ตอนที่ 206 ข้ากลัวคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็แสดงความห่วงใยข้ามากที่สุด (2)
ในขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วเพียงยิ้มและบังเอิญเดินผ่านสำนักโคมเขียวแห่งหนึ่ง
มีป้ายไม้แขวนอยู่บนเสาสีแดงหน้าสำนักโคมเขียว ซึ่งมีข้อความเขียนไว้ว่า “บรรดาผู้ที่ศรัทธาเทพแห่งท้องทะเลจะได้รับส่วนลดสุราสามในสิบส่วน”
ชิชะ งานประชาสัมพันธ์ของสำนักเทพทะเล ช่างน่าประทับใจจริงๆ
หลี่ฉางโซ่วมองไปยังร่างที่พักผ่อนยามกลางวันในสำนักโคมเขียวและกล่าวว่า “หากเรากำลังพูดถึงการฝืนยิ้ม เช่นนั้นแล้ว เราและพวกเขาจะมีอะไรแตกต่างกันหรือ?”
กระบวนท่าที่สองคือ “ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ”
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงถอนหายใจเบา ๆ “สหายเต๋า เจ้าไม่เหมือนข้า”
“ไม่หรอก ความจริงแล้ว เราเหมือนกัน” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบ “โลกบรรพกาลก็เปรียบเสมือนการเดินหมาก มีจอมปราชญ์เป็นผู้ควบคุม ส่วนเราทั้งคู่ล้วนเป็นเพียงตัวหมากเท่านั้น”
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงกล่าวว่า “สหายเต๋า เจ้ามองเห็นได้ทะลุปรุโปร่งยิ่ง”
“ก็เพียงเพื่อความอยู่รอด”
หลี่ฉางโซ่วตอบอย่างสงบในขณะที่แววตาของผู้บำเพ็ญเหวินจิงพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นางเอ่ยถามอีกครั้งว่า “สหายเต๋า ท่านคงไม่เพียงแค่ต้องการบอกเรื่องนี้กับข้าใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่า ไม่” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “กล่าวตามตรง สหายเต๋า ทั้งเจ้าและข้าต่างก็ได้ลองใช้กลอุบายมาสองสามอย่างแล้ว ข้าจึงพอเข้าใจเจ้าอยู่บ้าง”
“โอ้?” ผู้บำเพ็ญเหวินจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “อันที่จริง ข้าวางแผนร้ายกับสำนักเทพทะเลทักษิณเพียงครั้งเดียว”
กระบวนท่าที่สาม “ทำลายปราการป้องกันหัวใจ”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “สหายเต๋า เจ้าจำสำนักตู้เซียนได้หรือไม่? เจ้ามีหุ่นเชิดที่ถูกข้าทำลายไป”
“เป็นเจ้าเองหรือ?”
“เป็นข้าเอง นอกจากนี้ เจ้าน่าจะเคยพบปรมาจารย์เต๋าน้อยเสวียนตูมาก่อนหน้านั้น
“นั่นก็เป็นเจ้าด้วยหรือ?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มโดยไม่เอ่ยอันใดขณะที่สะบัดแส้หางม้า และเดินไปข้างหน้าต่อไป
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงทำได้เพียงเดินตามเขาไป เมื่อมองไปที่ใบหน้าชราของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่ว นางก็ถามว่า “แล้วไยเจ้าถึงไม่ปล่อยให้พวกของจ้าวกงหมิงสังหารข้าเล่า?”
“หากข้าอยากสังหารเจ้า เหตุใดต้องขอให้จ้าวกงหมิงและเทพธิดาฉยงเซียวทำเล่า?” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบ “สหายเต๋าน่าจะรุ้ว่า ในเผ่ามังกร ยังมีมังกรชราอยู่สองสามตัว ”
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงมองไปที่หลี่ฉางโซ่วแล้วกล่าวออกมาเบา ๆ ทันทีว่า “เช่นนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็กลายเป็นว่าข้าภายใต้แผนการของเจ้าแต่แรกแล้ว”
“สหายเต๋ากล่าวเกินไปแล้ว” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ข้ามิใช่ผู้เดินหมาก เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น[1]”
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงพยักหน้าเบา ๆ และมองขึ้นไปที่สวรรค์เก้าชั้น
“สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินนิ่งเงียบและสงบสุขอยู่เสมอ แต่เรื่องการวางแผน ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเปรียบเทียบได้ บอกข้ามาเถิดว่า เจ้าประสงค์ให้ข้าทำสิ่งใด”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มแล้วไม่เอ่ยวาจาสักคำ เขาเพียงบังเอิญเดินผ่านร้านอาหาร จึงทำท่าเชื้อเชิญ
