดนมนุษย์

ผู้บำเพ็ญเหวินจิงใช้พลังเวทเพื่อปกปิดตัวนางและกลิ่นอายของนักพรตเต๋า ซึ่งเป็นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่ว จากนั้น นางก็เดินตามเซียนชราผู้มีหนวดเคราขาวซึ่งอยู่ข้างหน้านางห่างออกไปในระยะสามฉื่อ ในขณะที่นางพยายามคิดหาวิธีเอาตัวรอดอยู่ตลอดเวลา

หากมีผู้ใดรู้ถึงตัวตนของนาง นางย่อมจะถูกคนจ้องคอยทำร้ายและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ตลอดเวลา

มันยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถสังหารนางได้

ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วเองก็กำลังครุ่นคิด…

เขาควรใช้กลอุบาย “บีบอารมณ์ด้วยความจริงใจ ” เพื่อทำให้นางเปลี่ยนใจ หรือจะใช้วิธี “ผลประโยชน์” โดยเข้าหานางด้วยผลประโยชน์ต่อกันจะดีกว่า?

แต่เขามั่นใจว่า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะใช้แนว ทางด้านเพศ และเขาก็ไม่สนใจที่จะข้ามอุปสรรคทางเผ่าพันธุ์

ตามประเด็นหลักของ ‘ทฤษฎีกลอุบาย’ ที่มีชื่อเสียง หากจะหลอกคนเก่งกาจระดับปรมาจารย์เช่นนาง เราต้องทำให้ทำตัวให้ดูดีมีภาพลักษณ์สุดหยั่งถึงและมั่นคงเสียก่อน โดยเริ่มจากรายละเอียดว่า เขาจะดึงนางมาเข้าทาง ให้อยู่ในแผนที่เขาวางไว้เอง จากนั้นพวกเขาก็จะค่อยๆ พูดคุยกันถึงเรื่องไร้สาระ เพื่อให้นางเกิดความคิดขึ้นมากมาย

พูดง่ายแต่ทำยาก

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงฆ้องและกลองที่หัวมุมถนน แล้วมีมนุษย์หลายคนมารวมตัวกันที่นั่นพร้อมกับมีเสียงของพวกเขากล่าวสนับสนุนสำนักเทพทะเล… แล้วก็มีเสียงปังจื่อ[2]ดังขึ้น

เคล้ง เคล้ง…

“ท่านทั้งหลาย โปรดหยุดก่อนและกล่าวถึงสิ่งที่ท่านคิดอยู่ในใจ

“ทุกคน หยุดก่อนเถิด เรามายืนจับมือกัน แบบกันเองสบายๆ เถิด เทพแห่งท้องทะเลผู้นี้จะปกป้องพวกเจ้าทั้งครอบครัว จงอย่ากลัวการออกทะเลหรือปีนเขา สาวน้อยจากถนนบูรพา หนุ่มโสดจากเมืองประจิมที่ไร้คู่ล้วนสวดอ้อนวอนต่อเทพแห่งท้องทะเลเมื่อวันวาน แล้วยามนี้ พวกเขาก็ได้แลกเปลี่ยน รับสินสอดทองหมั้นกันแล้ว…”

หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มและฟังอยู่ครู่หนึ่งในขณะที่ผู้บำเพ็ญเหวินจิงที่อยู่ข้างๆ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังจ้องมองไปที่มนุษย์สามัญที่โง่เขลาและอ่อนแอเหล่านี้

เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ นางก็คิดว่าคำพูดของคนผู้นั้นจะต้องมีนัยลึกซึ้งกว่านั้น…

หลังจากนั้นไม่นาน หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวว่า “ไปกันเถิด” ผู้บำเพ็ญเหวินจิงจึงพยักหน้าช้าๆ ด้วยความฉงนในใจมากขึ้น แค่นางก็ไม่ได้เผยท่าทีใดๆ ต่อหลี่ฉางโซ่ว

มีมนุษย์หลายคนอยู่ตามท้องถนน แต่ไม่มีแม้สักคนที่มองเห็นได้ทั่วทุกที่ พลังเวทของผู้บำเพ็ญเหวินจิง นั้นค่อนข้างพิเศษ

