บทที่ 317 สตรีโง่งมมาเยือน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 317 สตรีโง่งมมาเยือน

บทที่ 317 สตรีโง่งมมาเยือน

“ท่านป้ากุ้ย ท่านต้องรับผิดชอบสิ่งที่ป้าพูดนะเจ้าคะ ตาข้างไหนของท่านที่เห็นว่าข้าทำร้ายกุ้ยตงเหมย? ข้ามีเจตนาดี ที่ข้าให้นางมาที่บ้านก็เพื่อมอบผ้าเช็ดหน้าให้ระหว่างทางกลับก็หกล้มเอง แต่กลับบอกว่าข้าไปทำร้ายนาง มันสมเหตุสมผลตรงไหนกัน” กู้เสี่ยวหวานมองดูกุ้ยซื่อที่กำลังเดือดดาล แล้วเงยหน้าขึ้นมองดูดวงดาวบนท้องฟ้าเพื่อเลียนแบบท่าทางของกุ้ยตงเหมยในตอนนั้น

“หึ กู้เสี่ยวหวาน แน่นอนว่าเจ้าต้องโกรธที่ข้าผลักน้องสาวของเจ้า ดังนั้นเจ้ามาทำร้ายน้องสาวของข้าเพื่อเอาคืน!” กุ้ยชุนเจียวก่นด่าเสียงดัง

กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจ “หือ? พวกเจ้าไม่ได้บอกว่าน้องสาวของข้าล้มเองหรอกหรือ?”

กู้เสี่ยวหวานแสร้งทำเป็นแปลกใจกับคำพูดนั้น แล้วมองไปที่ใบหน้าที่ฟกช้ำของกุ้ยตงเหมย และกล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจ “ตงเหมย เป็นเพราะมืดเกินไปเจ้าจึงมองทางไม่ชัดเจนเลยล้มลงไปใช่หรือไม่? ข้าบอกแล้วว่าจะให้โคมไฟแก่เจ้า”

กุ้ยตงเหมยแค่นหัวเราะ แต่เมื่อนางขยับ มุมปากก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา นางจึงจ้องไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างโกรธแค้น ในตอนนั้นนางกำลังจะกลับบ้าน ขณะที่นางเดินผ่านสถานที่เปลี่ยวก็มีคนเอากระสอบมาคลุมจากทางด้านหลัง

ก่อนที่กุ้ยตงเหมยจะตอบสนองอะไร ทั้งร่างก็ถูกทั้งเตะและต่อย

กุ้ยตงเหมยกรีดร้องเสียงดังในทันใด แต่น่าเสียดายที่สถานที่นั้นห่างไกลและไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ อีกทั้งยังห่างจากบ้านมาก ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงกรีดร้องของนางเลย

กุ้ยตงเหมยกรีดร้องอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งการเคลื่อนไหวนั้นหยุดลง กุ้ยตงเหมยก็หยุดกรีดร้อง หลังจากรอสักครู่จนนางมั่นใจว่าไม่มีใครทำร้ายนางแล้ว ก็หมุดออกมาจากกระสอบและมองไปรอบ ๆ นอกจากป่าที่มืดมิดก็ไม่มีผู้ใดอยู่เลย!

คนที่ทำร้ายนางเมื่อสักครู่ไม่ส่งเสียงเล็ดลอดออกมาเลย นางจึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนทำร้าย!