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น แต่ในขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วได้ควบคุมทุกอย่างเอาไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว นางจึงเพียงพยักหน้าแล้วเดินตามเขาไป จากนั้นพวกเขาก็ไปที่ห้องส่วนตัวที่ชั้นบนสุดของร้านอาหารโดยไม่ทำให้เหล่ามนุษย์คนใดตื่นตกใจ
กระบวนท่าที่สี่ “ดื่มสุรา”
หลี่ฉางโซ่วหยิบสุราเซียนเมามายออกมาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เหตุใดในวันนี้ เราไม่เลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์? มาดื่มสุราให้เมามาย เพื่อคลายความเศร้าใจกันเถิด’
แม้จะเป็นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์จำแลงกายของเขา แต่เขาก็ไม่กลัวอะไรเลย
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงหัวเราะคิกคักเบา ๆ และไม่ปฏิเสธเขา
ในไม่ช้า จอกเรืองแสงสองจอกก็ถูกรินสุราจนเต็มและพวกเขาก็ดื่มจนหมดอย่างรวดเร็ว จากนั้นไม่นาน ดวงตาของผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็พร่ามัวดูมึนเมาเล็กน้อย
บางทีสุรามิได้ทำให้คนเมา แต่คนเมาเพราะตัวคนเอง
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่นานจนในที่สุดเขาก็พบประโยคหนึ่งที่อาจเข้าถึงจิตใจของคนโหดร้ายผู้นี้ได้
“สหายเต๋า เจ้าเคยถามตัวเองหรือไม่ว่า ไฉนเจ้าถึงต้องวิ่งวุ่นวายไปรอบๆ เช่นนี้?”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็จ้องมองจอกสุราในมือของนางและกล่าวว่า “เจ้าน่าจะรู้ว่า เหตุใดข้าถึงต้องเชื่อฟังพวกเขา”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจริงๆ
ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้หลี่ฉางโซ่วหยุดการดำเนินการตามแผนของเขา
“สหายเต๋า ผู้ที่ใช้งานเจ้าหล่านั้น เคยใส่ใจเจ้าอย่างจริงจังบ้างหรือไม่?”
มีภาพเหตุการณ์ต่างๆ มากมายปรากฏขึ้นมาในใจของผู้บำเพ็ญเหวินจิง แต่นางหันศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องส่วนตัวและกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เหตุใดต้องให้พวกเขาใส่ใจข้าเล่า? ข้าเป็นราชินีของเผ่าผู้ควบคุมทะเลเลือดได้ หากทั้งสองคนนั้นไม่ได้คุกคามชีวิตคนในเผ่าของข้า…”
“สหายเต๋า” หลี่ฉางโซ่วกล่าวขัดคำพูดของ ผู้บำเพ็ญเหวินจิงขึ้นมาโดยกล่าวอย่างจริงจังว่า “เจ้าหลอกผู้อื่นได้ แต่หลอกตัวเอง ไม่ได้ ในใจเจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆหรือ?”
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองไปที่หลี่ฉางโซ่วก่อนจะเงยหน้าขึ้นและรินสุราเซียนเมามาย หนึ่งจอกลงไปในคอ ทันใดนั้น นางก็กำหมัดแน่นและค่อยๆ คลายออกพลางถอนหายใจออกมา
“ใช่ เมื่อก่อน ข้าสามารถกลับไปที่ทะเลเลือดแล้วเดินจากไปได้จริงๆ แต่หลังจากที่มีสังสารวัฏวิถีเกิดขึ้นและสร้างวังแดนยมโลกขึ้นมาแล้ว ยามนี้ข้าก็ไร้ที่ไป จึงอาศัยว่าคนเผ่าข้าถูกจับควบคุมตัวจนต้องยอมจำนนต่อสำนักบำเพ็ญประจิมอย่างสิ้นเชิง
ข้าไม่เคยเอ่ยคำเหล่านี้กับผู้ใด
สหายเต๋า เจ้าพอใจแล้วหรือไม่?”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรามาเปิดใจคุยกันเถิด” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “ในเวลานี้ เจ้าน่าจะรู้ว่าสำนักบำเพ็ญประจิมกำลังใช้เจ้าอยู่ เจ้าไม่ต้องกังวลอะไร และยังได้รับประโยชน์บางอย่างด้วย
แต่หากสำนักบำเพ็ญประจิมรุ่งเรืองเฟื่องฟู แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? ”
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงกล่าวเสียงเบาว่า “แน่นอนว่า จิตวิญญาณของข้าจะถูกทำลายจนเป็นขี้เถ้ากระจายหายไป และเมื่อข้าถูกจัดการ ข้าก็กลัวว่าจะไม่มีใครรู้…
แต่ข้าสามารถซ่อนตัวอยู่ในทะเลโกลาหลได้”
ดวงตาของ หลี่ฉางโซ่วเต็มไปด้วยความจริงใจในขณะที่เอ่ยถามเบาๆ ว่า “เจ้าหลบมันได้หรือ ทุกคนจะจบสิ้น ในเวลานั้น สำนักบำเพ็ญประจิมย่อมจะรุ่งโรจน์อย่างมาก และเจ้าคิดว่าจะหลบซ่อนตัวได้หรือ?”