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกอิจฉาความสามารถของนางที่บรรดาผู้ยิ่งใหญ่เกือบทั้งหมดล้วนต้องการ ซึ่งจะช่วยลดความเป็นที่สนใจในยามที่พวกเขาปรากฏตัวออกมาได้

“สหายเต๋า” หลี่ฉางโซ่วถือแซ่หางม้าและทำท่าทางเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม เพื่อให้ผู้บำเพ็ญเหวินจิงเดินไปกับเขา

หลี่ฉางโซ่วแอบคิดในใจกับตัวเองว่า หากนางสร้างปัญหายุ่งยากให้เขา เขาจะทำลายร่างจำแลงนั้นไปทันที

ผู้บำเพ็ญเหวินจิงยังคิดว่า แม้นางจะเป็นคนชั่วร้ายเกิดจากทะเลเลือด แต่นางก็ไม่ใช่คนที่จะยอม เสียหน้าได้ง่ายๆ หากอีกฝ่ายสร้างปัญหายุ่งยากให้นาง อย่างมากที่สุดนางก็จะหนีไปได้ชั่วคราว

หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ กล่าวช้าๆ…

“สหายเต๋า เจ้าคิดว่าสำนักเทพทะเลของข้าเป็นอย่างไร”

ผู้บำเพ็ญเหวินจิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและตอบว่า “เหตุใดเจ้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้”

เพราะ “เรื่องบางเรื่อง หากพูดเร็วไปก็ไม่ดีนัก

เราเคยเป็นปฏิปักษ์กัน แต่ตอนนี้ เรากำลังเดินเล่นบนถนนในแดนมนุษย์ นี่ย่อมเป็นเรื่องที่วิเศษมากใช่หรือไม่?” หลี่ฉางโซ่วกล่าวต่ออย่างสบาย ๆ “แม้เจ้าจะหมายกำจัดข้าหลายครั้ง แต่ข้าก็ไม่มีเจตนาอาฆาตแค้นต่อเจ้า หากไม่ใช่เพราะสหายเต๋าเกือบจะทำลายแผนของข้าในครั้งนี้ ข้าก็คงไม่บีบบังคับเจ้าถึงเพียงนี้ สหายเต๋า ดูที่นี่สิ แดนมนุษย์ช่างลำบากนัก มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ร้อยปี เกิด แก่ เจ็บ และตายด้วยวัยชรา ทว่าพวกเขาก็เป็นตัวเอกของโลกนี้ หากเจ้าได้รับการเคารพบูชา เจ้าก็จะได้รับบุญเครื่องสักการะ สหายเต๋า เจ้าคิดว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”

ผู้บำเพ็ญเหวินจิงเม้มปากโดยไม่ตอบ

หลี่ฉางโซ่วยิ้ม เขารู้ว่ากลอุบายนี้ไร้ผล จึงเปลี่ยนความคิดทันที

เขากล่าวต่อว่า “ในโลกบรรพกาล มีน้อยคนนักที่รู้ภูมิหลังของเจ้า ดังนั้นสหายเต๋า เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าข้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”

“โอ้?” ผู้บำเพ็ญเหวินจิงยังคงไม่ยอมแพ้แล้วถามว่า “เช่นนั้น บอกข้ามาทีเถิดว่าข้ามีภูมิหลังเช่นไร”

อย่างไรก็ตาม นางคร้านเกินกว่าจะเรียกสหายเต๋า

หลี่ฉางโซวยิ้มและกล่าวว่า “สหายเต๋า โปรดเพิ่มข่ายอาคมแยกตัวอีกสักสองสามชั้น ข้าจะพูดจริงๆ แล้ว” “ฮึ่ม” ผู้บำเพ็ญเหวินจิงแค่นเสียงเย็นชาและยกมือขึ้นเพื่อสร้างอักขระเต๋าสองชั้นไว้รอบกาย

ในขณะนั้น อักขระเต๋าลึกลับก็พุ่งออกมาจากร่างของหลี่ฉางโซ่ว

ผู้บำเพ็ญเหวินจิงประจักษ์ด้วยตาตัวเองว่าร่าง มีแผนภาพขนาดเล็กกะพริบวิบวับอยู่ที่ด้านหลังของหลี่ฉางโซ่วแล้วหายไป