“กู้เสี่ยวหวาน เจ้าอย่าเสแสร้ง ถ้าตงเหมยของข้าแค่ล้มลงจะมีร่องรอยการทำร้ายเช่นนี้หรือ?” กุ้ยซื่อโกรธจัด กุ้ยตงเหมยกลับบ้านมาด้วยใบหน้าฟกช้ำ กุ้ยซื่อจึงเดาได้ทันทีว่ากู้เสี่ยวหวานคือผู้ที่ทำเช่นนั้น ดังนั้นรีบพาลูกสาวของนางมาที่บ้านของกู้เสี่ยวหวานเพื่อขอคำอธิบาย

“ท่านป้ากุ้ยอย่าใส่ร้ายข้าสิ ท่านเห็นหรือเจ้าคะ ว่าข้าเป็นคนทำร้ายตงเหมยของท่านน่ะ” กู้เสี่ยวหวานก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีเช่นกัน “หึ ลูกสาวของตนถูกทำร้ายแต่กลับวิ่งมาที่บ้านข้าเช่นนี้ ในวันนี้ถ้าพวกเจ้าไม่อธิบายให้ชัดเจนก็ห้ามออกไปจากที่นี่!”

กู้เสี่ยวหวานไม่มีท่าทีเกรงกลัวและมองไปที่สามแม่ลูกอย่างเย็นชา

เดิมทีกุ้ยซื่อเป็นคนไร้เหตุผลอยู่แล้ว เมื่อนางเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ยอมรับว่าเป็นคนทำร้ายลูกสาวของตน นางจึงตะเบ็งเสียงดังยิ่งขึ้น นั่งลงบนพื้นและนอนกลิ้งไปมา “กู้เสี่ยวหวานเจ้าช่างอำมหิต ลูกสาวของข้าโดนทำร้ายจนเป็นเช่นนี้ เจ้ายังใช่คนอยู่หรือไม่?”

กุ้ยซื่อร้องตะโกนเสียงดังราวกับว่าถ้าไม่ได้คำขอโทษจากกู้เสี่ยวหวานในวันนี้นางจะไม่กลับไป

กู้หนิงผิงได้รู้เรื่องทั้งหมดจากกู้เสี่ยวอี้แล้ว และเมื่อเห็นกุ้ยซื่อมาโวยวายอยู่หน้าบ้าน เขาจึงโกรธจนแทบจะไปตบบ้องหูของกุ้ยซื่อสักที

กู้เสี่ยวหวานยิ้มอย่างเย็นชาราวกับไม่สนใจการกระทำเช่นนั้นของกุ้ยซื่อเลย

ทันใดนั้นกู้หนิงผิงก็ออกมาและตะโกนเสียงดัง “หุบปาก!”

กู้หนิงผิงที่ช่วงนี้เรียนศิลปะการต่อสู้ คำพูดนี้ของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ เสียงตะโกนของเขาทำให้กุ้ยซื่อตกใจจนหยุดร้องไห้ และเมื่อนางเห็นว่ากู้หนิงผิงคือเจ้าของเสียงตะโกนนั้น กุ้ยซื่อก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

กุ้ยสวิ้นเหอที่วิ่งตามออกมาจากบ้าน เมื่อเขาเห็นว่ากุ้ยซื่อกำลังร้องไห้โวยวายอยู่หน้าประตูบ้านของผู้อื่น เขาก็รู้สึกว่าวันนี้เขาได้เสียหน้าไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว และรีบไปดึงกุ้ยซื่อขึ้นมา “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ กลับบ้าน กลับบ้านเดี๋ยวนี้!”

“กุ้ยสวิ้นเหอ เจ้ามันไม่ใช่ผู้ชาย! ลูกสาวของตนเองถูกตีจนเป็นเช่นนี้แท้ ๆ เจ้ายังไม่มาคิดบัญชีให้นางเลยและเจ้ายังมาตามข้ากลับบ้านอีก เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือไม่ เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือไม่?”

เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นกุ้ยซื่อดุด่ากุ้ยสวิ้นเหอเช่นนั้นราวกับว่านางกำลังดุด่าหลานชายของนางอยู่ กุ้ยสวิ้นเหอผู้นั้นถูกกุ้ยซื่อดึงหัวก็กล่าวอะไรไม่ออกสักคำ

ฉินเย่จือกำลังอยู่ในห้อง อาโม่ก็แอบมาหาเขาอย่างลับ ๆ และรายงานเขาว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น เมื่อฉินเย่จือได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานออกไปข้างนอกเพื่อเอากระสอบคลุมกุ้ยตงเหมยและทุบตีนาง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นและเผยแววตาที่แหลมคมราวกับใบมีดออกมา

ผู้คนในหมู่บ้านนี้บางคนทำไมโหดร้ายและไร้เหตุผลเช่นนี้

เดิมทีฉินเย่จือไม่ได้ตั้งใจจะออกไปข้างนอก ทว่าเสียงข้างนอกกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ คิ้วเรียงตัวสวยขมวดมุ่น เปิดประตูและเดินออกไป

เมื่อฉินเย่จือออกมา กุ้ยตงเหมยที่กำลังร้องไห้ก็หยุดชะงักและมองไปที่เขา ฉินเย่จือจ้องมาที่นางอย่างดุเดือด การที่มีสตรีงี่เง่าเช่นนี้มองมาที่เขา เขาก็รู้สึกว่ามันช่างน่าขำเสียจริง

กุ้ยชุนเจียวที่เห็นฉินเย่จืออกมา ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มทันทีราวกับถูกทาด้วยสีแดง

ฉินเย่จือสวมชุดยาวสีขาวพระจันทร์ ผมสีดำขลับถูกเกล้าขึ้น การสวมผ้าธรรมดาบนร่างกายกลับดูสูงส่งราวกับสวมเสื้อผ้าราคาแพง

ตั้งแต่เล็กจนโตนางเห็นชายในหมู่บ้านไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือเด็กก็ล้วนสวมชุดสีเทามาตลอด กุ้ยชุนเจียวยังไม่เคยเห็นคนสวมชุดสีขาวพระจันทร์เช่นนี้มาก่อน และยังสวมออกมาได้ดูดีเป็นอย่างมาก

กุ้ยชุนเจียวไม่ได้จ้องไปที่เขาเหมือนกุ้ยตงเหมย แต่มองไปที่ฉินเย่จือเป็นครั้งคราว หลังจากมองแล้วก็ก้มศีรษะลงด้วยความเขินอาย ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง หากเมื่อใดที่ฉินเย่จือเหลือบตามามองนางโดยไม่ได้ตั้งใจ กุ้ยชุนเจียวก็ราวกับเป็นหญิงสาวที่กำลังมีความรัก นางเขินอายจนทำอะไรไม่ถูก

ฉินเย่จือเพิกเฉยต่อดวงตาดอกท้อของสองพี่น้อง และเดินมายืนข้ากู้เสี่ยวหวาน จ้องมองกุ้ยซื่ออย่างเย็นชา

กุ้ยซื่อเคยเห็นฉินเย่จือจากระยะไกลมาก่อน และรู้ว่าเขาเป็นคนที่กู้เสี่ยวหวานรับเข้ามาอยู่ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนางได้เห็นตัวจริงในระยะใกล้ ก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเช่นนี้

ใบหน้าของกุ้ยซื่อขึ้นสีแดงเล็กน้อย เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นท่าทางเช่นนั้นของสามแม่ลูกที่มองมาที่ฉินเย่จืออย่างเปิดเผย เสน่ห์ของคนผู้นี้สามารถทำให้ผู้หญิงทุกวัยหลงใหลได้ โลภมากเสียจริง!

“เจ้ากล่าวว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นคนทำร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่จือกล่าวอย่างเย็นชาด้วยใบหน้านิ่งเฉย

“เอ่อ…” กุ้ยตงเหมยถูกทำร้ายจนกล่าวอะไรไม่ออก แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่หล่อเหลากำลังถามตนเองอยู่ จึงคิดว่าคงต้องตอบอะไรออกไปให้ได้ กุ้ยตงเหมยระงับความเจ็บปวด ครั้นจะเอ่ยปากตอบ แต่เมื่อนางอ้าปากความเจ็บปวดก็เข้ามาเล่นงาน