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงเพียงแค่ยิ้มเย็นชา แต่ไม่เอ่ยอันใดไปสักพัก นางรินสุราให้ตัวเองก่อนจะขึ้นดื่มเข้าไปอีกจอกหนึ่ง
“บอกข้ามาทีว่า เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร เจ้าจะให้ประโยชน์อะไรแก่ข้าได้บ้าง หากเจ้าสามารถปกป้องข้าไม่ให้จอมปราชญ์สังหารข้าได้ ข้าก็ร่วมมือกับเจ้าได้”
“ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าทำสิ่งใด และไม่มีประโยชน์ใดให้เจ้าเช่นกัน” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและเริ่มขั้นตอนต่อไปอย่างแนบเนียน กระบวนท่าที่ห้า “การวาดภาพผลประโยชน์”
“แต่วันนี้ ข้าสามารถให้เส้นทางที่ชัดเจนแก่เจ้าได้”
หลี่ฉางโซ่วจุ่มนิ้วลงไปในสุราแล้วเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่สองตัวลงบนโต๊ะ
‘ศาลสวรรค์’
หลี่ฉางโซ่วถามว่า “สหายเต๋า เจ้ารู้จักสถานที่นี้มากเพียงใด?”
“เหอะ” ผู้บำเพ็ญเหวินจิงอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยันขณะกล่าวว่า“เจ้าคิดว่ามันปกป้องข้าได้หรือ?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและเพิ่มคำว่า ‘มนุษย์’ ข้างๆ ศาลสวรรค์
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงพลันหยุดยิ้มและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เหตุใดพวกเขาถึงต้องการข้า?”
“ทุกสรรพสิ่งล้วนมีทั้งหยินและหยาง สวรรค์และปฐพีล้วนมีกลางวันและกลางคืน” หลี่ฉางโซ่วยิ้มพลางกล่าวต่อว่า “หากสถานที่แห่งนี้ต้องการก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ ย่อมต้องอาศัยทั้งอำนาจและสติปัญญาล้ำเลิศ
เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดทุกวันนี้ ศาลสวรรค์ถึงขาดเทพที่ชอบธรรมมากมายเช่น เทพประทานพรแก่มวลมนุษย์และเทพบันดาลภัยพิบัติ?
ข้าหมายความตามนั้น”
หลี่ฉางโซ่วหยิบผ้าออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ผู้บำเพ็ญเหวินจิงพลางกล่าวอย่างสงบว่า “วันนี้เจ้าเพียงต้องให้สัตย์ปฏิญญาต้าเต๋านี้เท่านั้น และเมื่อถึงเวลา จงฟังเสียงเรียกของข้า แล้วข้าจะช่วยให้เจ้ารอดพ้นภัยได้
ในเวลานั้นเจ้าจะเป็นเพียงข้าราชบริพาร ที่แอบช่วยปฏิบัติภารกิจลับให้กับศาลสวรรค์เท่านั้น นอกจากจักรพรรดิแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องไว้หน้าและทำตามคำสั่งของผู้ใดอีก”
ดวงตาของผู้บำเพ็ญเหวินจิงฉายแววซับซ้อนขณะหยิบผ้าขึ้นมาแล้วค่อยๆ คลี่ออกช้าๆ
นางมองไปที่หลี่ฉางโซ่ว…
เขาทำคำปฏิญญานี้ขึ้นมาเองหรือไม่?
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงพยักหน้าช้าๆ และกล่าวว่า “ข้าให้สัตย์ปฏิญญาได้ แต่เจ้ายังต้องให้สัญญาตามเงื่อนไขข้อหนึ่งกับข้าด้วยเช่นกัน”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “กล่าวมาเถิด”
“ข้าต้องการพบปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูในภายภาคหน้า”
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ชั่วขณะหนึ่งนั้น เขาไม่กล้าจะกล่าวตกลงอย่างไม่เป็นทางการ ทว่าจู่ๆ ก็เกิดการตระหนักรู้ฉับพลันขึ้นมาในใจของเขา และเขาก็สรุปได้เป็นคำเดียว
“ทำได้”
เอ่อ ท่านจอมปราชญ์กำลังเฝ้าดูอยู่หรือ? ตอนนี้ข้าไม่ควรพูดจาไร้สาระใช่หรือไม่ ทุกคำที่เอ่ยล้วนผ่านการพิจารณาอย่างน้อยเป็นสิบครั้งแล้ว… “ได้ แน่นอน” หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าทันที “ข้ารับปากเจ้า”
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงถอนหายใจอย่างโล่งอก นางไม่เคยคิดว่า จะต้องให้สัตย์ปฏิญญาต้าเต๋าที่ยุ่งยากซับซ้อนเช่นนี้ถึงสองครั้งในวันเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ปฏิญญาฉบับนี้ยังสมบูรณ์และครอบคลุมมากกว่าเดิมโดยได้พิจารณาถึงการแทรกแซงของเต๋า สวรรค์และ สถานการณ์อื่นๆ ด้วย
อันที่จริงนางก็ไม่ได้พ่ายโดยไร้ประโยชน์
…………………………………………………………………………………………………………………………
[1] ไม่ใช่นายหรือคนบัญชาการ เป็นแค่คนรับคำสั่ง