บัดนั้น นางจึงไม่สงสัยในตัวตนของหลี่ฉางโซวอีกต่อไป…

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “สหายเต๋า เจ้ามาจากแดนยมโลก ร่างหลักของเจ้าคือ ผู้นำของเผ่ายุงดำปีกโลหิตซึ่งเป็นสัตว์ร้ายบรรพกาล เจ้ากำลังทำงานให้กับปรมาจารย์สองคนที่ไม่อาจกล่าวถึงได้ สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ตอนนี้คือ การวางแผนที่จะรวมเผ่าพันธุ์มังกรเข้าไป มีสิ่งใดผิดพลาดไปบ้างหรือไม่?”

ผู้บำเพ็ญเหวินจิงหน้าซีดทันที นางไม่คิดจะดึงดันต่อสู้อีกต่อไป ทว่ากลับมีเจตนาสังหารในสัญชาตญาณเพิ่มขึ้นอย่างแรงกล้า สายตาของนางพลันเปลี่ยนไปและแผ่ไอเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง

หลี่ฉางโซ่วกล่าวเบาๆ ว่า “มีคำกล่าว ที่มนุษย์มักใช้กันว่า ไม่ว่าผู้คนจะกระทำสิ่งใด สวรรค์ล้วนรู้เห็นทั้งหมด”

ผู้บำเพ็ญเหวินจิงจึงตื่นขึ้นทันที นางถอนหายใจเบา ๆ และเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์แล้วกล่าวเบา ๆ ว่า “สหายเต๋า ในเมื่อเจ้าได้ตรวจสอบภูมิหลังของข้าอย่างชัดเจนและวางแผนการร้ายเช่นนั้น แต่เจ้าก็ไม่ได้สังหารข้า นั่นแสดงว่า เจ้าต้องมีแผนบางอย่าง สหายเต๋า โปรดพูดมาเถิด หากไม่ให้ข้ารู้ ข้าก็จะตามเจ้าไปทุกที่”

“สหายเต๋า…”

หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “เจ้าไม่เหนื่อยหรือ?” ขั้นแรก บีบอารมณ์ใช้ความจริงใจ แล้วผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและกล่าวว่า “มนุษย์มีจิตใจงดงาม จึงมีใบหน้านับพัน และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็เฉกเช่นกัน ลองมองไปบนถนนสายนี้ แล้วจะเห็นว่า มนุษย์กำลังยุ่งอยู่กับการทำงานเพื่อเอาชีวิตรอด ต้องกังวลเรื่องอาหาร ต้องแสร้งตีสีหน้าเพื่อไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดในใจเราได้ เราเป็นผู้บำเพ็ญนอกแดนมนุษย์ที่มีอายุขัยยืนยาว แต่เราก็ทำแบบเดียวกันนี้มิใช่หรือ? สหายเต๋าไม่เหนื่อยหรือ?”

เมื่อผู้บำเพ็ญเหวินจิงได้ยินเช่นนั้น นางจึงหยุดยิ้มแล้วมองไปยังเหล่ามนุษย์บนถนนที่พลุกพล่านสายนี้

หลี่ฉางโซ่วยังคงเดินหน้าต่อไปในขณะที่ ผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็เดินตามเขาโดยไม่รู้ตัว ดวงตาหงส์ของนางฉายแววใคร่ครวญและเผยให้เห็นถึงความอ่อนล้าเช่นกัน

นางกระซิบ “เพียงเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น”

…………………………………………………………………………………………………………………………

[1] ปรับมาจากธรรมะสูงหนึ่งคืบ มารร้ายสูงหนึ่งศอก โดยนักเขียนใช้เป็น มารร้ายสูงหนึ่งคืบ เต๋าสูงหนึ่งคืบสอง ซึ่งจะหมายถึงว่า แม้มารร้ายจะเก่งกาจเท่าใด แต่เต๋าก็จะยังคงเก่งกว่าเล็กน้อย คือยังสามารถสยบมารร้ายได้นั่นเอง

[2] เป็นเครื่องดนตรีประเภทไม้ของจีน มีลักษณะเป็นบล็อกไม้ขนาดเล็กให้เสียงสูง